ตอนที่ 369 ติ่งดารา
เมืองหลวง ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงปักกิ่ง
ประกาศแจ้งเที่ยวบินที่มาถึงติดต่อกันสองครั้ง ทางออกของอาคารผู้โดยสาร T2 มีคนมากมายมายืนล้อมอยู่ด้านนอก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินสิบกว่าคนราวกับเผชิญหน้ากับศัตรู คอยคุ้มกันกลุ่มคนให้อยู่นอกเส้นกั้น
นอกจากนักข่าวที่ถือกล้องถ่ายรูปหรือแบกกล้องถ่ายวิดีโอแล้ว มากไปกว่านั้นคือกลุ่มวัยรุ่นที่ชูป้ายยินดีต้อนรับ นักท่องเที่ยวที่อยู่แถวนั้นจึงมองมาด้วยสายตาที่สงสัยและตกใจ คาดเดาว่าน่าจะเป็นคนดังที่มาจากต่างประเทศ
“มาแล้วๆ!”
เสียงร้องกรี๊ดดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มผู้คน ช่องทางเดินปรากฏคนกลุ่มหนึ่งพร้อมกับกระเป๋าใบน้อยใหญ่ที่เข็นมากับรถเข็นสัมภาระ ในหมู่คนเหล่านั้นคนที่อยู่ด้านหน้าสุดคือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมแว่นกันแดดคนหนึ่งกับหญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวสวมผ้าปิดปากคนหนึ่ง
ทั้งสองคนเดินจูงมือกัน มีความสนิทสนมอย่างเห็นได้ชัด
แชะๆ!
วินาทีต่อมา แสงแฟลชสว่างวาบทันที เลนส์กล้องสั้นยาวแต่ละอันโฟกัสไปที่คู่รักคู่นี้!
“ลู่เฉิน!” “เฉินเฟยเอ๋อร์!”
ผู้คนรอบนอกส่งเสียงกรี๊ดเสียงดังขึ้นมาทันที ผสมปนเปกับคำสารภาพรักอย่างเช่น ‘ฉันรักคุณ’ อีกมากมาย ป้ายชื่อที่ตั้งใจทำอย่างประณีตแต่ละชิ้นถูกชูให้สูงขึ้น ทำให้บรรยากาศที่สนามบินคึกคักมากเป็นพิเศษ!
มีหลายคนพยายามเดินเบียดมาข้างหน้า จึงเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย โชคดีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานมีประสบการณ์เยอะ สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันการ ไม่เกิดความวุ่นวายโกลาหลขึ้นมาจริงๆ
ลู่เฉินตกใจกับเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า จึงหยุดชะงักอย่างช่วยไม่ได้
กองละคร ‘ฟูลเฮ้าส์’ ใช้เวลาถ่ายทำที่กรุงโซลสองวัน ดังนั้นวันที่ 20 พฤษภาคมจึงเป็นวันเดินทางกลับเมืองหลวง
ด้วยเหตุนี้ฉากที่ถ่ายทำต่างประเทศจึงถ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนในประเทศได้แบ่งกองถ่ายทีมหนึ่งถ่ายฉากที่เกี่ยวข้องกับตัวประกอบอยู่ในเมืองหลวง หลังจากนั้นทั้งสองทีมจะมารวมตัวกันอีกครั้ง แล้วย้ายกองไปที่โรงถ่ายจินหลิง
ลู่เฉินคาดคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่า เขากับเฉินเฟยเอ๋อร์จะเจอการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่อลังการในสนามบินเช่นนี้
แฟนคลับที่มาถึงสนามบินมีอย่างน้อยหลักร้อย และยังมีนักข่าวและสื่ออีกจำนวนมาก
เนื่องจากเฉินเฟยเอ๋อร์มีประสบการณ์เยอะกว่า จึงเอ่ยพูดเบาๆ ว่า “ไม่ต้องสนใจนักข่าวพวกนี้ พวกเราเดินตรงไปเลย อย่าอยู่ที่นี่นาน รถรับส่งน่าจะจอดรออยู่ข้างนอกแล้ว”
ลู่เฉินพยักหน้า จูงมือเฉินเฟยเอ๋อร์รีบเดินออกไปข้างนอก
“ลู่เฉิน ขอถามว่าคุณมองเรื่องการปะทะกันที่เกิดขึ้นกับโคจิ คิตากาวะยังไงบ้างคะ”
“คุณเฉินเฟยเอ๋อร์ สามารถพูดถึงตอนที่ลู่เฉินถูกตำรวจเกาหลีคุมตัวไปได้ไหมคะ ว่าคุณรู้สึกยังไงบ้าง”
“ลู่เฉิน ตอนที่อยู่เกาะเชจู คุณมีเจตนาอะไรถึงต้องลงมือด้วยตัวเองคะ”
“ลู่เฉินๆ…”
