บทที่ 42 ฉันดังขนาดนั้นเลยเหรอ?
บทที่ 42 ฉันดังขนาดนั้นเลยเหรอ?
ตั้งแต่ซูโย่วอี๋ผูกมัดกับระบบ เธอก็ลดน้ำหนักลงไปได้ 11 กิโลกรัม
จากคนอ้วนน้ำหนักเกิน 88 กิโลกรัม สู่คนอ้วนน้ำหนัก 77 กิโลกรัม
“เห็นความคืบหน้าของฉันหรือยัง?”
สุนัขจิ้งจอกย่นจมูกแล้วพูดว่า [ก็โอเค แต่อย่าดีใจเกินไป แม้ว่าน้ำหนักคุณจะลดไปมาก แต่เหลือเวลาอีกแค่สามสัปดาห์ การลดน้ำหนักนั้นจะง่ายที่สุดก็แค่ช่วงเริ่มต้น พอลดไปสักพักมันก็จะยาก]
[หากคุณไม่สามารถลดน้ำหนักลงไปได้อีก คุณก็ทำได้เพียงเพิ่มเวลาออกกำลังกายของคุณต่อไป]
[ในความคิดของฉัน รายการวาไรตี้นี้ไม่ได้ช่วยเพิ่มความสามารถของคุณเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณได้รับทักษะการร้องเพลงของหลินลี่ และทักษะการแรปของแจ็ค ก็เหลือเพียงแค่ให้คุณซ้อมเต้น และเวลาที่เหลือก็นำมาใช้ลดน้ำหนัก]
ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างครุ่นคิด การวิเคราะห์เจ้าจิ้งจอกนั้นสมเหตุสมผลมาก
“งั้นเริ่มกันเถอะ”
สุนัขจิ้งจอกตัวยกยิ้มร้าย [และฉันพนันได้เลยว่าผลของการลดน้ำหนักของคุณนั้นต้องน่าตื่นเต้นกว่าตอนคุณร้องเพลงกับเต้นแน่นอน]
น้ำหนักลดไปสามสิบแปดกิโลกรัมในหนึ่งเดือน หากเป็นคนธรรมดา คงจะเสียสติไปแล้ว
[ซู่จู่ คุณอาจได้รับงานพรีเซนเตอร์มากมายจากการลดน้ำหนักของคุณ ฮ่าฮ่าฮ่า]
ซูโย่วอี๋ไม่ได้พูดอะไรแต่คิดว่าสิ่งที่เจ้าจิ้งจอกพูดมันก็น่าตลกดี
เมื่อเธอออกจากระบบ ก็เห็นว่าเฉินซีซียังคงหลับอยู่!
ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อถ่ายทำรายการ
ทั้งสองคนกับสุนัขจิ้งจอกอยู่บ้านเฉย ๆ โดยไม่ได้ทำอะไรหนึ่งวันเต็ม ๆ
ซูโย่วอี๋และสุนัขจิ้งจอกนั่งดูละครด้วยกัน ส่วนเฉินซีซีจับหนังสือการ์ตูนกับรองเท้าคริสตัลไม่ปล่อย แม้แต่เวลานอนก็ต้องวางของไว้ข้างหมอน
“พี่สาว พี่ไม่รู้หรอกว่าแม่ของฉันเข้มงวดกับฉันมากแค่ไหน เธอไม่เคยให้ฉันใส่รองเท้าส้นสูงเลยสักครั้ง ต้องขอบคุณพี่สาวซู ฉันในอายุสิบเจ็ดปีถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว!”
ซูโย่วอี๋กล่าวว่า “ใช่ ๆ สำเร็จแล้ว ไปนอนได้แล้ว”
วันรุ่งขึ้น
ทั้งสองตัดสินใจสวมชุดฝึกเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัคร เพราะเฉินซีซีไม่ได้นำเสื้อผ้าของเธอมาเลย และเมื่อเธอออกไปข้างนอก เด็กสาวก็บอกลาหนังสือการ์ตูนและรองเท้าคริสตัลที่อยู่ในบ้านอย่างไม่เต็มใจ
“ลาก่อน ฉันจะกลับมาหาพวกเธอในอีกไม่ช้า”
ซูโย่วอี๋ปิดประตูลงเพื่อเหมือนกับบอกกลาย ๆ ว่า ให้เธอเลิกครวญครางได้แล้ว “ไปได้แล้ว เฉินซีซี”
ทั้งสองคนสวมหน้ากากอนามัยอย่างมิดชิดและขึ้นแท็กซี่เพื่อเดินทาง คนขับเป็นชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบเศษที่ศีรษะล้านเป็นหย่อม ๆ
ในรถเขาเปิดเพลงเสียงดัง และหลังจากจบเพลง เพลงถัดไปกลายเป็นเพลง ‘พัวพัน’ ที่ร้องโดยซูโย่วอี๋
แม้คุณภาพเสียงจะไม่ดี และมีเสียงรบกวนในช่วงแรก แต่เขาก็ยังฟังมัน
ซูโย่วอี๋สับสนเล็กน้อย เธอดังขนาดนั้นเลยเหรอ?
