บทที่ 106 แชร์ประสบการณ์
บทที่ 106 แชร์ประสบการณ์
ซูโย่วอี๋ต้องการว่ายไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เธอจะไปได้
แต่เธอไม่ทันได้คาดคิด บริเวณน้ำลึกและน้ำตื้นไม่สามารถคาดเดาได้
เธอจมลงไปทันที
และเป็นซูหยินที่ดึงเธอขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนคนนี้ถึงได้แข็งแรงนัก
หลังจากนั้นพวกเธอทั้งสองเกือบจะจมลงไปด้วยกันแต่ซูหยินลากเธอขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้เกิดจากความตั้งใจอันแรงกล้า
ตั้งแต่นั้นมาเธอก็กลัวน้ำและไม่เคยคิดที่จะว่ายน้ำอีกเลย
ขณะที่เธอจมอยู่ในความทรงจำ สุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ก็ได้เห็นฉากในตอนนั้นเช่นกัน
[คุณเคยจมน้ำ]
มันหยุดชวนเธอว่ายน้ำทันที
หลังจากเล่นบนฝั่งได้สักพักเธอก็รู้สึกเบื่อและกำลังจะกลับหอพัก
แต่เพราะเธอถูกลู่เฉินขัดจังหวะในตอนนั้น เธอจึงกินอาหารไม่อิ่มและรู้สึกหิวนิดหน่อย
เธอมองไปที่โต๊ะของหวานที่ปลายอีกด้านของสระว่ายน้ำและพูดว่า “ฉันจะไปหาอะไรกิน เธอต้องการอะไรไหม?”
อวี๋ชิงจ้าวส่ายหัวและพูดว่า “ไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะรอเธออยู่ตรงนี้”
ซูโย่วอี๋ยืนขึ้นและเดินไปที่ปลายอีกด้านของสระว่ายน้ำ
ไม่มีรั้วกั้นข้างสระว่ายน้ำ และเธอไม่ได้สวมรองเท้า ดังนั้นเธอจึงพยายามอยู่ห่างจากสระว่ายน้ำให้มากที่สุด
อีกด้านหนึ่งของสระ มีคนพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ ซูโย่วอี๋จึงพยายามที่จะเดินเลี่ยง
แต่เธอกลับมาอยู่ใกล้สระว่ายน้ำโดยไม่รู้ตัว
หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เดินหน้าต่อไป ตอนนี้เท้าของเธอเปียก ทันใดนั้นก็ลื่นล้มลงไปในสระว่ายน้ำทันที
ซูโย่วอี๋มองน้ำที่ไหลมาจากทุกทิศทุกทาง
ความกลัวที่ทำให้หายใจไม่ออกล้อมรอบเธอทันที
ซูโย่วอี๋พยายามดิ้นรน และก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร หัวของเธอก็จมอยู่ใต้น้ำอีกครั้ง
ด้านสุนัขจิ้งจอกก็ตะโกนอย่างกระวนกระวาย [ซู่จู่ ว่ายน้ำ! คุณว่ายน้ำได้!]
ก่อนที่ทุกคนจะทันได้โต้ตอบ ก็มีร่างหนึ่งกระโดดลงไปในน้ำ
“ใครล้มน่ะ?”
“ใครกระโดดลงมา?”
