ตอนที่ 560 เจ้าสำนักตัวจริงของสำนักเทียนอี! อ่อยคุณ
ยากมากที่จะมีแพทย์แผนโบราณชำนาญทั้งการฝังเข็มและการปรุงยา มักจะชำนาญเพียงอย่างเดียว
แน่นอนว่าอัจฉริยะแพทย์แผนโบราณต่างเก่งทั้งสองอย่าง ทั้งเมิ่งชิงเสวี่ยและหลินชิงจยา
เพียงแต่แพทย์แผนโบราณแบบนี้มีน้อยเหลือเกิน
อาจารย์หมอค่อนข้างชำนาญการฝังเข็ม แน่นอนว่าการปรุงยาก็ไม่ได้ด้อย ก็แค่ไม่ได้ดีถึงขั้นสุด
“ถ้าอาจารย์หมอรับเธอเป็นลูกศิษย์ได้ก็ถือเป็นเกียรติของเธอครับ” คนดูแลพูด “เธอต้องมาแน่นอนครับ”
แพทย์แผนโบราณตั้งเท่าไรที่อยากเข้าสำนักเทียนอี แต่กลับถูกกีดกันไว้
ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์หมอยังเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สองของสำนักเทียนอี
ลูกศิษย์รุ่นเดียวกับเขา ถ้าไม่รับลูกศิษย์เป็นของตัวเองส่วนใหญ่ก็ไม่ออกมากันแล้ว
แพทย์แผนโบราณระดับนี้ หากตระกูลจอมยุทธ์ต้องการเชิญตัวยังต้องให้บรรดาผู้นำตระกูลมาเชิญเท่านั้น
หลินจิ่นอวิ๋นก็เชิญอาจารย์หมอไม่ได้
คนดูแลก็ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายสมาชิกระดับสี่คนนี้ของสมาพันธ์โอสถจะถูกใจอาจารย์หมอได้
อาจารย์หมอพูดเสียงขรึม “แน่นอน”
“งั้นผมจะตอบกลับทางสมาพันธ์โอสถครับ” คนดูแลเก็บเอกสารข้อมูลส่วนตัวของอิ๋งจื่อจิน “รีบให้เธอมาสำนักเทียนอีโดยเร็วที่สุด”
“ไปเถอะ อ้อจริงสิ ยังมีอีกเรื่อง” อาจารย์หมอพูดอย่างไม่รีบร้อน “ถ้าเด็กคนนั้นมาเป็นลูกศิษย์ฉันก็ต้องถอนตัวออกจากสมาพันธ์โอสถ เธอไม่มีเวลาให้ทางนั้นหรอก”
ศาสตร์มืดสิบสามเข็มที่เป็นหนึ่งในวิชาฝังเข็มที่สืบทอดกันมาของสำนักเทียนอี แม้แต่เขายังเรียนตั้งยี่สิบปี
แพทย์แผนโบราณบางคนอายุยืน บางคนอายุสั้น
แพทย์แผนโบราณอายุยืนที่เขารู้จัก คนหนึ่งคืออาจารย์อวี้เซวียนที่เป็นอาจารย์ของเขา ปีนี้อายุหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าปีแล้ว
ส่วนปรมาจารย์ฝูซีของสำนักเทียนอีคิดว่าน่าจะอายุเกือบสามร้อยปีแล้ว สู้พวกผู้นำตระกูลเก่าแก่ของตระกูลจอมยุทธ์ได้สบาย
แต่แพทย์แผนโบราณที่อายุสั้นมีเยอะกว่า โดยเฉพาะตระกูลเมิ่ง
อาจารย์หมอย่อมรู้จักเมิ่งชิงเสวี่ย แต่ไม่ได้สนใจเท่าไร
เขาลองคาดการณ์ดู เมิ่งชิงเสวี่ยอยู่ได้ถึงอายุสามสิบก็ถือว่ามหัศจรรย์แล้ว
อัจฉริยะที่แท้จริงสุดท้ายก็มีแค่หลินชิงจยา
ส่วนอิ๋งจื่อจินคนนี้ ก็ไม่รู้ว่าพอสู้หลินชิงจยาได้หรือเปล่า
…
สมาพันธ์โอสถ
อาจารย์หลี่ได้รับข้อความตอบกลับจากคนดูแล
เขาย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของอาจารย์หมอ แต่นึกไม่ถึงว่าอาจารย์หมอจะให้อิ๋งจื่อจินถอนตัวจากสมาพันธ์โอสถ
