บทที่ 86 บางทีผู้หญิงสวยก็มีปัญหาเช่นกัน
บทที่ 86 บางทีผู้หญิงสวยก็มีปัญหาเช่นกัน
[น้ำเสียงของอาจารย์ซือเฉินมีเสน่ห์มาก!]
[ใช่แล้ว เขาเป็นพี่ชายที่ตลกและมีอารมณ์ขัน]
[ให้ตายเถอะ! ตอนนี้ฉันเห็นทุกคนมีความคิดเหมือนกันกับฉัน!]
[คุณลู่ ฉันขอโทษ แต่ฉันตกหลุมรักพี่ซือไปแล้ว]
เมื่อพูดถึงพันธมิตรแล้ว ประตูห้องฝึกก็ถูกผลักเปิดอีกครั้งก่อนที่ซือเฉินและซูโย่วอี๋จะพูดคุยเกี่ยวกับทิศทางของการแสดงพวกเขาได้
คนที่เข้ามาคืออาจารย์สอนแรป แจ็ค เขามาในชุดกางเกงขาสั้นสีดำ
ส่วนชาวเน็ตก็เริ่มชินกับการที่อาจารย์ริเริ่มที่จะมาเป็นแขกรับเชิญ
เมื่อเห็นคนทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน แจ็คจึงพูดว่า “ดูเหมือนว่าฉันจะมาช้าไป แต่เขาเหมาะกับคุณมากกว่า โอเค งั้นฉันไปก่อนนะ”
มีอาจารย์ทั้งหมด 4 คน และตอนนี้มาแล้วสามคน ชาวเน็ตต่างคาดเดาว่าฮันเอินจีจะมาหรือไม่
แต่ซูโย่วอี๋รู้ดีว่าฮันเอินจีจะไม่มีวันมา ไม่ว่าคนคนนั้นจะชอบเธอหรือไม่ก็ตาม เธอรู้สึกตงิด ๆ ว่าเธอและฮันเอินจีไม่ลงรอยกันมาโดยตลอด
“เอาล่ะ เรามาคุยกันต่อว่าเธอมีเรื่องอะไรที่ซึ้งกินใจ หรือประทับใจในผู้คน สิ่งของ หรือฉากต่าง ๆ ไหม?”
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้วและครุ่นคิด
ความรู้สึก ที่ฝังแน่นในใจ
ชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลว?
ผู้ชายที่รัก
อดีตสามีนอกใจ?
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอเติบโตมา และบ้านหลังแต่งงาน
แต่สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นความทรงจำที่เลวร้าย และไม่มีค่าพอที่จะเขียนเพลงเพื่อตอกย้ำมันอีก เธอไม่ต้องการนำอารมณ์เศร้าของเธอไปป่าวประกาศให้ใครได้รู้
สุนัขจิ้งจอกแอบกลอกตาในพื้นที่ของระบบ เธอจะบอกคนอื่นเกี่ยวกับการแต่งงานและการหย่าร้างได้ยังไง ซู่จู่แข็งแกร่งเกินไปจริง ๆ
หลังจากที่ซูโย่วอี๋คิดอย่างหนัก ซือเฉินก็พูดเสริมอีกว่า “คุณสามารถเขียนอะไรก็ได้ที่คุณชอบ เกลียดหรือสิ่งที่อยากทำ”
หลังจากเลิกคิดในแง่ลบ ซูโย่วอี๋ก็ตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญกับมิตรภาพ
“ฉันมีเพื่อนที่อยากมอบเพลงนี้ให้ คุณโอเคไหม?”
