บทที่ 134 ปิดตัวลงอย่างสง่างาม
บทที่ 134 ปิดตัวลงอย่างสง่างาม
ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจเลย เมื่อกี้ซูหยินยังอารมณ์ดีอยู่แท้ ๆ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงดูไม่มีความสุขเลยล่ะ
เธอวางมือลงบนมือของซูหยิน “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
ซูหยินพลิกมือและจับมือโย่วอี๋เอาไว้แน่น “ฉันแค่ทำเรื่องโง่ ๆ ไป”
หลังจากเก็บสิ่งของที่จำเป็นภายในเขตหัวซีอย่างรวดเร็วเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังที่พักแห่งใหม่
“ไปเป่ยสืออี้ผิน”
ซูหยินมองเหมยเหมยอย่างตกใจ “เธอบอกว่าไปเป่ยสือ?”
เหมยเหมยยิ้มและพยักหน้า “ใช่”
ซูโย่วอี๋เองก็ไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่เธอก็รู้ดีว่าราคาที่อยู่อาศัยในเป่ยสืออี้ผินอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดในกรุงปักกิ่ง!
มันตั้งอยู่ในพื้นที่หลักของเขตการเงินและการค้าที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยริมแม่น้ำที่หรูหรามาก มีทรัพยากรภูมิทัศน์ที่ใช้การออกแบบขนาดใหญ่ ห้องที่มีขนาดเล็กที่สุดอยู่ที่ 400 ตารางเมตร!
ราคาบ้านสูงถึง 200,000 หยวนต่อตารางเมตร ห้องหนึ่งอย่างน้อย ๆ ก็ 80 ล้านหยวน!
ซูโย่วอี๋หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาลู่เฉิน [คุณใช้เส้นสายของตัวเองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวใช่ไหม?]
ลู่เฉินที่กำลังประชุมอยู่ เห็นว่าโทรศัพท์สั่นจึงหยิบขึ้นมาดูและพบว่าเป็นข้อความที่แฟนสาวส่งหาเขา
เขาจินตนาการถึงสีหน้าไม่พอใจของซูโย่วอี๋ได้ในทันที
[เปล่าซะหน่อย]
[ที่นั้นคือที่พักส่วนตัวของผม ไม่เกี่ยวอะไรกับบริษัท]
ซูโย่วอี๋ไม่อยากไปที่นั่นแม้แต่น้อย เมื่อวานเพิ่งตอบรับเป็นแฟนเขาแท้ ๆ วันนี้จะย้ายเข้าที่พักสุดหรูของอีกฝ่ายเลยหรือไง?
หนูตกถังข้าวสารชัด ๆ
ด้านลู่เฉินตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว [มันว่างอยู่ก็คือว่าง ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีก็จ่ายค่าที่พักมาสองพันหยวนต่อเดือนแล้วกัน]
ซูโย่วอี๋ถือโทรศัพท์เอาไว้ชะงักค้าง เธออยากจะปฏิเสธแต่ก็พูดไม่ออก
นี่มันต่างจากการให้อยู่ฟรีตรงไหนกัน ครั้งหนึ่งตอนที่เธอว่าง ๆ เธอก็เคยเปิดดูข้อมูลห้องพักในเป่ยสืออี้ผิน
แน่นอนว่าหญิงสาวไม่มีเงินมากพอที่จะเช่าที่นั่นแม้แต่ตารางเมตรเดียวด้วยซ้ำ
คนที่อยู่ที่นี่ถ้าไม่ใช่คนรวยก็เป็นทายาทเศรษฐีที่ยอมปล่อยบ้านว่างไว้ดีกว่าปล่อยเช่า สำหรับพวกเขาแล้วการปล่อยเช่าไม่มีความจำเป็นอะไร
แต่ก็มีคนเคยวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ ว่าถ้าอยากจะเช่าที่นั่นราคาเริ่มต้นอย่างน้อย ๆ ก็เดือนละแสนหยวนเป็นอย่างต่ำ
ด้านซูหยินเอียงศีรษะเพื่อดูข้อความในโทรศัพท์ของซูโย่วอี๋ด้วยสายตาหยอกล้อ “ที่รัก ประธานลู่ดีกับเธอจัง ทั้งไปรับไปส่ง แถมให้บ้านพักสุดหรูให้อยู่ได้ตามใจ”
ซูโย่วอี๋รีบเอื้อมมือไปปิดปากของเธอด้วยความรู้สึกเขินอาย “ในละครที่ว่ากันว่าถูกเลี้ยงดูมันคือแบบนี้ใช่ไหม?”
