“อย่านะ! อย่าทำเช่นนั้นกับข้านะ” เซียวเหยากรีดร้องขึ้นราวกับมีคนจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับเขาก็มิปาน!
ใบหน้ายอดฝีมือของตำหนักเป่ยหานเหล่านั้นดำคล้ำขึ้นแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าเขายังพอมีประโยชน์อยู่บ้างแล้วละก็ พวกเขาคงจับเจ้านี่ฝังทั้งเป็นแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าว “หากปิดผลึกพลังของเซียวเหยา ประสิทธิภาพในการรับรู้ของเขาก็จะลดลง การหาเส้นทางก็จะยากไปด้วยนะ”
“แต่เขาอันตรายต่อพวกเราเกินไป!” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จะเป็นเช่นนั้นได้ยังไงกัน แม่นางเซียวเชื่อฟังจะตายไป” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว
มุมปากของทุกคนกระตุกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เจ้านี่เนี่ยนะเป็นคนเชื่อฟัง เชื่อฟังกับผีสิ!
เซียวเหยากล่าว “ใช่! ข้าเชื่อฟังจะตายไป ประมุขน้อยเฉียนเยี่ยชี้ซ้ายข้าไปซ้าย ชี้ขวาข้าก็ไปขวา หรือจะชี้ให้ข้าอยู่ข้างล่าง ข้าก็จะ…”
มู่เฉียนซีได้ยินคำพูดนี้ของเขาก็ทนไม่ไหวจึงกล่าวกับเขาอย่างเย็นชาว่า “เจ้าหุบปากได้แล้ว!”
เซียวเหยาก้มหน้าพลางกล่าว “ก็ได้!” จากนั้นก็หุบปากไปอย่างเชื่อฟัง
มู่เฉียนซีกล่าว “ผู้อาวุโสสูงสุด เห็นรึยังล่ะ! ตราบใดที่เจ้าไม่ยั่วโมโหเราสองคน แม่นางเซียวก็เชื่อฟังมาก”
“ท่านหัวหน้าตำหนัก!” ผู้อาวุโสสูงสุดมองไปที่กู้ไป๋อีที่ตอนนี้ใบหน้าแทบจะก่อตัวเป็นน้ำค้างแข็งแล้ว
“มีข้าอยู่ เขาหนีไปไหนไม่ได้หรอก! เขาจะต้องพาพวกเราไปที่เหวพิษของตระกูลเซียวอย่างราบรื่นให้ได้”
กู้ไป๋อีคิดว่าหลังจากออกมาจากเหวพิษของตระกูลเซียวครั้งนี้ จะต้องให้ซีเอ๋อร์ส่งเจ้าเซียวเหยาผู้นี้ไปอยู่ที่ไกล ๆ ยิ่งไกลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
เจ้านี่พูดจาไม่รู้จักกาลเทศะ คิดอยากจะพูดอะไรก็พูด!
กู้ไป๋อีต้องการจะปกป้องมู่เฉียนซี ผู้อาวุโสสูงสุดก็จนปัญญาพูดอะไรไม่ได้!
พวกเขายังคงเดินวนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งฟ้ามืดก็ยังไม่ถึงเหวพิษ
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “ทุกคนก็เหนื่อยมากแล้ว ตั้งค่ายพักแรมกันก่อนดีกว่า!”
“ขอรับ!”
ในขณะที่พวกเขากำลังตั้งค่ายอยู่นั้น จู่ ๆ กองกำลังอีกกองกำลังหนึ่งก็เข้ามาใกล้
เมื่อชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าคนหนึ่งเห็นพวกเขาแล้ว ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้น “นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอกับตำหนักเป่ยหาน นับว่ามีวาสนาต่อกันจริง ๆ! ข้าคือหัวหน้าวังอวิ๋นซิง นามว่าอวิ๋นหู”
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “อืม!”
หัวหน้าวังอวิ๋นกล่าว “พวกเราไม่ได้คิดจะมาแย่งชิงมหาวัตถุเทพแต่อย่างใด แค่พาเด็ก ๆ หนุ่มสาวออกมาเปิดโลกก็เท่านั้น ในป่ามรณะแห่งนี้ก็ไม่รู้ว่ามีอันตรายใดแอบซ่อนอยู่บ้าง ข้าตั้งค่ายพักแรมตรงนี้ด้วยได้หรือไม่ จะได้มีที่พักพิง”
ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มพลางกล่าว “พื้นที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ จะจำกัดได้อย่างไรกันเล่า”
หัวหน้าวังอวิ๋นกล่าว “ถึงแม้ว่าวังอวิ๋นซิงของพวกเราจะมีความแข็งแกร่งเพียงน้อยนิด แต่หากว่ามีพวกใดกล้าเข้ามายั่วยุพวกท่าน พวกเราก็สามารถช่วยพวกท่านจัดการได้”
วังอวิ๋นซิงกองกำลังเล็ก ๆ เช่นนี้ ไม่ได้อยู่ในสายตาของผู้อาวุโสสูงสุดอยู่แล้ว
แต่เมื่อมีคนมาเสนอตัวให้ใช้ประโยชน์เช่นนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน
แม้แต่วังอวิ๋นซิงก็มาที่นี่ นั่นก็หมายความว่ากองกำลังอื่นก็ปรารถนาที่จะครอบครองของล้ำค่าของตระกูลเซียวเช่นกัน มีกองกำลังให้ใช้ประโยชน์เช่นนี้ หากไม่ใช้ก็เสียดาย!
