ตอนที่ 602 หน้าแตก ลงโทษ! ไร้เยื่อใย
เขาหันไป “เชิญคุณหนูอันเข้ามา”
เมิ่งชิงเสวี่ยอึ้งอีกครั้ง
เธอเห็นอันเมี่ยวเมี่ยวเดินเข้ามาในสภาพที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เมี่ยวเมี่ยว ขอบใจนะที่วันนั้นช่วยประคองฉันบนเขา ถ้าไม่ได้เธอ ฉันอาจไม่ได้กลับมาแล้ว”
“เมิ่งชิงเสวี่ย อย่ามาทำเป็นเสแสร้ง!” ตอนนี้อันเมี่ยวเมี่ยวไม่มีความรู้สึกดีๆ เหลือให้เมิ่งชิงเสวี่ยแล้ว “เมื่อก่อนเธอไม่เผยธาตุแท้เพราะตัวเองมีพร้อมทุกอย่างใช่ไหมล่ะ”
“ฉันช่วยประคองเธอ แต่เธอกลับผลักฉันไปหางูพิษ อยากให้มันฉกฉัน เธอจะได้มีเวลาหนีไปใช่ไหมล่ะ เธอมันน่าขยะแขยงสิ้นดี!”
อันเมี่ยวเมี่ยวพักหายใจ “ลูกหลานคนอื่นในตระกูลเมิ่งก็ถูกเธอลากไปเป็นเกราะกำบังสินะ ทำไมเธอไม่ไปตายเองล่ะ”
ตอนนี้พอเธอนึกถึงก็ยังกลัวไม่หาย
ถ้าอิ๋งจื่อจินไม่ปรากฏตัว ผลักเธอออกไป เธอคงตายอยู่บนเขาแล้ว
เมิ่งสยงพูดเสียงเย็นชา “เธอยังมีอะไรอยากพูดอีกไหม”
“ท่านผู้นำตระกูลคะ ถ้าท่านต้องการเอาเรื่องหนูเพราะคนนอก งั้นหนูก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกค่ะ” เมิ่งชิงเสวี่ยหลับตาด้วยความเหนื่อยล้า “หนูทำความดีให้ตระกูลเมิ่งตั้งเท่าไร ท่านคงไม่ได้ไม่รู้ใช่ไหมคะ”
“ได้” เมิ่งสยงพยักหน้า โมโหจนหัวเราะ “ไม่ให้เชื่อคำพูดของคนนอก งั้นแสดงว่าคำพูดของคนในครอบครัวเชื่อได้สินะ”
มีคนคุ้มกันอีกสองคนประคองเด็กหนุ่มเข้ามา
เด็กหนุ่มคนนี้ก็คือคนที่อิ๋งจื่อจินช่วยดึงขึ้นมาถึงไม่ตกลงไปในหลุมกับดัก
เขาเองก็บาดเจ็บ พูดด้วยเสียงอ่อนแรง “ท่านผู้นำตระกูลครับ ผมไม่ได้พูดโกหกแม้แต่น้อย พี่สาม พี่สี่ รวมถึงสายตระกูลสายอื่นๆ ต่างก็ถูกเธอผลักลงพื้น”
เมิ่งชิงเสวี่ยร่างกายอ่อนแอมาตลอด คนตระกูลเมิ่งก็เลยค่อนข้างเอาใจใส่เธอ ไม่มีทางระแวงเธอ
ปรากฏว่ากลับเป็นการเอาชีวิตไปทิ้งโดยสูญเปล่า
ถึงแม้เมิ่งสยงจะฟังไปแล้วหนึ่งรอบ แต่เมื่อได้ฟังอีกครั้ง ความโกรธก็ยังคงพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
เมิ่งชิงเสวี่ยริมฝีปากสั่น “เพราะอิ๋งจื่อจินช่วยชีวิตนายไว้ นายเลยเข้าข้างเธองั้นเหรอ”
เด็กหนุ่มได้ยินแบบนี้ก็แสยะยิ้ม “เปล่าเลย เป็นเพราะผมมองคุณไม่ออกต่างหาก คุณชายฝูเฉินพูดถูก ผมมันมีอคติมากเกินไป”
“แต่คุณน่ะภายนอกดูโอบอ้อมอารี ในใจกลับสกปรกโสมม ยิ่งน่าดูถูกเข้าไปใหญ่!”