“ฉันไม่ได้สังเกต แต่น่าจะเป็นผู้ชายนะ”
จากนั้นคนอื่น ๆ อีกหลายคนกระโดดลงไปในน้ำและว่ายไปยังจุดที่ซูโย่วอี๋ตก
เมื่อชายคนนนั้นอยู่ใต้น้ำ เขาเห็นว่าซูโย่วอี๋กำลังจะหมดสติ
เขาว่ายลงไปในน้ำลึกเรื่อย ๆ อุ้มหญิงสาวขึ้นมาและพาเธอไปที่ฝั่ง
ซูโย่วอี๋ได้ยินคนเรียกชื่อเธอ
มีคนตบหน้าเธอ
มีคนเปิดปากของเธอและมีบางสิ่งที่อ่อนนุ่มสัมผัสที่ปาก
ครั้งแล้วครั้งเล่า…
หญิงสาวพยายามลืมตาและเห็นใบหน้าหล่อเหลาของลู่เฉินอยู่ใกล้
ซูโย่วอี๋ยกมือขึ้นปิดปากและดันเขาออกไป
อีกฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ความวิตกกังวลในดวงตาก็ค่อย ๆ จางหาย
ซูโย่วอี๋ไอออกมา “แค่ก ๆ ประธานลู่ ฉันสบายดี”
เสียงของเธอแผ่วเบา
“ผ้าขนหนูครับ”
พนักงานยื่นผ้าขนหนูให้เธอทันที
ลู่เฉินพยุงเธอลุกขึ้นและสวมเสื้อคลุมให้เธออย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
เขาชี้ไปที่ที่เธอตกลงไป แล้วซูโย่วอี๋ก็พูดว่า “มันลื่น”
ด้านทีมงานได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วบอกเขาว่า “ประธานลู่ครับ ผมตรวจสอบดูแล้วตรงนั้นมีน้ำส้มหกอยู่ อาจมีคนทำหกลงพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้ครับ”
“พวกคุณรู้แล้วทำไมไม่ทำความสะอาด? ตรงนี้มีคนตั้งเยอะ นี่พวกคุณดูแลความปลอดภัยกันยังไง”
ทีมงานก็พูดไม่ออก “ขอโทษครับ”
ด้านซูโย่วอี๋ที่กำลังงุนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าลู่เฉินกำลังโกรธ เธอจึงเอื้อมมือไปจับมือเขา
“ฉันแค่ลื่นล้ม อีกอย่างที่นี่มีคนตั้งเยอะ มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาหรอกค่ะที่ไม่ได้สังเกต”
ริมฝีปากของเธอซีด และผมของเธอก็เปียกจนลู่อยู่ที่ข้างแก้มของเธอจนหยดติ๋ง ๆ
“เอาล่ะ พวกคุณไปซะ”
ลู่เฉินพยุงเธอขึ้นและพูดว่า “ผมจะไปส่งที่หอพัก”
ซูโย่วอี๋ห่อผ้าเช็ดตัวให้แน่นขึ้น ราวกับว่ามันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย “ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้ค่ะ จริง ๆ ฉันว่ายน้ำได้ แต่จู่ ๆ กลับกลัวจนเป็นลม”
ก่อนที่ลู่เฉินจะทันได้พูดอะไร ของเหลวสีแดงก็ไหลลงมาที่จมูกของเขา
ซูโย่วอี๋เห็นอย่างนั้นก็ชี้ไปที่จมูกของชายหนุ่มแล้วพูดว่า “คุณมีเลือดออก”
ติ๊ง!
[ยินดีด้วย ซู่จู่ทำให้ลู่เฉินเลือดกำเดาไหลสำเร็จแล้ว การทดสอบมาถึงระดับที่ยอดเยี่ยมแล้ว]
เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบ ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกอายมาก
เธอใส่ชุดว่ายน้ำมาตั้งนานแล้วแต่ไม่สามารถทำให้ลู่เฉินเลือดกำเดาไหลได้ แต่มาตอนนี้เธอทั้งเปียกน้ำแถมคลุมผ้าทั้งตัว เขากลับเลือดกำเดาไหลเนี่ยนะ
‘เขาชอบผู้หญิงเรียบร้อยงั้นเหรอ?’
ซูโย่วอี๋อยากจะถามออกไป
แต่สุนัขจิ้งจอกกลับมองเธอด้วยดวงตาดูถูก [เขาแค่บังเอิญมาเจอคุณกำลังจมน้ำ แล้วก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการช่วยชีวิตคุณ การออกแรงมากเกินไปอาจทำให้เลือดกำเดาไหลได้นะ]
มนุษย์ที่มีสติปัญญาสูงส่งอย่างลู่เฉินจะถูกดึงดูดด้วยความงามได้ยังไง?
ซูโย่วอี๋ก็ไม่คิดว่าที่เขาเลือดกำเดาไหลมันเป็นเพราะเธอ แต่สิ่งที่สุนัขจิ้งจอกพูดก็ทำให้เธอไม่พอใจ
“งั้นก็หมายความว่าระบบทำงานผิดพลาด?”
