ตอนที่ 1011 สถานการณ์ตึงเครียด
จี้หยุนกุยยืนอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวน
เขาได้ยินประโยคเมื่อครู่ของฟู่เสี่ยวกวนอย่างชัดเจน เพียงแต่มิค่อยเข้าใจความหมายของคำว่าสมบูรณ์นั้นสักเท่าใดนัก
แต่ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะสนพระทัยในดินแดนของแคว้นซีเซี่ยและราชวงศ์เหลียวเป็นพิเศษ เช่นนี้สงครามจะปะทุอีกคราหรือไม่ ?
“ทูลฝ่าบาท สายลับของเราได้ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาต้าเซียนเปยเป็นที่เรียบร้อยและพบว่ากองทัพนั้นได้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ราชวงศ์เหลียวเพียงแค่ใช้ศึกกับซีเซี่ยในการดึงดูดสายตาผู้คนก็เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วทหารฝีมือดีหลายนายถูกส่งไปยังภูเขาต้าเซียนเปยอย่างลับ ๆ ทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ทุกวันนี้กองทัพได้แบ่งเป็นออกเป็น 3 กองพลด้วยกัน แต่ละกองพลมีนายทหาร 150,000 นาย หมายความว่าทั้งกองทัพมีทั้งสิ้น 450,000 นายพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนเอียงศีรษะพลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “กำลังพลมากมายถึงเพียงนั้น เสบียงสำหรับคนและม้าต้องใช้มากถึงเพียงใดกัน ? เยลู่ชิงคิดว่าตนสามารถแสดงละครตบตาผู้อื่นได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ทูลฝ่าบาท ภูเขาต้าเซียนเปยมีเนื้อที่กว้างขวางและเป็นหมู่เทือกเขายาวเหยียด ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ พวกเขาได้ใช้ที่นั่นเป็นฐานทัพมากว่าสี่ปีแล้ว ! พวกเขามิได้รับการส่งเสริมกำลังยุทโธปกรณ์และเสบียงอาหารจากโลกภายนอกเลย ทว่าใช้วิธียืนด้วยลำแข้งของตน…หมายความว่าพวกเขาทำไร่ทำนาบนภูเขาลูกนั้น ทั้งยังปลูกมันเทศอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะในความสามารถอันมากล้นของท่านอาจารย์
การปรากฏตัวของสายลับที่ภูเขาต้าเซียนเปยในอดีต แม้สายลับจะถูกท่านอาจารย์สังหาร แต่ท่านย่อมรู้แล้วว่าความลับของสถานที่แห่งนี้ได้ถูกเปิดเผยแล้ว… เมื่อถูกเปิดเผย สิ่งที่ท่านควรทำก็คือบุกโจมตีต้าเซี่ยหรือไม่ก็เปลี่ยนฐานที่มั่นเสียใหม่บนภูเขาต้าเซียนเปย
แต่ท่านอาจารย์ก็มิทำเช่นนั้น
ท่านยังคงขยายกองทัพต่อไป ทั้งยังก่อสร้างโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์อีกด้วย
ท่านกำลังคิดจะทำอันใดอยู่กันแน่ ?
“ซูฉางเซิงมีความเข้าใจในกองทัพของต้าเซี่ยอย่างถ่องแท้ เขาใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของภูเขาต้าเซียนเปยในการป้องกันการบุกโจมตีจากกองทัพต้าเซี่ย และสาเหตุที่เขารอคอย…คาดว่าจะรอให้ชุดเกราะกันกระสุนถูกผลิตออกมาสำเร็จเสียก่อน”
ทุกวันนี้กองทัพศัตรูได้ติดตั้งอาวุธปืนคาบศิลาแล้ว หากมีชุดเกราะป้องกันกระสุนรวมกับทักษะสู้รบที่ซูฉางเซิงฝึกฝนให้ เกรงว่ากองทัพนี้จะเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากองทัพของต้าเซี่ยได้อย่างแน่นอน