“แน่นอน เธอทำได้” ซือเฉินสนับสนุน
มีหลายเพลงที่ยกย่องมิตรภาพ
“เธอสามารถลองเริ่มต้นด้วยลักษณะของตัวละครของเธอและคิดถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่เธอชอบ แค่พูดคงไม่ดีเท่าการลองทำ ทำไมเธอไม่เขียนบางอย่างก่อนล่ะ”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูโย่วอี๋ก็นำกระดาษและปากกามา
ซือเฉินลุกขึ้นดื่มน้ำและหันกลับมามองเธอ เขาพบว่าเธอเกาหัวและกัดปากกา ซึ่งทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นี่เป็นส่วนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการสร้างสรรค์ของเธอ ดังนั้นซือเฉินจึงไม่ได้ไปรบกวนเธอ
หลังจากนั้นไม่นาน ความคิดมากมายก็เข้ามาในหัวของซูโย่วอี๋ เธอเริ่มเขียนบางอย่างลงบนกระดาษแล้วหยุดเขียนหลังจากนั้นไม่นาน
หลังจากที่เธอหยุดเขียน ซือเฉินก็เดินไปดูอย่างอยากรู้อยากเห็นว่าเธอเขียนอะไร
ซือเฉินรับกระดาษแล้วมองดูอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าแปลก ๆ
ตากล้องแอบไปข้างหลังซือเฉินและโฟกัสไปที่กระดาษในมือเขา ทันใดนั้น ผู้ชมทุกคนก็เห็นเนื้อเพลงที่ซูโย่วอี๋เขียนขึ้น
ลายมือบนกระดาษยุ่งเหยิง เหมือนกับโดนไก่เขี่ย และเนื้อหาที่เขียนก็ดูไม่ชัดเจนแต่พอจับใจความได้
“ฉันมีเพื่อนที่ดี”
“เธอสวยและมีเสน่ห์”
“เธอมักจะเรียกฉันว่าที่รัก”
“เสียงของเธอนั้นน่าฟัง”
“เธอมีหนึ่งพันหน้าต่อหน้าคนนอก”
“แต่ในใจของฉัน”
“เธอคือคนที่ใกล้ชิดฉันที่สุดเสมอ”
[อาฮ่า ฉันสามารถบอกได้จากสีหน้าของซือเฉินว่าเขาทำอะไรไม่ถูก]
[ทักษะนี้ทำให้ซือเฉินแปลกใจจริง ๆ!]
[ตอนแรกฉันคิดว่าที่โย่วโย่วบอกว่าเธอแต่งเพลงไม่ได้เธอแค่ถ่อมตัว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอพูดความจริง นี่มันโคตรแย่]
[นี่ อย่างน้อยก็พูดให้ดี ๆ หน่อยได้ไหม?]
[ก่อนหน้านี้ฉันนึกไม่ออกว่าจะมีอะไรที่เธอทำไม่ได้ ตอนนี้ฉันคิดออกแล้ว บางทีผู้หญิงสวยก็มีปัญหาเหมือนกัน]
[ซือเฉิน: สายเกินไปหรือเปล่าที่ฉันจะจากไปตอนนี้?]
[ฉันคิดว่าจิตใจฉันแข็งแกร่งพอ!]
[ฉันต้องการพบเพื่อนที่มีเสน่ห์ของเธอ]
ซือเฉินรู้สึกกระหายน้ำจึงจิบน้ำอีกสองครั้งและสงบลง
“ก็ไม่เลว แต่ภาษายังน้อยเกินไป… ตรงไปตรงมาเกินไป คุณลองใช้คำอุปมาหรืออะไรทำนองนั้นได้นะ”
ซูโย่วอี๋มองไปที่ครูของเธออย่างตั้งใจ ฟังคำสอนของเขา และดวงตาของเธอก็เป็นประกายอย่างกระหายความรู้
ซือเฉินผู้เชี่ยวชาญในการโปรดิวซ์เพลงจู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองพูดไม่ออก
เขาไม่สามารถคิดวิธีที่ดีกว่านี้ได้ “ลองฟังเพลงเกี่ยวกับมิตรภาพสักสองสามเพลงก่อน แล้วเรียนรู้ว่าคนอื่นแต่งเพลงอย่างไร”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ซือเฉินเลือกเพลงยอดนิยมหลายเพลง ได้แก่ ‘เพื่อน’ ‘Years of Friendship’ ‘The Brother Who Sleeps on My Top Bunk’ ‘เพื่อนร่วมโต๊ะ’