คราวนี้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์แสร้งทำเป็นเงียบและปฏิเสธที่จะยอมรับ
ทั้งสองคนเดินไปที่หอพักอย่างเงียบ ๆ และเธอจึงเริ่มชวนเขาคุย
“ประธานลู่ วันนั้นที่เป็นวันเกิดของคุณปู่ลู่ เขาอายุเท่าไหร่เหรอคะ?”
“75 ปี”
ซูโย่วอี๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอคิดว่าคุณปู่อายุประมาณหกสิบปีเท่านั้น “เขาดูยังไม่แก่ขนาดนั้น”
“คุณปู่ใช้ชีวิตอยู่กับดอกไม้และต้นไม้ที่บ้านหลังเกษียณ”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้น คนที่มีชีวิตที่มีความสุขจะดูอ่อนเยาว์โดยธรรมชาติ”
ลู่เฉินกลอกตาและพูดว่า “จะไม่มีความสุขได้ยังไง ก็บ่นผมทุกวัน”
ซูโย่วอี๋จำได้ว่าเมื่อครั้งที่เธอไปบ้านของตระกูลลู่ คุณปู่ลู่เข้าใจผิดว่าเธอเป็นแฟนของหลานชาย และปู่ของเขาก็เรียกเธอว่าหลานสะใภ้
ซึ่งมันทำให้เธอหน้าแดง
“คุณปู่ใส่ใจเรื่องการแต่งงานเสมอ การที่ผู้ชายจะแต่งงานกับผู้หญิงไม่ใช่เรื่องใหญ่”
ในอดีตมีผู้ชายบางคนในหมู่บ้านที่แต่งภรรยาและให้กำเนิดลูกตั้งแต่อายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าทำไมคุณปู่ถึงเป็นกังวล
“ประธานลู่ แล้วคุณอายุเท่าไหร่?”
“ยี่สิบเก้า”
“คุณคิดว่าตัวเองแก่แล้วหรือไง?”
ซูโย่วอี๋รู้สึกงงงวย “ไม่เลว อายุเป็นเพียงแง่มุมเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออาชีพการงาน การประสบความสำเร็จในวัยนี้ อายุยี่สิบเก้าถือว่าไม่แก่เกินไป ยังเด็กเกินไปด้วยซ้ำ”
ชีวิตวัยหนุ่มสาวไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุย
ลู่เฉินมองไปที่ซูโย่วอี๋ที่กำลังพูดพึมพำด้วยปากเล็ก ๆ
เมื่อพวกเขามาถึงประตูหอพัก ลู่เฉินก็พูดเตือนว่า “อย่าเปิดเครื่องปรับอากาศถ้าคุณหนาว แล้วก็ดูแลตัวเองดี ๆ อย่าให้เป็นหวัด”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า
“หลังจากออกจากเกาะในวันพรุ่งนี้ คุณก็พิจารณาเรื่องเซ็นสัญญาและตอบกลับผมโดยเร็วที่สุด”
หากเธอตัดสินใจเซ็นสัญญากับเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ เขาจะต้องเตรียมการสำหรับการโปรโมต
“นอกจากนี้ คุณชนะในการแสดงรอบที่สอง ตามกฎแล้ว เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์จะเผยแพร่เพลงมิตรภาพสูงสุดให้คุณฟรี ๆ และหลังจากนั้นจะมีคนติดต่อคุณมาเพื่อบันทึกเพลงในสตูดิโอ”
ซูโย่วอี๋จดจำคำพูดของเขาทีละข้อ
หลังจากกลับมาที่หอพัก เธอก็อาบน้ำและนอนบนเตียง ภาพของลู่เฉินยังคงปรากฏขึ้นในใจของเธอ
เมื่อเธอจมน้ำและตื่นขึ้นมา เขากำลังทำ CPR ให้เธออยู่
ซูโย่วอี๋นึกถึงภาพนั้นก็กัดริมฝีปากล่างของเธออย่างไม่รู้ตัว เธอหลีกเลี่ยงที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกเขินอายอยู่คนเดียว