บัดนี้ดูเหมือนว่าซูฉางเซิงกำลังรอคอยอยู่จริง ๆ
ส่วนข้าเองก็ต้องรอเช่นกัน
แม้ว่าบัดนี้จะเริ่มผลิตปืนเหมาเซ่อแล้ว ทว่าความสามารถในการผลิตยังค่อนข้างต่ำ หากศึกระหว่างข้าและซูฉางเซิงเกิดขึ้นในอีกหนึ่งหรือสองปีข้างหน้า…เกรงว่าข้าฟู่เสี่ยวกวนคงต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มจากฝันดี
เนื่องจากกระสุนทองแดงของปืนเหมาเซ่อสามารถเจาะทะลุชุดเกราะในระยะยิง 90 จั้งได้ ถึงตอนนั้นคงทำให้พวกท่านอาจารย์ตกตะลึงกันเสียยกใหญ่
“จงจับตามองกองทัพของซูฉางเซิงเอาไว้ให้ดี อย่าให้คลาดสายตาเป็นอันขาด การติดตั้งอาวุธของกองทัพขนาด 450,000 นายจำต้องใช้ทุนทรัพย์จำนวนมหาศาล ข้าคิดว่าราชวงศ์เหลียวคงมิสนับสนุนด้านทุนทรัพย์และเยลู่ชิงก็คงมิรอจนกระทั่งซูฉางเซิงติดอาวุธจนพร้อมสรรพหรอก”
“หรือต่อให้ราชวงศ์เหลียวสนับสนุนด้านทุนทรัพย์ พวกเขาคงมิรอให้ทุกอย่างพร้อมแล้วค่อยทำศึกหรอก… หากศัตรูมิชิงออกตัวก่อนก็เกรงว่าศึกครานี้จะปะทุขึ้นมาในเดือนหกจากฝั่งของข้าเอง ! ”
เมื่อถึงเดือนหกก็นำปืนเหมาเซ่อที่ผลิตออกมา 20,000 กระบอกส่งมอบให้แก่กองนาวิกโยธินทั้งสองหมื่นนาย… จากนั้นก็ทำตามแผนที่วางไว้คือให้ผู้มีฝีมือขั้นหนึ่งจำนวน 20,000 นายสวมชุดเกราะและถือปืนเหมาเซ่อ จากนั้นให้ออกเดินทางโดยใช้เรือรบแล้วเทียบท่า ณ ล๋ายโจว เพื่อบุกเข้าเมืองต้าติ้งของราชวงศ์เหลียว มิรู้ว่าถึงตอนนั้นจะเกิดภาพแบบใดขึ้นมากัน ?
“บัดนี้ซุยเยว่หมิงอยู่ที่ใด ? ”
“ทูลฝ่าบาท…บัดนี้เขาเดินทางถึงเมืองต้าติ้งแห่งราชวงศ์เหลียวเป็นที่เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วบิดาอ้วนของข้าอยู่ที่ใด ? ”
“องค์จักรพรรดิพระเจ้าหลวง…ก็เสด็จไปยังราชวงศ์เหลียวเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงขึ้นมาทันใด “เขากลับจวนที่โม่โจวมิใช่หรือ ? ”
“ทูลฝ่าบาท อดีตจักรพรรดิได้ย้ายจวนที่โม่โจวกลับไปยังเมืองหลินเจียงอีกครา… บัดนี้คนในจวนกำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลินเจียงพ่ะย่ะค่ะ”
บิดาอ้วน ! เจ้าย้ายครอบครัวกลับไปที่จวนตระกูลฟู่แห่งเมืองหลินเจียง ข้าก็มิได้ว่าอันใดหรอก ทว่าเจ้าวิ่งไปยังราชวงศ์เหลียวทำบ้าอันใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนเกิดความกังวลขึ้นมาในใจ “เขาคงมิได้ไปหาซูฉางเซิงหรอกนะ ? ”
ซูฉางเซิงถูกขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งในใต้หล้า ส่วนชายอ้วนเป็นศิษย์น้องของเขา มิเท่ากับว่ากำลังรนหาที่ตายอยู่หรอกหรือ ?
ทุกวันนี้ข่าวเรื่องการมีชีวิตอยู่ของสวี่หยุนชิงมิได้ถูกปิดบังแต่อย่างใดและคาดว่าจะรู้ไปทั่วหล้าแล้ว จากข่าวเกี่ยวกับซูฉางเซิงที่ได้ทราบมาก็เกรงว่าเขาจะทราบข่าวแล้วเช่นกัน เท่ากับว่าตัวตนผู้สังเกตการณ์แห่งสำนักเต๋าถูกเปิดโปงแล้ว หากชายอ้วนต้องการพบซูฉางเซิงขึ้นมาจริง ๆ อีกฝ่ายจะยังเห็นชายอ้วนเป็นศิษย์น้องอยู่อีกหรือ ?