เวลาผ่านไป แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการสร้างสรรค์บทเพลงของเธอ
ในห้องซ้อม
ฉูรั่วฮวนที่ยืนอยู่หน้าฮันเอินจีก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เธอมาที่นี่เพื่อขอให้อาจารย์ช่วย เธอไม่แน่ใจว่าฮันเอินจีจะตอบรับคำขอของเธอ
ฮันเอินจีรู้ว่าฉูรั่วฮวนมาที่นี่ทำไม เธอจึงมองอย่างสบาย ๆ แล้วพูดว่า “บอกฉันสิ เกิดอะไรขึ้น”
“เกี่ยวกับแขก…”
ในช่วงก่อนหน้านี้ ฮันเอินจีเพิ่งปฏิเสธคำเชิญไปสองทีม ในสายตาของเธอ บรรดาผู้แข่งขันมีเพียงสองคนเท่านั้นที่เธอสามารถให้ความร่วมมือได้ คือ ฉูรั่วฮวนและเฉินซีซี
แต่เฉินซีซีไม่ได้มาขอให้เธอช่วย นอกจากนี้เฉินซีซียังตัวติดกับซูโย่วอี๋ ทำให้ฮันเอนจีรู้สึกไม่สบายใจ
แต่สิ่งที่ฉูรั่วฮวนพูดก็ทำให้รอยยิ้มของฮันเอินจีจางหายไปทันที
“ฉันต้องการเชิญพี่ชายของคุณ ฮันเจ๋อหยางมาเป็นแขกรับเชิญค่ะ อาจารย์ฮัน คุณพอจะช่วยฉันได้ไหม?”
ฮันเอินจีรู้สึกรำคาญและมองไปที่ฉูรั่วฮวนอย่างเย็นชา
แต่ฮันเอินจีไม่อยากจะแสดงท่าทีไม่เหมาะสมกับฉูรั่วฮวนมาก เนื่องจากเธอเต็มใจที่จะเป็นแขกรับเชิญพิเศษของฉูรั่วฮวน แต่เธอไม่คาดคิดว่าเด็กคนนี้จะหันไปหาพี่ชายของเธอแทน
คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน
เมื่อมองไปที่เหล่าคนดังในประเทศจีน ฮันเอินจีคือระดับแนวหน้า เธอสามารถใส่อะไรก็ได้ที่เธออยากใส่และทำอะไรก็ได้ที่เธออยากทำ ไม่ว่ายังไงตัวตนของเธอก็ชัดเจน
เป็นที่ทราบกันดีว่าตระกูลลู่มีหลานชายเพียงคนเดียวและไม่มีผู้หญิง ครอบครัวฮันเป็นกลุ่มการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ และผู้หญิงคนเดียวในครอบครัวของพวกเขาก็กลายเป็นไข่มุกที่อยู่บนยอดพีระมิด
ในเวลาปกติ ฉูรั่วฮวนคงทำได้แค่เพียงมองเขาจากที่ไกล ๆ
เธอไม่รู้จะพูดอะไรในตอนนี้
เมื่อเห็นว่าฮันเอินจีเย็นชามาก ฉูรั่วฮวนตระหนักว่าเธอพูดอะไรผิดไป
สักพักบรรยากาศก็เริ่มกระอักกระอ่วน
ฮันเอินจีต้องการที่จะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงท่าทีของฮันเจ๋อหยางเธอก็เปลี่ยนใจ
ฮันเจ๋อหยางหนีปัญหามาโดยตลอด และเขาไม่ชอบที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมประเภทนี้ เช่น การแสดงบนเวที
แล้วทำไมเธอถึงต้องปฏิเสธ?
ปล่อยให้พี่ชายตบหน้าเด็กสาวเองจะไม่ดีกว่าเหรอ?
อย่างไรก็ตาม พี่ชายของเธอมักจะยอมทุกอย่างที่เธอต้องการ ถ้าฮันเอินจีเอ่ยปากขอฮันเจ๋อหยางต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้นฮันเอินจีจึงยิ้ม “ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นแฟนคลับของพี่ชายของฉัน ฉันจะให้หมายเลขโทรศัพท์ของเขา คุณสามารถติดต่อเขาได้โดยตรงเลย”
ฉูรั่วฮวนได้ยินอย่างนั้นก็มีความสุขมาก เธอคิดว่าไม่มีหวังแล้วแท้ ๆ แต่เธอกลับได้หมายเลขโทรศัพท์ของเขามา “ขอบคุณค่ะอาจารย์ฮัน”