บทที่ 93 ไม่งั้นเราได้เห็นดีกันแน่
บทที่ 93 ไม่งั้นเราได้เห็นดีกันแน่
[โย่วโย่วกับซูหยินสนิทกันเหรอ ทำไมถึงกอดกันขนาดนั้น]
[ซูหยินที่รัก คุณมีเสน่ห์มาก!]
[สองคนนี้สวยจนฉันอดกรี๊ดไม่ได้!]
[พอพวกเธออยู่ในเฟรมเดียวกัน มันสวยมาก!]
[พวกเธอรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูเหมือนทั้งสองคนจะสนิทกันนะ]
[คุณสามารถรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนดีแค่ไหนจากเนื้อเพลง]
[ถ้ารักเธอ เขียนเพลงให้เธอ เป็นวิธีพิเศษในการแสดงความรักในวัยหนุ่มสาว!]
ซูโย่วอี๋เหมือนเด็กน้อยเมื่อยืนอยู่ข้าง ๆ ซูหยิน
“พวกคุณเป็นแฝดตัวติดกันหรือเปล่า” ซือเฉินหยอกล้อ
“ซูหยิน ทักทายทุกคนหน่อยครับ”
หญิงสาวยกมือเรียวสบัดปลายผม จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “สวัสดีทุกคน ฉันซูหยิน ฉันมาที่นี่เพื่อแนะนำให้พวกคุณรู้จักเด็กน้อยของฉันค่ะ”
“เราโตมากับการใส่กางเกงตัวเดียวกัน ฉันขอเตือนพวกเธอไว้เลยว่าอย่ารังแกเด็กน้อยของฉัน ไม่งั้นเราได้เห็นดีกันแน่”
มีแววของความขี้เล่นอยู่ในน้ำเสียง แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีความเย็นชาและแข็งกร้าวในดวงตาของเธอ
ผู้ชมต่างพากันหัวเราะและมองว่ามันเป็นเรื่องตลก
[พี่สาวซูหยิน แข็งแกร่งจนสามารถปกป้อง… โย่วโย่วได้?]
[ก้าวร้าว! ฉันทนไม่ไหวแล้ว!]
[หวา… หวา… พี่น้องนางฟ้าสนิทกันแค่ไหนนะ? เป็นคำพูดที่น่าประทับใจมาก!]
[ฉันเตะแฟนของฉันอย่างไม่มีเหตุผล ก็แค่อยากจะเตะ]
[เพลงดี! เพลงดี! เพลงดี! พูดตามฉันสามครั้ง!]
หัวใจของฉูรั่วฮวนรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่ซูหยินพูด แต่จากนั้นก็รู้สึกโล่งใจอีกครั้ง
ยัยนั่นเป็นแค่ผู้หญิงที่ไร้ยางอาย
จากนั้นซือเฉินก็หยิบไมโครโฟนขึ้นมาและพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าคุณแต่งเพลงนี้ให้กับเพื่อนรักของคุณ ใครคือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณครับ”
ซือเฉินถามอย่างอยากรู้ทันที
ซูโย่วอี๋ยกมือขึ้นและพูดว่า “ซูหยินค่ะ”
เสียงของเธอไม่ดังแต่หนักแน่น
“ทุกครั้งที่ฉันต้องการเธอมากที่สุด เธอก็จะปรากฏตัวต่อหน้าฉันเหมือนนางฟ้าประจำตัว ฉันสงสัยว่าเธอเป็นหนอนในกระดูกของฉันหรือเปล่า”
ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงปรากฏตัวในเวลาที่ซูโย่วอี๋เปราะบางที่สุดเสมอเลยนะ
ทั้งในตอนที่เธอหย่ากับเฉินเฉิน