สำหรับนักข่าวที่ถามคำถามไร้สาระเหล่านี้ ลู่เฉินกระอักกระอ่วนใจจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เฉินเฟยเอ๋อร์บอกให้เขาไม่ต้องสนใจนักข่าวพวกนี้ ไม่อย่างนั้นพูดครึ่งค่อนวันก็ยังอธิบายไม่ชัดเจน
เขาเองก็คาดคิดไม่ถึงว่า เรื่องนี้จะมีผลกระทบที่ใหญ่ขนาดนี้ ตอนที่อยู่ที่กรุงโซล ไม่เพียงแต่ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของเกาหลีเท่านั้น แม้แต่นักข่าวของสื่อในประเทศจีนก็ยังวิ่งไปถึงที่นั่นหลายคน
เพียงแต่สิ่งที่สมควรพูดลู่เฉินได้พูดไปหมดแล้ว และในบล็อกก็ได้ประกาศอย่างชัดเจน
เขาไม่จำเป็นต้องใช้เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างกระแส ถึงแม้ในอินเทอร์เน็ตจะเป็นกระแสใหญ่โตแล้วก็ตาม
“ลู่เฉิน ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ”
แฟนคลับสาวคนหนึ่งพยายามลอดผ่านการสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ใช้แรงอย่างเต็มที่ยื่นสมุดและปากกาไปหาลู่เฉิน ใบหน้าสดใสแดงก่ำ ท่าทางเหมือนคนใกล้จะร้องไห้
ลู่เฉินไม่อยากสนใจนักข่าว แต่เมื่อเห็นหญิงสาวอายุสิบกว่าปีคนนี้ที่ไม่สนใจการดุและผลักของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พยายามสุดชีวิตเพื่อให้ได้ลายเซ็น เขาก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไป
ลู่เฉินปล่อยมือเฉินเฟยเอ๋อร์ทันที รีบเดินเข้าไปหา
เขารับปากกาของอีกฝ่าย รีบเซ็นชื่อของตัวเองลงบนสมุดอย่างรวดเร็ว
เมื่อเซ็นชื่อเสร็จแล้ว ลู่เฉินจึงเอ่ยขอโทษกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินทั้งสองคนที่มีสีหน้าไม่ค่อยเป็นมิตรนัก “ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ สร้างความยุ่งยากให้พวกคุณแล้ว!“
เขาคาดคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กองละครเองก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีแฟนคลับมากมายมารอรับที่สนามบินเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นถ้าใช้ช่องวีไอพีก็คงจะไม่เกิดเรื่องอะไร เลยสร้างความวุ่นวายให้กับสนามบินไม่น้อยโดยไม่มีสาเหตุ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ พวกคุณรีบไปเถอะ ผมให้เพื่อนร่วมงานเปิดทางให้พวกคุณแล้ว จะได้ไม่มาออกันที่หน้าประตูครับ”
อันที่จริงเหตุการณ์แบบนี้พวกเขาเจอหลายครั้งแล้ว แต่ลู่เฉินเป็นศิลปินดาราคนแรกที่มาขอโทษพวกเขา
ปกติดาราดังเหล่านี้ ใครบ้างจะสนใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตัวเล็กๆ อย่างพวกเขา
“ลู่เฉินๆ!”
เมื่อเห็นแฟนคลับคนหนึ่งได้ลายเซ็นของลู่เฉินไปแล้ว แฟนคลับคนอื่นๆ ก็ยิ่งตื่นเต้น อยากใกล้ชิดกับไอดอลเหมือนกัน
ลู่เฉินรู้ว่าหากตัวเองไม่เดินออกไปเดี๋ยวจะเกิดเรื่องจริงๆ เขารีบโบกมือให้แฟนๆ เหล่านั้นแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณครับ!”
จากนั้นเขาก็จูงมือเฉินเฟยเอ๋อร์ รีบเดินออกไปตรงประตูทางออกอย่างรวดเร็วภายใต้การคุ้มกันของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ขึ้นรถยนต์อเนกประสงค์ที่จอดรออยู่นอกบริเวณจุดรับผู้โดยสาร
หลังจากที่รถขับออกไปได้ระยะหนึ่ง ลู่เฉินผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ยินดีด้วย นายมีติ่งดาราส่วนตัวแล้ว!”