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “ในเมื่อหัวหน้าวังอวิ๋นยอมช่วย ข้าก็ไม่ปฏิเสธ ตั้งค่ายพักด้วยกันก็แล้วกัน!”
หลังจากที่ผู้อาวุโสสูงสุดตอบตกลง หญิงสาวผู้บอบบางผู้หนึ่งที่แอบอยู่ด้านหลังหัวหน้าวังอวิ๋นในตอนนี้ก็เหลือบมองไปดูกลุ่มของพวกเขา
และแน่นอนว่าดวงตาคู่นั้นเพ่งเล็งไปที่ร่างในชุดขาวสองร่างนั้นด้วยแววตาอันร้อนแผดเผา
หัวหน้าวังอวิ๋นกล่าว “เหลียนเอ๋อร์! เจ้าต้องคว้าโอกาสดี ๆ นี้ให้ได้นะ สองคนนั้นก็คือหัวหน้าตำหนักเป่ยหานกับประมุขน้อยเฉียนเยี่ย หากเจ้าทำให้ใครคนใดคนหนึ่งหลงเสน่ห์เจ้าได้แล้วละก็ ชีวิตเจ้าจะได้เป็นใหญ่ทันที”
การที่หัวหน้าวังอวิ๋นยอมเป็นไม้ตีไม้ต่อให้คนอื่นฟรี ๆ ก็เพราะเขาก็มีเป้าหมายเหมือนกัน และเป้าหมายของเขาก็คือการขายบุตรสาวของตัวเอง
ใบหน้าของอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย นางกล่าว “ท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว”
พวกเขาก่อไฟนั่งล้อมรอบกองไฟกินอาหารกัน จู่ ๆ บริเวณรอบ ๆ ก็ปรากฏลำแสงสีเขียวขจีขึ้น
ลำแสงนี้ร่ายระบำอยู่กลางอากาศราวกับแสงจากดาวตก
ร่างในชุดสีชมพูร่างหนึ่งพุ่งออกมาราวกับว่าตนเองนั้นเป็นผีเสื้อบินก็มิปาน พลางอุทานขึ้นว่า “ช่างงดงามจริง ๆ!”
นางร่ายระบำไปกับลำแสงสีเขียวขจีนี้พร้อมแสดงท่วงท่าอันงดงามที่สุดออกมา ดวงตาสดใสดุจดั่งหยดน้ำคู่นั้นมองไปที่มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อี
เซียวเหยาเย้ยหยัน ช่างโง่เขลายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าจะใช้อุบายเช่นนี้มาล่อลวงนายท่าน ช่างน่าตลกสิ้นดี
ร่างของนางเคลื่อนไหวมาปรากฏตรงหน้ามู่เฉียนซี กู้ไป๋อีก็หันไปมองทันที
หิ่งห้อยจำนวนมากเกาะบนร่างของนาง ทำให้ตอนนี้ร่างของนางราวกับเรืองแสงได้อย่างไรอย่างนั้น และสุดท้ายก็ลอยมาที่ร่างของมู่เฉียนซีผู้ที่ไม่ได้มีนิสัยที่เย็นชาอะไรนัก
กู้ไป๋อีนั้นเย็นชาเกินไปแล้ว ทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้!
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านประมุขเฉียนเยี่ย หิ่งห้อยเหล่านี้ช่างงดงามยิ่งนัก ท่านประมุขน้อยช่วยข้าจับหน่อยจะได้หรือไม่ เอามันเข้าไปในกระโจมตอนกลางคืน แสงสว่างของมันจะทำให้รู้สึกเหมือนกับได้นอนดูดาว มันต้องสวยมากเป็นแน่!”
มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นมองพลางร่นถัวถอยหลังไปหลายก้าว “แม่นางผู้นี้ อยู่ห่าง ๆ ข้าให้ไกล ๆ หน่อยได้หรือไม่?”
การปฏิเสธของมู่เฉียนซีทำให้อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์รู้สึกเขินอายเล็กน้อย!