เฉินซีซีถามอย่างตื่นเต้นว่า “คุณลุงคนขับคะ คุณชอบฟังเพลงนี้เหรอ?”
คนขับมองกลับมาอย่างมีความสุขและพูดอย่างร่าเริงว่า “สาวน้อย เธอก็ชอบเหรอ?”
“ลูกของฉันดาวน์โหลดเพลงนี้ให้ฉันน่ะ ตอนแรกก็ไม่ได้อยากฟังหรอก แต่พอฟังแล้วมันก็เพราะดี”
เฉินซีซียิ้ม ก็เพราะนักร้องของเพลงนี้อยู่ข้างหลังคุณลุงยังไงล่ะ
ลุงคนขับพูดกับตัวเองว่า “เพลงนี้อยู่ในยุคของฉันเลย แม้ความรักจะจืดจางลง แต่ทุกครั้งที่ฉันฟังเพลงนี้ ฉันยังนึกถึงอดีต เวลาช่างผ่านไปเร็วจริง ๆ”
“พวกเธอจะไปท่าเรือโอวไห่ใช่ไหม”
ซูโย่วอี๋รู้สึกขอบคุณคนที่ชื่นชอบเพลงของเธอจริง ๆ “ใช่ค่ะ”
คนขับจับที่หัวของเขา “จริงสิ มีทีมถ่ายทำรายการวาไรตี้อยู่ที่นั่น ผมเพิ่งไปส่งสาวสองคนเมื่อเช้านี้เหมือนกัน”
เฉินซีซียิ้ม “ฮ่า ๆ คุณลุง บังเอิญจัง! เราไปถ่ายรายการวาไรตี้ด้วย”
คุณลุงจอดรถเทียบข้างทาง “เอาล่ะ ถึงแล้ว”
เมื่อมองแผ่นหลังของคนทั้งสองจากระยะไกลก็รู้สึกคุ้นตามากขึ้น
สาวอ้วนคนนี้ไม่ใช่สาวที่ร้องเพลง ‘พัวพัน’ เหรอ?
โอ้…
ลุงคนขับก็แอบเสียดายที่เมื่อกี้เขานึกไม่ออก ไม่เช่นนั้นตอนนี้เขาคงไปขอลายเซ็นแล้ว
…
ก่อนที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปใกล้ ก็เกิดการมีปากเสียงกันอยู่ก่อนแล้ว
ปรากฏว่ามีเด็กผู้หญิงหลายคนสวมกระโปรงสั้นมาเข้าร่วม และทางทีมงานที่รับผิดชอบก็หน้าดำคร่ำเครียดมองไปที่คนพวกนั้น “ข้อความก็ส่งไปอย่างชัดเจนว่าควรสวมเสื้อผ้าสุภาพแต่ดูพวกคุณสิ แต่งตัวอะไรมา!”
เด็กสาวผมสั้นคนหนึ่งอธิบายเสียงเบาว่า “เราแค่ต้องการให้ภาพลักษณ์ออกมาดูดี”
ทีมงานโกรธจนหน้าบิดเบี้ยว “ดูดี? ไปบ้านพักคนชราจะอยากดูดีอะไรนักหนา? เราไปเป็นอาสาสมัคร กระโปรงสั้นแบบนั้นคิดจะโชว์อะไรให้คนทั้งประเทศดูกัน”
“แต่งตัวแบบนี้คิดว่ามาแค่ดื่มชายามบ่ายกันเหรอ!”
สาว ๆ ไม่กล้าพูดอะไร “เราจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้”
ทีมงานมองอย่างเย็นชา “ดี ถ้าไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ อย่างนั้นพวกคุณก็อยู่ที่นี่”
แต่ถึงอย่างนั้น คนตั้งห้าสิบคนหายไปไม่กี่คนก็คงไม่มีใครสังเกต
ก่อนกำหนดการณ์ 08.30 น. เพียงสิบนาที รอบ ๆ ท่าเรือไม่มีร้านค้าเปิด ดังนั้นจึงไม่มีที่สำหรับซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยน
เด็กสาวสองคนที่มีสภาพจิตใจอ่อนไหวกำลังจะร้องไห้
เฉินซีซีพึมพำ “ใจร้ายเกินไปแล้ว!”