ติ่งดาราคำนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในยุค 90 พอเห็นชื่อของมันก็จะทราบถึงความหมายแฝง ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนหรือคนบางคนที่ศรัทธาในตัวดาราศิลปิน ติ่งพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัยรุ่น มีทัศนคติที่ทันสมัยและพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่
ติ่งดาราก็เป็นแฟนคลับเหมือนกัน แต่แตกต่างจากแฟนคลับทั่วไป ความคิดเห็นของสังคมที่มีต่อคนกลุ่มนี้ไม่ดีนัก ในข่าวมักจะมีการรายงานว่าติ่งดาราบางคนบ้าคลั่งถึงขนาดลืมกินลืมนอนอยู่เป็นประจำ กระทั่งยังมีที่สุดโต่งมากกว่านั้น
อย่างการมารอรับศิลปินที่สนามบินถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย มีติ่งดาราบางคนต้องการที่จะได้เจอหน้าไอดอลสักครั้ง ถึงขนาดยอมเดินทางอย่างยาวไกลเพื่อสะกดรอยตามไอดอล มีความทรหดอดทนเป็นอย่างมากเพราะอยากจะใกล้ชิดกับไอดอล
หากพิจารณาในอีกแง่มุมหนึ่ง ศิลปินไอดอลคนหนึ่งถ้าหากไม่มีบรรดาติ่งที่บ้าคลั่ง ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ
ด้วยเหตุนี้อาชีพติ่งดาราจึงได้ถือกำเนิดขึ้น โดยถูกแอบจ้างจากบริษัทเอเจนซี่ของศิลปินดารา รับบทบาทเป็นผู้นำกลุ่มแฟนคลับหรือผู้ที่มีสิทธิ์มีเสียงในการพูดอย่างเต็มที่ สร้างกระแสให้กับศิลปินไอดอลอย่างต่อเนื่อง
ลู่เฉินเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง ถึงแม้จะมีการตั้งงบประมาณสำหรับทำการโปรโมตผ่านสื่อเอาไว้ แต่เขาไม่เคยจ้างแฟนคลับอาชีพเลยสักคน เพราะฉะนั้นติ่งดาราเหล่านี้จึงเป็นแฟนคลับตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย มากพอที่จะอธิบายถึงความฮอตของเขาในตอนนี้ว่าสูงมากแค่ไหน!
ลู่เฉินพอเข้าใจกลุ่มพวกนี้อยู่บ้าง ดังนั้นคำแซวเล่นของเฉินเฟยเอ๋อร์ เขาจึงจนใจมากกว่า
การที่มีติ่งเยอะเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก โดยปกติทั่วไปอาจจะเจอการก่อกวนต่างๆ นานา เทียบกันแล้ว แฟนคลับที่อยู่ตามแพลตฟอร์มถ่ายทอดสด บล็อก ฟอรัมต่างๆ น่ารักกว่าเยอะ
กริ๊ง~
ลู่เฉินกำลังอยากจะสอบถามเรื่องนี้กับเฉินเฟยเอ๋อร์อีกสองสามประโยค โทรศัพท์ที่เขาเพิ่งเปิดเครื่องไม่นานก็พลันดังขึ้น
คนที่โทรมาหาเขาก็คือพี่หลี “ลู่เฉิน พวกเธอถึงเมืองหลวงหรือยัง”
ลู่เฉินยิ้มตอบว่า “เพิ่งถึงครับ ตอนนี้อยู่บนรถ พี่หลีมีอะไรอยากชี้แนะไหมครับ”
พี่หลีทำเป็นพูดดุ “ชี้แนะอะไรล่ะ! ฉันจองโต๊ะที่โรงแรมรีเจนซี่แล้ว นายกับเฉินเฟยเอ๋อร์ก็มาด้วยกันเลย ถือว่าฉันเลี้ยงต้อนรับพวกเธอก็แล้วกัน”
ลู่เฉินตอบรับทันที “ครับ ผมกับเฟยเอ๋อร์ไปถึงสักประมาณหกโมงได้ไหมครับ”
พี่หลีดีใจ “โอเค อย่างนั้นฉันจะไปรอพวกเธอก่อน แล้วเจอกันนะ!”
พอวางสาย ลู่เฉินจึงพูดกับเฉินเฟยเอ๋อร์ว่า “พี่หลีจะเลี้ยงข้าวพวกเราครับ”
เฉินเฟยเอ๋อร์เอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “นายมีงานยุ่งแล้ว!”
ลู่เฉินยิ้มพลางส่ายหน้า
…………………………………………………………………………