คนเราพอเกือบตายถึงได้เห็นธาตุแท้กัน
เมื่อเผชิญกับอันตรายแล้วไม่ช่วยยังพอเข้าใจได้ อย่างไรเสียเวลาแบบนี้คนเราก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น
แต่การดึงคนอื่นไปรับเคราะห์แทนมันก็ดูโหดเหี้ยมเกินไป
เมิ่งชิงเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก “ใช่ ฉันยอมรับ ฉันเป็นคนผลักพวกเขาเอง แต่พวกนายพูดมาตลอดไม่ใช่เหรอว่าชีวิตของฉันสำคัญที่สุด พวกเขาตายย่อมดีกว่าฉันตายหรือเปล่า”
เธอรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่ไม่คิดว่าต้องรับผิดชอบอะไร
เธอถูกประคบประหงมตั้งแต่เด็กจนโต ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะคิดว่าคนอื่นควรดูแลเธอ
ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องเอาเธอเป็นหลักก่อน
“ชีวิตคนอื่นไม่มีค่าเหรอ เธอทำให้คนตายไปอย่างน้อยสี่สิบคน แถมในนั้นยังมีญาติผู้น้องของเธอ! ผู้อาวุโสใหญ่ดูแลเอาใจใส่เธอขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่มองว่าหลานชายของเขาเป็นคน!” เมิ่งสยงง้างมือตบหน้าเมิ่งชิงเสวี่ย โมโหยิ่งกว่าเดิม “ตอนนี้เธอพูดความจริงมาเดี๋ยวนี้! เธอเป็นแพทย์ผิดจรรยาบรรณนานแล้วใช่ไหม”
“การฝึกครั้งนี้เธอก็นัดแนะกับแพทย์ผิดจรรยาบรรณคนอื่นไว้ จงใจทำร้ายอัจฉริยะของโลกแพทย์แผนโบราณใช่ไหม!”
เมิ่งชิงเสวี่ยตะลึง “หนูจะกลายเป็นแพทย์ผิดจรรยาบรรณได้ไงคะ ท่านผู้นำตระกูล แม่ของหนูตายเพราะแพทย์ผิดจรรยาบรรณนะคะ!”
“ไม่ใช่ว่าเธอพูดแล้วจะจบ ไปเชิญผู้อาวุโสฝูซี ประธานสมาพันธ์โอสถ แล้วก็ผู้นำตระกูลอันมา” เมิ่งสยงยืนขึ้น “สอบสวนอย่างเปิดเผย ฉันจะรอดูว่าเธอจะยอมพูดความจริงไหม!”
…
บ้านตระกูลฝู
อิ๋งจื่อจินลงจากเตียงได้แล้ว
“ท่านปรมาจารย์ ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว” ฝูเฉินวิ่งเหยาะเข้ามา ยังคงรู้สึกผิดอยู่มาก “เป็นเพราะผมทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะท่านปรมาจารย์กลับมาช่วยผมก็คงไม่มีทางถูกพิษงู”
“พูดอะไรแบบนั้น” อิ๋งจื่อจินเหลือบตาขึ้น “ถ้าไม่ได้นายล่อเสือตัวนั้นออกไป คนพวกนั้นคงได้ตายกันหมด ถ้าฉันไม่ไปช่วยนาย คนที่รู้สึกผิดก็ต้องเป็นฉัน ส่วนฉัน…”
นิ้วของเธอสั่น
สุดท้ายเธอก็ช่วยหมดทุกคนไม่ได้
ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ใช่ความผิดของเธอ เป็นเพราะแพทย์ผิดจรรยาบรรณ”