ซูโย่วอี๋ไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวาย เมื่อเธอเห็นว่าเด็กสาวคนอื่น ๆ ไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วยเหมือนกัน เธอจึงเม้มปากอย่างครุ่นคิดแล้วเดินเข้าไป “ฉันมีเสื้อผ้าอยู่ในกระเป๋า ถ้าเธออยากใส่ก็เอาไปเอง แต่ขนาดอาจจะไม่พอดีตัวนะ”
ก่อนหน้านี้เธอนำเสื้อผ้ามาจากเกาะเพียงสองชุด แต่เพราะฝึกซ้อมหนักเกินไป ทำให้เธอต้องทนใส่เสื้อผ้าเปียกแฉะเป็นเวลานาน ซูโย่วอี๋จึงนำชุดมาเพิ่มอีกสองชุด
ถึงขนาดจะไม่พอดีแต่ตอนนี้ใครจะกล้าปฏิเสธ
เด็กสาวผมสั้นพูดว่า “ขอบคุณมากนะ”
เธอหยิบกระเป๋าเปิดดูพบว่ามีเสื้อผ้าอยู่เพียงสองชุด สีหน้าของเธอก็แสดงอาการลนลาน “มันไม่พอ เรามีกันตั้งหกคน”
หลายคนมองหน้ากัน และไม่มีใครกล้าพูดว่าฉันจะใส่มัน
เฉินซีซีไม่พอใจเล็กน้อย สาว ๆ หลายคนก็มีกระเป๋าของตัวเองเหมือนกัน จะไม่มีใครมีเสื้อผ้าอยู่ในนั้นเลยเหรอ?
และตอนนั้นเอง ฉูรั่วฮวนก็เดินเข้ามา
เธอสวมชุดเดรสสีขาวพลิ้วไสว ผมลอนสีทองตกลงมาตามหน้าผากเนียน ดูมั่นใจและสง่างาม
แต่ชุดก็ยังถือว่าสั้น ยาวถึงต้นขาเท่านั้น
ผู้ช่วยเดินตามกางร่มกันแดดให้เธอทีละก้าว ทั้ง ๆ ที่เธอยังเป็นแค่เด็กฝึกอยู่ และต้นสังกัดก็ไม่ได้ถึงขั้นจัดหาผู้ช่วยให้ ซึ่งหมายความว่าเธอต้องจ่ายเองทั้งหมด
ทุกคนต่างแอบคาดเดาว่าทีมงานจะจัดการกับฉูรั่วฮวนยังไง
ท้ายที่สุด เธอเป็นเด็กฝึกที่ได้อยู่ในคลาส A และมีภูมิหลังที่น่ากลัว
ทีมงานที่เพิ่งต่อว่าเด็กฝึกที่ใส่กระโปรงสั้นมาถ่ายทำก็เปลี่ยนสีหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “รั่วฮวน วันนี้คุณดูดีมาก”
ฉูรั่วฮวนยืนนิ่งและพูดว่า “เอาล่ะ การแต่งตัวก็ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับรายการ”
ทีมงานคนนั้นถูกต่อว่า ที่เขาต่อว่าก็ถือว่าไม่ผิด แต่ต้องดูภาพลักษณ์และกาลเทศะด้วย
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่ได้ลดลงและเขาคิดว่า “รั่วฮวน คุณรู้ไหมว่า สถานที่ที่เราจะไปคือบ้านพักคนชรา ซึ่งเราจำเป็นต้องทำความสะอาดโต๊ะและกวาดพื้นที่นั่น ถ้าชุดคุณเกิดเปื้อนอะไรขึ้นมาล่ะ ตอนนี้ทีมงานรายการเรามีเสื้อผ้าสำรองใช้แล้วทิ้งให้ นี่ย่อมสะดวกกว่าไม่ใช่เหรอ”
กระบวนการทั้งหมดขึ้นอยู่กับมุมมองของฉูรั่วฮวน โดยเธอพิจารณาทุกอย่างโดยไม่วิจารณ์สักคำ
ฉูรั่วฮวนไม่เข้าใจว่าชุดที่เธอใส่วันนี้มันไม่สุภาพตรงไหน และเธอจะไม่ยอมเปลี่ยนมันแน่ ๆ แต่ก่อนมา พ่อแม่ของเธอได้กำชับเป็นพิเศษว่าให้ทำตัวเป็นคนธรรมดา ๆ และอย่าสร้างปัญหาอะไร