อาจารย์หลี่ชักลังเล
สมาพันธ์โอสถเป็นเพียงสมาพันธ์ของนักปรุงยา ไม่เหมือนสำนักเทียนอี ถอนตัวไปแล้วไม่มีผลอะไรตามมา
แต่ถ้าถูกไล่ออกหรือออกจากสำนักเทียนอีด้วยตัวเอง จะต้องคืนวิชาทั้งหมดให้ทางสำนักเทียนอีและถอนวรยุทธ์
อาจารย์หลี่คิดอยู่นาน จากนั้นก็ส่งข้อความหาอิ๋งจื่อจิน
ตอนนี้เขารู้สึกว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งดี ไม่ต้องใช้คนไปส่งข่าว
อาจารย์คนอื่นต่างอิจฉาที่ว่าทำไมโทรศัพท์มือถือของเขาถึงเล่นเน็ตได้ แต่เขาไม่ยอมบอกเคล็ดลับ
อิ๋งจื่อจิน : [ไม่ต้องค่ะ ฉันไม่ไป]
อิ๋งจื่อจิน : [ไม่ต้องคิดมากนะคะ เดิมทีฉันก็ไม่ได้อยากไปอยู่สำนักเทียนอีอยู่แล้วค่ะ]
พอเห็นประโยคที่สองอาจารย์หลี่ก็ไม่เกลี้ยกล่อมอีก เขาส่งข้อความแบบเดียวกับที่อิ๋งจื่อจินตอบมาไปที่สำนักเทียนอี
อาจารย์หมอไม่คาดคิดว่าคนที่ถูกปฏิเสธกลับเป็นเขา
เขาถึงขั้นเตรียมตัวที่จะสอนอิ๋งจื่อจินแล้ว
“อายุแค่เท่านี้กลับทำตัวอวดดี ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน ชีวิตจะไปได้ไกลสักแค่ไหน” อาจารย์หมอเคราสั่น “คิดจริงเหรอว่าฉันอยากจะรับไว้”
“อาจารย์หมออย่าโมโหเลยครับ” คนดูแลรีบพูดขึ้น “เธอไม่มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ถือเป็นความเสียหายของเธอครับ”
ไม่เข้าสำนักเทียนอีแล้วจะเรียนศาสตร์มืดสิบสามเข็มกับการใช้เข็มทองได้อย่างไร
วิชาฝังเข็มเหล่านี้แม้แต่ตระกูลเมิ่งก็ไม่มี
“ฉันไม่จำเป็นต้องเสียอารมณ์กับเด็กเมื่อวานซืนหรอก” อาจารย์หมอฮึดฮัด “จะมาหรือไม่มาก็ตามใจ”
เขาลุกเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
เจอผู้อาวุโสฉีอาจารย์ของหลินชิงจยาพอดี
ผู้อาวุโสฉีทำหน้างง “ศิษย์น้อง เป็นอะไรไป”
อาจารย์หมอหยิ่งในศักดิ์ศรี ย่อมไม่มีทางเล่าเรื่องที่ตัวเองถูกปฏิเสธ เขาเปลี่ยนเรื่องคุย “อาจารย์เคยบอกไหมว่า ท่านอาจารย์อาวุโสจะออกจากเขาเมื่อไร”
ผู้อาวุโสฉีส่ายหน้า “ขนาดคุณชายฝูเฉินยังไม่ได้เจออาจารย์อาวุโส ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเราเลย”
ฝูซีเก็บตัวอยู่ในตระกูลฝู ถ้าเธอไม่ออกมาเอง ใครก็ตามหาตัวไม่เจอ
“แต่มีอยู่เรื่อง อาจารย์เคยบอกไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน” ผู้อาวุโสฉีคิดอยู่สักพักแล้วพูดขึ้น “อาจารย์อาวุโสยังมีอาจารย์ของตัวเองอีกคนหนึ่ง คนนั้นต่างหากที่เป็นเจ้าสำนักเทียนอีอย่างแท้จริง”
อาจารย์หมออึ้ง พูดเสียงหลง “อาจารย์อาวุโสยังมีอาจารย์อีกเหรอ”
“ชู่ว เบาๆ หน่อย เรื่องแบบนี้ห้ามลือออกไป” ผู้อาวุโสฉีกระซิบ “อาจารย์เจ้าสำนักคนนี้นี่แหละที่เป็นต้นกำเนิดของแพทย์แผนโบราณและวิชาฝังเข็ม เธอสร้างมาเองทั้งหมด”