“ใช่ เพราะแพทย์ผิดจรรยาบรรณ” ฝูซีเดินเข้ามา “ตระกูลเมิ่งสืบได้แล้วว่าสาเหตุที่คนตระกูลเมิ่งตายไปสี่สิบกว่าคนเป็นเพราะเมิ่งชิงเสวี่ย ตอนนี้เรียกพวกเราไปเพื่อสอบสวนหาเบาะแสแพทย์ผิดจรรยาบรรณคนอื่น”
“ตัวบงการแพทย์ผิดจรรยาบรรณคือเมิ่งชิงเสวี่ยเหรอ” ฝูเฉินอึ้ง “งั้นไม่เท่ากับว่าตระกูลเมิ่งเป็นแหล่งซ่องสุมแพทย์ผิดจรรยาบรรณเลยเหรอ”
ถ้ามีเมิ่งชิงเสวี่ยเป็นคนสั่งการ แพทย์ผิดจรรยาบรรณก็ลงมือได้สบายๆ
อิ๋งจื่อจินส่ายหน้า “ไม่ใช่เมิ่งชิงเสวี่ย เธอยังไม่เก่งถึงขั้นนั้น”
ฟู่อวิ๋นเซินหยิบช้อน ป้อนโจ๊กให้เธอพลางพูดขึ้น “วางกับดักบนเขาที่พวกเธอจะขึ้นไปฝึกได้ ล่อสัตว์ป่าขนาดใหญ่เข้ามาได้ ตัวการแพทย์ผิดจรรยาบรรณคนนี้จะต้องมีอำนาจสูงแน่นอน ทั้งยังอำพรางตัวเก่ง”
เขาเหลือบตาขึ้น ยิ้มพลางพูดต่อ “ไม่แน่นายอาจคุ้นเคยเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเคยให้การเคารพนับถือ”
“นะ น่ากลัวมาก” ฝูเฉินกระชับเสื้อให้แน่นขึ้น “พี่ปรมาจารย์ พอเถอะ ผมกลัวจะตายอยู่แล้ว”
ฝูซีไม่สนใจฝูเฉิน “อาจารย์จะไปด้วยไหมคะ”
“ไปดูหน่อย” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “เธอไม่ใช่ตัวการแพทย์ผิดจรรยาบรรณ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแพทย์ผิดจรรยาบรรณ”
ฝูซีพยักหน้า ทุกคนพากันไปที่บ้านตระกูลเมิ่ง
ตอนที่อิ๋งจื่อจินกับฟู่อวิ๋นเซินไปถึง คนของตระกูลอันกับสมาพันธ์โอสถก็มากันแล้ว
กลางห้องโถงใหญ่
เมิ่งชิงเสวี่ยยังนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น แต่สีหน้าจนตรอก ไม่มีความอวดดีแบบก่อนหน้านี้แล้ว
“ทุกท่าน พยานและหลักฐานอยู่ตรงนี้แล้ว” หลักฐานที่เมิ่งสยงได้มาจากบนเขาล้วนถูกวางอยู่บนโต๊ะ “ตระกูลเมิ่งโชคร้าย แต่ทำผิดก็ต้องรับการลงโทษ”
“นี่เป็นคำสั่งที่คณะผู้อาวุโสตระกูลเมิ่งทั้งหมดลงนามแล้ว บทลงโทษที่เมิ่งชิงเสวี่ยจะได้รับ”
ฝูซีแค่หันมองแวบหนึ่ง เธอไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องของตระกูลเมิ่ง “พวกคุณตัดสินใจเอาเองก็พอแล้วค่ะ”
ประธานสมาพันธ์โอสถกับผู้นำตระกูลอันก็ไม่พูดอะไร
เมิ่งสยงพยักหน้า “ครับ งั้นก็…”
“ฉันต้องการโทรหานายน้อยสหพันธ์จอมยุทธ์!” เมิ่งชิงเสวี่ยกัดริมฝีปาก “พวกคุณจะขังฉันไว้ตลอดกาลโดยไม่ถามความเห็นของเขา ทั้งยังอยากใช้บทลงโทษอย่างอื่นอีก ไม่กลัวเขามาคิดบัญชีกับพวกคุณเหรอ!”