รูม่านตาของฟู่เสี่ยวกวนหดตัวลง “รีบไปหาเขาแล้วเอาตัวกลับมาให้จงได้ ! ”
……
……
ณ เชิงเขาทางทิศเหนือของภูเขาต้าเซียนเปย
สถานที่แห่งนี้มียอดเขาตั้งตระหง่านอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ณ หลุมฝังศพอันเปล่าเปลี่ยวบริเวณเชิงเขามีกระท่อมตั้งอยู่โดยมิมีผู้ใดสังเกตเห็น
มันหลบซ่อนอยู่ในป่าทึบ ทั้งยังมีหิมะขาวโผลนปกคลุมทับ ยิ่งทำให้กระท่อมมิเป็นที่สะดุดตา
ราตรีนี้ ภายในกระท่อมหลังนั้นมีตะเกียงเจ้าพายุถูกจุดจนสว่างโชติช่วงขึ้นมา
ตะเกียงถูกวางไว้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่เก่าคร่ำครึ บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเดียวกันนั้นมีแกะย่างทั้งตัววางเอาไว้และมีคนสองคนนั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะ
ชายอ้วนยกขวดสุราขึ้นมารินให้กับซูฉางเซิงหนึ่งจอก จากนั้นก็หั่นเนื้อแกะแล้วส่งให้ซูฉางเซิง
“ช่วงที่อาศัยอยู่ในสำนักเต๋าก็มีศิษย์พี่ที่คอยดูแลข้าเสมอมา… เมื่อมีของอร่อยก็เหลือเอาไว้ให้ข้า ศิษย์น้องขอขอบคุณศิษย์พี่จากใจจริง ! ข้าขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก ! ”
ซูฉางเซิงชูจอกสุราขึ้นมา ใบหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้มอบอุ่น “ได้ยินมาว่าศิษย์น้องหญิงยังมิตาย ข้ารู้สึกยินดีมากยิ่งนัก เพราะเรื่องเดียวที่ท่านอาจารย์ได้กำชับมาโดยตลอดคือให้ดูแลศิษย์น้องหญิงให้ดี…”
เขาถอนหายใจยาวออกมา ยกจอกสุราขึ้นแล้วกระดกพร้อมกับชายอ้วนหนึ่งจอก จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ตอนที่ข้าเห็นศิษย์น้องหญิงสิ้นลมในอ้อมกอดของฟู่เสี่ยวกวนที่เมืองเปียนเฉิง ข้ารู้สึกเศร้าโศกในใจมากยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงจากมาโดยใช้ข้ออ้างว่าต้องไปหาซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวน”
“สำหรับเจ้า ศิษย์น้องรัก ในเมื่อข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋า การดูแลศิษย์น้องย่อมเป็นหน้าที่หลัก เจ้ามิจำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”
ฟู่ต้ากวนหั่นเนื้อชิ้นใหญ่แล้วยัดเข้าปากเคี้ยวอย่างตั้งใจ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“หากศิษย์พี่ไปหาพวกซูเจวี๋ยจริง ๆ ก็คงดีมิน้อย”
ซูฉางเซิงคว้าขาแกะขึ้นมา จากนั้นก็ฉีกเนื้อชิ้นใหญ่เข้าปาก
เขาออกแรงเคี้ยวอย่างรุนแรง พอผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้กลืนเนื้อแกะลงคอแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ามิรู้ว่าควรไปในทิศทางใด เสี่ยวกวนบอกว่าให้ข้าเดินทางไปยังทิศตะวันตก ทว่าข้ากลับเดินทางมาทิศเหนือแล้วอยู่ที่นี่จนถึงบัดนี้…”
เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองชายอ้วน “เจ้ามิควรมาพบข้า”
“ทั่วทั้งใต้หล้า นอกจากข้าแล้วยังมีผู้ใดสามารถหาตัวท่านพบอีกกัน อ้อ…จริงสิ ! ที่ข้ามาหาท่านในครานี้ก็เพราะมีข้อสงสัย 2 ประการที่ยังไขคำตอบมิได้ ขอศิษย์พี่ได้โปรดช่วยคลายความสงสัยด้วยเถิด”
“ศิษย์น้องจงเอ่ยมาเถิด”
ชายอ้วนเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่าขัดสมาธิ “ที่เมืองเปียนเฉิง แท้จริงแล้วเป็นเพราะอู๋ฉางเฟิงแจ้งให้ท่านทราบช้าจนเกินไปหรือเป็นเพราะท่านจงใจมาช้ากันแน่ ? ”
ซูฉางเซิงหัวเราะร่าขึ้นมาทันใด “ข้าก็เพียงแค่อยากเห็นว่าปืนยาวในมือของฟู่เสี่ยวกวนจะมีกระสุนอยู่อีกหรือไม่”
คิ้วเล็ก ๆ ของชายอ้วนกระตุกขึ้นมาทันใด นี่มิใช่คำตอบทว่าก็กระจ่างชัดในความหมายแล้ว
ซูฉางเซิงตั้งใจมาช้านั่นเอง !
“เพราะท่านกังวลเกี่ยวกับปืนยาวของฟู่เสี่ยวกวน จึงมิได้ลงมือจัดการเขาในตอนนั้นใช่หรือไม่ ? ”
“นั่นมิใช่เหตุผลหลัก”
“แล้วเหตุผลหลักคืออันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เพราะหัวหน้านิกายฝู ฝานอู๋เซียงรู้มากเกินไป มันรู้มากเกินไปแล้ว ดังนั้นฝานอู๋เซียงต้องตายและพระนักรบเหล่านั้นก็ต้องตายเช่นกัน ! ”
สีหน้าเรียบเฉยของซูฉางเซิงได้มลายหายไปจนสิ้น บัดนี้เขามีท่าทีเดือดพล่านและหน้าตาก็ดุร้ายขึ้นมาทันใด