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์กล่าวด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “ท่านประมุขน้อยเฉียนเยี่ย เหลียนเอ๋อร์มัวแต่ห่วงเล่นไปหน่อย แต่หิ่งห้อยพวกนี้มันสวยมากจริง ๆ นะ ท่านไม่รู้สึกว่ามันสวยบ้างเหรอ?”
“ไสหัวไปไกล ๆ!” ร่างที่ไร้ซึ่งอุณหภูมิราวกับน้ำแข็งร่างหนึ่งพุ่งออกมา ทำให้อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ตกใจจนรีบถอยหลังไป
ตุบ! อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ไม่ทันระวังจนสะดุดล้มลงไปกับพื้น
“เหลียนเอ๋อร์!” หัวหน้าวังอวิ๋นอยากจะเข้าไปประคองอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ แต่ทันใดนั้นอวี้ปิงชิงก็กล่าวขึ้นว่า “หัวหน้าวังอวิ๋น ทางที่ดีอย่าได้แตะต้องแม่นางอวิ๋นเป็นอันขาด”
หัวหน้าวังอวิ๋นตกใจผงะไป “ทำ…”
เขายังไม่ทันกล่าวจบ จู่ ๆ ก็เห็นรูปร่างของหญิงสาวตรงหน้าพลันเปลี่ยนไปแล้ว!
เสื้อผ้าอาภรณ์พลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวเรืองแสง ทรงผมก็เปลี่ยน ใบหน้าก็เปลี่ยน ผิวหนังก็เปลี่ยน กลายเป็นตัวประหลาดเรืองแสงสีเขียวไปทั้งตัว
“อ๊า!” หัวหน้าวังอวิ๋นร้องอุทานขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นบุตรสาวของตนเองกลายเป็นเช่นนี้
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความกล้ำกลืนใจว่า “ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นอะไรไป?”
“จะ เจ้า…”
ชั่วครู่หนึ่ง อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ก็เอามือจับผมตัวเอง และพบว่าเส้นผมของตัวเองเป็นประกาย อีกทั้งยังกลายเป็นสีเขียวอีกด้วย!
นางเอากระจกออกมาส่อง ในกระจกนั้นปรากฏตัวประหลาดสีเขียวผู้หนึ่งขึ้น นางตกใจจนตาเหลือกขึ้นฟ้าจวนจะเป็นลมหมดสติอยู่รอมร่อ!
“อ๊า!”
“นี่มัน…นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ขะ ข้า…ฮือ ๆ ๆ!” อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ร้องห่มร้องไห้เสียงดัง
ในตอนนี้เอง น้ำเสียงเย้ยหยันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ก็ไม่รู้เอาซะเลยนะว่าที่นี่มันเป็นสถานที่เช่นไร นี่มันป่ามรณะนะ ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นในที่แห่งนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอยากแตะต้องก็จะแตะต้องได้”
“ฮือ ๆ ๆ! ข้าจะทำเช่นไรดี จะทำเช่นไรดี?”
ร่างในชุดสีขาวร่างหนึ่งเดินมา นางกล่าว “แม่นางอวิ๋นไม่ต้องกลัว พิษหิ่งห้อยนี่ไม่ใช่พิษร้ายแรง! เจ้ากินยาแก้พิษของข้า สามวันอาการเจ้าก็จะหายกลับมาเป็นปกติแล้ว”
“จริงเหรอ?” อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์จับมืออวี้ปิงชิงด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเห็นมือประหลาดคู่นี้จับมือนาง อวี้ปิงชิงก็แทบอยากตัดมือนางทิ้งด้วยความรังเกียจ นางรีบสะบัดมือนางออกและกล่าวว่า “แม่นางอวิ๋นรีบกินยาแก้พิษเถอะ!”
“ตกลง!”
เมื่อถึงยามดึก ทุกอย่างในบริเวณโดยรอบก็เงียบสงัดลง!
สถานที่ตั้งค่ายพักแรมนี้เซียวเหยาเป็นคนเลือก นอกจากหิ่งห้อยสีเขียวนั้นแล้วก็ไม่มีอันตรายอื่นใดอีก
ก่อนที่มุ่เฉียนซีจะเดินเข้าไปในกระโจม นางกล่าวว่า “วันนี้ยังสนุกไม่พอรึไง?”
เซียวเหยากล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “นายท่าน ก็ข้ารู้สึกอึดอัดใจนี่นา ข้าก็เลย…ก็เลยทำเช่นนั้นไป แต่ครั้งหน้าไม่กล้าทำอีกแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “อึดอัดก็ระบายเถอะ! อันที่จริงสั่งสอนพวกนั้นบ้างก็ดีเหมือนกัน”
เซียวเหยาโผจะเข้าไปกอดมู่เฉียนซีด้วยความตื่นเต้นพลางกล่าว “ข้ารู้อยู่แล้วว่านายท่านรักข้าที่สุด!”
.