เธอจะถูกขังไม่ได้เด็ดขาด
เธอรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี
หากหยุดยา ไม่ถึงเจ็ดวัน ร่างกายของเธอก็จะหยุดทำงานอย่างสิ้นเชิง แล้วค่อยๆ หมดลมหายใจ
เมิ่งสยงขมวดคิ้ว
เรื่องนี้ก็จริงอย่างว่า
เมิ่งชิงเสวี่ยรักษาอาการป่วยให้นายน้อยสหพันธ์จอมยุทธ์อยู่บ่อยๆ นายน้อยคนนี้จึงผูกพันกับเธอมาก
หากสหพันธ์จอมยุทธ์เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ก็จะปกป้องเมิ่งชิงเสวี่ยได้
เมิ่งชิงเสวี่ยหยิบโทรศัพท์มือถือที่ตระกูลเมิ่งให้เธอออกมาด้วยมืออันสั่นเทา
ไม่เพียงแต่เธอจะกดโทรออก ยังกดเปิดลำโพงอีกด้วย
“คุณชิงเสวี่ยเหรอครับ” เสียงสดใสของเด็กหนุ่มดังขึ้น “ผมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโลกแพทย์แผนโบราณของพวกคุณแล้วนะครับ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ฉะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เมิ่งชิงเสวี่ยพยายามสงบสติอารมณ์ “ฉันอยากขอให้คุณมาที่โลกแพทย์แผนโบราณหน่อยค่ะ มีเรื่องสำคัญ ตอนนี้เลยค่ะ”
ขณะพูดแบบนี้เธอตั้งใจหันไปมองฟู่อวิ๋นเซิน
เธอต้องการบอกเขาว่า ต่อให้ไม่มีเขา เธอก็มีตัวเลือกที่ดีกว่าให้เลือก
สถานะของนายน้อยสหพันธ์จอมยุทธ์ในโลกจอมยุทธ์เทียบเท่ากับสมาชิกคนสำคัญอันดับหนึ่งของตระกูลจอมยุทธ์สามตระกูลใหญ่
แต่ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้ตั้งใจฟังการประชุมครั้งนี้เลย
นิ้วเรียวยาวของเขากำลังสางผมดำสลวยของอิ๋งจื่อจิน เจือไปด้วยอารมณ์หยอกเย้า
อิ๋งจื่อจินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เลิกเล่นได้แล้ว กลางวันแสกๆ รักษาภาพพจน์หน่อย”
“พี่ชายอยากฝึกถักเปียหน่อย” ฟู่อวิ๋นเซินไม่ปล่อยมือ พูดต่อ “ต่อไปมีลูกสาวจะได้ถักเปียให้ได้”
“…”
มองข้ามอย่างสิ้นเชิง
เมิ่งชิงเสวี่ยรู้สึกจุก เริ่มมีกลิ่นคาวเลือดในลำคอ
“คุณชิงเสวี่ย ขอโทษด้วยครับ สองวันนี้ผมไปไหนไม่ได้” นายน้อยสหพันธ์จอมยุทธ์พูดขึ้นในเวลานี้ “ผมกำลังฝึกกระบวนท่าใหม่ให้คนอื่นอยู่ครับ”
“อ๊ะ โทษทีครับ เธอเรียกผมแล้ว ขอวางก่อนนะครับ”
ไม่รอให้เมิ่งชิงเสวี่ยพูดอะไรก็กดตัดสายทันที
สายตาทุกคู่ต่างไปรวมอยู่ที่เมิ่งชิงเสวี่ย มีทั้งสายตาเย้ยหยันและเวทนา
เมิ่งชิงเสวี่ยมองโทรศัพท์มือถืออย่างอึ้งๆ ตอนนี้อยู่ๆ ก็นึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งออกมาได้
เธอตอบรับคำเชิญของสหพันธ์จอมยุทธ์ไปรักษาอาการป่วยให้พวกเขา ถึงแม้จะเคยพูดคุยกันอยู่ไม่น้อย แต่นายน้อยคนนี้ก็เรียกเธออย่างสุภาพว่า ‘คุณชิงเสวี่ย’ มาตลอด
มิน่าล่ะ
เพราะเขาไม่เคยมองเธอเป็นคนสนิทสนมเลย
ที่แท้ทุกอย่างก็เป็นเธอที่คิดเข้าข้างตัวเอง!
เป็นแบบนี้ได้ยังไง
เมิ่งชิงเสวี่ยหน้าซีดเหมือนกระดาษในทันที
อันเมี่ยวเมี่ยวพูดประชด “เมิ่งชิงเสวี่ย ไหนว่านายน้อยสหพันธ์จอมยุทธ์จะมาปกป้องเธอไม่ใช่เหรอ ไหนล่ะ เรียกเขามาสิ!”
“สหพันธ์จอมยุทธ์ออกจะร่ำรวย ช่วยหาสมุนไพรมาประคองอาการเธอก็น่าจะได้สักสิบกว่าปี อ้อ ไม่สิ ฉันลืมไป ในสายตาของนายน้อยสหพันธ์จอมยุทธ์ ชีวิตของเธอสู้การไปฝึกกับคนอื่นไม่ได้ และก็ไม่มีเวลาไปหาสมุนไพรให้เธอด้วย เธอนี่รู้จักคิดเข้าข้างตัวเองดีเนอะ”
เมิ่งชิงเสวี่ยหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม
เมิ่งสยงพูดเสียงเย็นชา “ลงโทษ! ถามเบาะแสแพทย์ผิดจรรยาบรรณคนอื่น”
คนคุ้มกันสองคนยกโครงเหล็กขนาดใหญ่เข้ามา