“ฉันได้ยินอาจารย์บอกว่า อาจารย์อาวุโสกำลังตามหาอาจารย์ตัวเองอยู่”
เคราอาจารย์หมอสั่นอีกครั้ง พูดเสียงสั่น “อาจารย์เจ้าสำนักท่านนี้ยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ” ผู้อาวุโสฉีถอนหายใจ “ผู้ริเริ่มแพทย์แผนโบราณ ไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์เจ้าสำนักจะเก่งกาจขนาดไหน”
อาจารย์หมอก็พยักหน้าเห็นด้วย
สิ่งที่พวกเขาต้องเรียน แต่คนอื่นเป็นผู้ริเริ่ม แตกต่างกันแบบไม่ธรรมดา
“ศิษย์น้อง นายเก็บอารมณ์บ้าง” ผู้อาวุโสฉีพูดต่อ “ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อน”
อาจารย์หมอสีหน้าแย่ลง
ลูกศิษย์ของอวี้เซวียนมีแค่เขากับผู้เฒ่าฉี
แต่เนื่องจากเขาไม่มีศิษย์น้อง สถานะของผู้อาวุโสฉีก็เลยอยู่สูงกว่าเขา
อาจารย์หมอกัดฟัน ตัดสินใจได้ สุดท้ายก็ลดทิฐิลงแล้วไปที่สมาพันธ์โอสถ
…
อีกด้านหนึ่ง มหาวิทยาลัยตี้ตู
ถึงแม้จะใกล้ถึงช่วงหยุดปีใหม่แล้ว แต่ช่วงนี้ก็อยู่ในเดือนสอบของมหาวิทยาลัยพอดี ห้องสมุดกับห้องทบทวนเต็มไปด้วยนักศึกษา
เนื่องจากอิ๋งจื่อจินเป็นนักศึกษาของทุกคณะ เธอสามารถเลือกวิชาสอบปลายภาคได้
เลือกวิชาหลักจากสามคณะใหญ่ นอกจากนี้ยังต้องเลือกวิชาจากวิศวกรรมเครื่องจักร วิศวกรรมสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ และชีวเคมี
อิ๋งจื่อจินปฏิเสธการสอบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเอกภาษาจีน
เธอไม่อยากเขียนแม้แต่อักษรเดียว
“ศาสตราจารย์จั่วคะ นี่ตั๋วโซนเอสามใบของงานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ค่ะ” อิ๋งจื่อจินวางตั๋วลง “แย่งมาให้โดยเฉพาะเลยนะคะ”
เธอมีตั๋วโซนเออยู่ไม่มาก หลังจากแบ่งเสร็จก็เหลืออยู่แค่สามใบนี้
จั่วหลีดีใจมาก “โอเคๆ ขอบใจมาก นักศึกษาอิ๋ง อาจารย์มี…”
อิ๋งจื่อจินเดินออกไปก่อนจั่วหลีจะพูดเรื่องเขียนบทความ
จั่วหลี “…”
ด้านนอกหิมะโปรยปราย เธอเอาหมวกขึ้นมาสวม
โทรศัพท์มือถือดังขึ้น
ภายในเวลาอันสั้นไม่กี่วัน อาจารย์หลี่โทรวีแชทเป็นแล้ว
“คุณอิ๋งครับ อาจารย์หมอมาด้วยตัวเองเลยครับ เขาอยากรับคุณเป็นลูกศิษย์ครับ” เขาคิดแล้วพูดต่อ “อยู่ข้างๆ ผม เดี๋ยวเอาให้คุยนะครับ”
อาจารย์หมอไม่ชอบใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีพวกนี้ แต่สุดท้ายก็รับโทรศัพท์มือถือจากมืออาจารย์หลี่ไป “สาวน้อย พวกเราถอยกันคนละก้าว เธอยังคงอยู่ในสมาพันธ์โอสถได้”
“พอเข้าสำนักเทียนอีแล้ว เธอจะเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่ฉันถ่ายทอดวิชาให้ หากสอบผ่านเธอก็จะมีโอกาสเจออาจารย์อาวุโส อีกทั้ง…”
เขายังไม่ทันพูดจบ