หรือในครั้งนี้ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉินซีซี
“อย่างที่เนื้อเพลงบอก ถ้าไม่มีเธอ ฉันคงไม่เชื่อว่าเพื่อนจะซื่อสัตย์กว่าคนรัก”
“สิ่งที่ฉันอย่างขอบคุณที่สุดคือการได้พบเธอ”
ซูหยินพูดด้วยแววตาเป็นประกายว่า “ที่รัก คำพูดหวาน ๆ ที่เธอพูดมันน่าฟังจริง ๆ พูดเยอะ ๆ สิฉันชอบ”
ทุกคนขนลุกเมื่อเห็นฉากนี้
จากนั้นซือเฉินพยักหน้าและพูดว่า “ผมเห็นว่าซูหยินเป็นแรงบันดาลใจของคุณในหลาย ๆ เรื่อง เธอเปลี่ยนคนที่ไม่สามารถเขียนเพลงกลายเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์ สำหรับเพลง ‘มิตรภาพสูงสุด’ ผมให้คะแนนเต็มได้เลยนะ ”
อาจารย์ท่านอื่นก็แสดงความคิดเห็นที่ดีเช่นกัน
หลังจากลงจากเวที ซูหยินมองไปที่ซูโย่วอี๋และถามว่า “แม่ของเฉินซีซี ตบเธอเหรอ?” ซูโย่วอี๋พยักหน้าด้วยความรู้สึกผิด
“เธอโง่เหรอที่ยืนปล่อยให้ฝั่งนั้นตบ เขาวางยาเธอหรือเปล่า เขาทำให้เธอเจ็บหรือเปล่า?”
ไม่นานซูหยินก็รู้เรื่องทุกอย่าง
“ไปหาตำรวจกันเถอะ”
พวกเธอสองคนมาถึงห้องแต่งหน้าของซูโย่วอี๋ ที่มีตำรวจหนุ่มยืนเฝ้า
“ขออภัย ที่นี่ห้ามเข้า”
“คดีคืบหน้าไหมคะ เจอผู้ต้องสงสัยหรือยัง” ซูโย่วอี๋ถาม
ตำรวจหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ เขามองมาที่เธอและพูดว่า “ขอโทษด้วย ผมบอกเรื่องนี้กับคุณไม่ได้”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าดูคุ้น ๆ “คุณเป็นคนที่เกี่ยวข้องเหรอ ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้”
มีความสงสัยในคำพูดของเขา
ซูหยินได้ยินอย่างนั้นก็พูดขึ้น “พ่อหนุ่ม ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ คุณคาดเดาไม่ได้นะ มันไม่เป็นมืออาชีพ”
ตำรวจหนุ่มหน้าแดง
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง ซูโย่วอี๋ก็พูดว่า “ไปกันเถอะซูหยิน”
“เธอจะไปไหน?”
“หาลู่เฉิน”
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งสองคนไม่สามารถถามอะไรได้ หากพวกเขาต้องการทราบสถานการณ์ทุกอย่าง ก็ต้องถามจากคนที่รู้
ได้ยินอย่างนั้นดวงตาของซูหยินก็เป็นประกาย “เธอกับลู่เฉิน?”
เธอไม่เคยพลาดโมเมนต์ของทั้งสองคนเลยสักครั้งตอนดูรายการ
ฉากที่ลู่เฉินปกป้องเธออยู่ข้างหลังเข้ามาในความคิดของซูโย่วอี๋ และเสียงที่มีเสน่ห์ของเขาก็ดังผ่านเข้ามา
มันทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
เมื่อสังเกตเห็นว่าเพื่อนสาวเหม่อลอย ดวงตาของซูหยินก็มืดมน “เธอชอบเขาเหรอ?”