“ไม่ไปไม่นัดค่ะ” อิ๋งจื่อจินพูดเสียงเย็นชา “ถามอีกจะบล็อก”
เธอกดตัดสายทิ้ง
ฟู่อวิ๋นเซินรอเธออยู่หน้ามหาวิทยาลัย เขาไม่ได้ขับรถมา ทั้งสองคนกางร่มเดินกลับ
เขาเห็นเธอสีหน้าเย็นชาจึงลูบศีรษะเธอ “เป็นอะไรไปเยาเยา”
“มีคนอยากรับฉันเป็นศิษย์” อิ๋งจื่อจินไม่ปิดบัง เธอหาวออกมา “ฉันปฏิเสธไปแล้ว รำคาญ”
ฝีมือการรักษาแค่นั้นยังคิดจะมาสอนเธออีกเหรอ
ยิ่งเรียนยิ่งถอยหลังล่ะไม่ว่า
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ถามอะไรมาก ดวงตาดอกท้อโค้งมน “เยาเยาของพี่ชายเป็นที่ชื่นชอบขนาดนี้ มีคนแย่งกันทุกวันเลยนะ”
“อืม…” อิ๋งจื่อจินหันไป พูดเสียงราบเรียบ “เป็นของคุณ”
นิ้วของฟู่อวิ๋นเซินหดเกร็งเล็กน้อย รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย
สาวน้อยคนนี้เอาอีกแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขาจะวางมาดไม่อยู่แล้วนะ
…
เวลาหกโมงเย็นเลิกเรียน จั่วหลีหยิบตั๋วสามใบกลับบ้านอย่างสบายใจท่ามกลางสายตาอิจฉาปนหมั่นไส้ของเหล่าศาสตราจารย์
ภรรยาของเขาเป็นแฟนคลับของฉินหลิงอวี๋ ลูกชายวัยห้าขวบบางครั้งยังตามแม่ไปดูหนังของซังเย่าจือด้วยกัน
จั่วหลีเอาตั๋วสามใบให้ภรรยาเสร็จก็เข้าห้อง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาติดต่อศูนย์ฟิสิกส์สากล
เนื่องจากจั่วหลีตีพิมพ์บทความแรกตอนอายุยี่สิบก็เข้าตาศูนย์ฟิสิกส์สากลแล้ว ต่อมายังได้ทยอยตีพิมพ์อีกสิบกว่าบทความ ประสบความสำเร็จมาก เขาจึงมีสายไว้ติดต่อโดยเฉพาะ
ปลายสายกดรับอย่างรวดเร็ว “สวัสดีครับ ที่นี่ศูนย์ฟิสิกส์สากล ไม่ทราบว่าติดต่อเรื่องอะไรครับ”
“ผมจั่วหลีจากคณะฟิสิกส์มหาวิทยาลัยตี้ตูครับ” จั่วหลีพูด “บทความที่ผมส่งไปเมื่อปลายเดือนตุลาคมไม่ทราบว่ามีความคืบหน้าไหมครับ”
นี่ตั้งสองเดือนแล้ว ตามขั้นตอนยังไม่ถึงกับตัดสินเป็นบทความกิตติมศักดิ์ แต่นี่ทำไมไม่มีความคืบหน้าเลยสักนิด
หากว่ากันตามเหตุผลเวลานี้ควรผ่านการพิจารณารอบสองแล้ว
ก่อนจะผ่านการพิจารณาขั้นสุดท้ายจะต้องมีการติดต่อเขามาหารือเรื่องต่างๆ
จั่วหลีรู้ว่าการให้อิ๋งจื่อจินเขียนบทความถือเป็นการทรมานเธอมากพอแล้ว เขาจึงดูแลเรื่องสิทธิบัตรอะไรพวกนี้ให้
“บทความปลายเดือนตุลาคมเหรอครับ” เจ้าหน้าที่เปิดคอมพิวเตอร์ เริ่มตรวจสอบให้ “รบกวนขอทราบรหัสบทความกับขอบเขตงานวิจัยด้วยครับ”
จั่วหลีขมวดคิ้ว “เอส สามศูนย์หนึ่งเก้า ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ครับ”
ไม่กี่นาทีต่อมาเจ้าหน้าที่ก็ตอบอย่างสุภาพ “ขอโทษด้วยครับศาสตราจารย์จั่วหลี บทความที่คุณต้องการทราบไม่ผ่านการพิจารณา ตามกฎแล้วจึงไม่มีการตอบกลับ ยังมีข้อสงสัยอะไรอีกไหมครับ”