ไม่ว่าลู่เฉินจะหล่อ ร่ำรวย หรือมีเสน่ห์เพียงใด ความรักก็คือหลุมฝังศพ เธอไม่ต้องการให้น้องสาวของเธอกระโจนเข้าไปอีก
ซูโย่วอี๋ได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น “ฉันจะไม่โกหกเธอ แต่ฉันบอกได้แค่ว่า ฉันไม่ได้เกลียดเขา”
มีเสียงดังมาจากมุมทางเดินข้างหน้า ซูโย่วอี๋จึงหยุดชะงัก
“รู้จักคน รู้จักหน้า แต่ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจ แม้ว่าเธอจะเป็นคนดีแค่ไหนแต่ทุกอย่างมันก็อยู่หน้ากล้อง บางทีเธออาจแค่เสแสร้ง คุณรู้ดีไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่มีทาง ฉันไม่คิดว่าซูโย่วอี๋เป็นคนแบบนั้น”
“คุณรู้ไหมว่าใครเป็นเจ้าของกระติกน้ำ? ปกติไม่มีใครดื่มน้ำในกระติกเก็บความร้อนของเธอ ยกเว้นเฉินซีซีผู้โชคร้าย ฉันคิดว่าซูโย่วอี๋เป็นคนวางยาเธอ ไม่อย่างนั้นเรื่องราวจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง จริงไหม?”
ดูเหมือนคนคนนั้นจะเชื่อและเงียบไป
แต่ซูหยินเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าเย็นชา
ซูโย่วอี๋ดึงเธอเอาไว้แล้วกระซิบว่า “ช่างมันเถอะ”
ในตอนนี้คงมีคนคิดแบบนี้เยอะมาก ซึ่งเธอไม่สามารถหยุดให้คนอื่นพูดเรื่องนี้ได้
แต่จู่ ๆ ซูหยินก็ตะโกนเสียงดัง “ฉันไม่รู้เลยนะว่ามีนักสืบอยู่ที่นี่ด้วย แปลกจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้เราได้ยินว่ายังไม่รู้ตัวคนร้ายแท้ ๆ”
“นี่กำลังโยนความผิดให้เหยื่อกันอยู่หรือไง? งั้นฉันก็หวังว่าเธอคงไม่ถูกฆ่าในวันนี้นะ”
เสียงฝีเท้าดังขึ้น และออกไปไกล ดูเหมือนคนพวกนั้นกำลังหนี
ซูหยินพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าใครกล้าสงสัยเธอ ก็แค่ด่ากลับ ถ้าฉันเห็นเธอช่างมันอีก ฉันจะ…”
“จะอะไร?”
เมื่อมองไปที่นางฟ้าใบหน้าเย็นชาของเธอ ซูโย่วอี๋ก็พูดว่า “ฉันก็จะโทษตัวเอง ที่ปกป้องเธอไม่ได้”
ซูโย่วอี๋ได้ยินอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ในที่สุดพวกเธอก็พบลู่เฉินในห้องรับรอง เขากำลังดื่มชาและดูการแสดงอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นั่งลงสิ” เขาพูดพร้อมกับมองไปที่แก้มที่ถูกตบของเธอ
“ประธานลู่ เรื่องการวางยาคืบหน้าบ้างไหมคะ?”
ลู่เฉินรินชาสองถ้วยวางตรงหน้าพวกเธอ “นั่นคือหน้าที่ของตำรวจ”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ดื่มชาที่ชงโดยประธานลู่ โชคดีจริง ๆ”
เธอเปลี่ยนเรื่องเก่งมาก
“ซูหยิน ผมจำคุณได้ ละครของคุณสนุกมากนะ”
ซูหยินเลิกคิ้วและพูดว่า “ฉันได้รับการอนุมัติจากบิ๊กบอสแล้ว ได้โปรดเถอะ ประธานลู่พูดถึงฉันดี ๆ กับรองประธานกู่หน่อย เขาจะได้หยุดส่งฉันไปถ่ายทำในภูเขาสักที”
จู่ ๆ ก็เกิดบรรยากาศตึงเครียด
ซูโย่วอี๋นั่งดูทั้งสองคนพูดคุยกัน
แต่จู่ ๆ ลู่เฉินก็พูดว่า “เดี๋ยวผมถามให้”
เขากดโทรศัพท์และโทรออก [สวัสดีครับเจ้าหน้าที่เหลียง ผมลู่เฉินครับ]
ซูโย่วอี๋ไม่ได้ยินที่พวกเขาคุยกัน
[โอเค เข้าใจแล้ว ขอบคุณ]
[ใช่ เธออยู่ที่นี่]