สีหน้าของซูหยินเปลี่ยนไป
ซูโย่วอี๋สังเกตเห็นได้เกือบจะในทันที
เธอและซูหยินเหมือนเป็นฝาแฝดตัวติดกันที่อ่อนไหวไปตามอารมณ์ของอีกฝ่าย
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไร
ไม่นานรถก็ขับเข้ามาจนถึงโรงจอดรถใต้ดินของเป่ยสืออี้ผิน ที่ข้างในใหญ่มากจนหากเล่นซ่อนหากันในนี้ คงต้องใช้เวลานานกว่าจะพบแน่
ทางขึ้นลิฟต์เปิดออกมาเป็นโถงทางเข้า
วิวของบ้านหลังนี้ดีมาก เปิดโล่ง มีครัวแบบเปิดโซนเดียวกับห้องนั่งเล่น ห้องหนังสือและห้องเสื้อผ้าที่แยกออกมา
การออกแบบของห้องน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ ขณะแช่ตัวในอ่างอาบน้ำสามารถเปิดผ้าม่านออกเพื่อเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนของริมแม่น้ำได้
เหมยเหมยเปิดกระเป๋าเดินทางออก และนำเสื้อผ้าเข้าเก็บในตู้เสื้อผ้าทีละตัว และเมื่อแขวนไปได้สองช่อง
“คุณซู ห้องเสื้อผ้าของคุณยังมีที่เหลืออีกเยอะเลยค่ะ”
เมื่อจัดระเบียบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหมยเหมยก็อธิบายวิธีการใช้งานบ้านอัจฉริยะอย่างละเอียด
“มีอะไรไม่เข้าใจโทรหาฉันได้ตลอดเวลานะคะ ฉันขอตัวกลับไปรายงานที่บริษัทก่อน”
ตอนนี้ ภายในห้องเหลือเพียงเธอกับซูหยินสองคน และซูโย่วอี๋ก็ดึงซูหยินเดินไปตรงมุมหนึ่งของบ้าน
“ฉันได้ยินมาจากคนเฒ่าคนแก่เขาบอกว่าวันแรกที่เข้ามาอยู่บ้านต้องทำอาหาร ฉันทำให้เอง คืนนี้พวกเราสามคนกินข้าวด้วยกันตกลงไหม?”
ซูหยินพยักหน้า “ตกลง ฉันจะช่วยเธอล้างผักเอง”
“ฉันจะแนะนำลู่เฉินให้เธอรู้จัก”
ซูโย่วอี๋พูดอย่างนิ่ง ๆ แต่ซูหยินสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหูของเธอแดงก่ำ
นี่สิถึงจะเป็นความสัมพันธ์แบบคู่รักตามปกติ มีแฟนแล้วก็คงอยากจะรีบแนะนำให้กับเพื่อนสนิทได้รู้จัก และหวังว่าเพื่อนสนิทจะเห็นด้วย
ซูหยินมองที่ผักกาดขาวในมือไปชั่วขณะหนึ่ง “ได้สิ”
ซูโย่วอี๋รู้ว่าซูหยินมีเรื่องที่ปิดบังเธออยู่ ครั้งที่แล้วที่เธอเห็นซูหยินร้องไห้อย่างเจ็บปวดซูโย่วอี๋เองเลยไม่กล้าถามออกไป
แม้กระทั่งในตอนนี้ซูโย่วอี๋ก็ไม่อยากใช้ความสัมพันธ์ของพวกเธอมาบังคับให้อีกฝ่ายพูด “หยินหยิน ช่วงนี้เธอดูอารมณ์ไม่ดีนะ”
มันไม่ใช่คำถามแต่เป็นการยืนยัน
ด้านซูหยินที่จดจ่ออยู่กับล้างผักตอบกลับ “อืม”
“ฉันรู้สึกว่าเธอดูไม่มีชีวิตชีวา… ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเลย”
“โย่วอี๋ ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วง ฉันไม่อยากโกหกเธอหรอกนะ แต่ตอนนี้ฉันพูดไม่ออกจริง ๆ…”
“ให้เวลาฉันหน่อยนะ”
ซูหยินรู้ดีว่าความสัมพันธ์ครั้งหนึ่งของเธอกับฮัวจิงนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ เธอใช้ความสวยงาม ส่วนเขาใช้เงิน เธอจึงไม่สามารถเปิดเผยเรื่องของผู้ชายคนนั้นได้
เขาเองก็ไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเธอเลยสักครั้ง
“โย่วอี๋ รู้ไหม บางครั้งฉันก็อิจฉาเธอมาก”
ซูโย่วอี๋กอดซูหยินเอาไว้ในอ้อมแขนแน่น “พูดอะไรน่ะ ระหว่างพวกเราสองคนไม่ควรพูดอะไรแบบนี้นะ”
“ฉันแค่กลัวว่าเธอจะไม่มีความสุข”
“ฉันหวังว่าเธอจะมีชีวิตที่มีความสุข”
จู่ ๆ ความรู้สึกอบอุ่นก็เกิดขึ้นภายในใจของซูหยิน จมูกของเธอได้กลิ่นหอมคลุ้งของข้าว หูได้ยินเสียงฝาหม้อที่ถูกดันขึ้นมาจากความร้อน
ซูหยินหลงใหลในความอบอุ่นของบ้านหลังนี้
“โย่วอี๋ ไม่ว่าฉันจะเคยทำอะไรมา เธอจะยอมยกโทษให้ฉันไหม?”
ซูโย่วอี๋ตบลงที่ไหล่ของเธออย่างหนักแน่น “แน่นอน”
ซูหยินยิ้มกว้างเหมือนกับเด็กได้ของขวัญ เธอนึกถึงช่วงวันเวลาที่มืดมน ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็เหมือนกัน คือเธอต้องการให้มีคนอยู่เคียงข้าง
นั่นคือวัยเยาว์ของเธอ
วิธีการบอกลาวัยเยาว์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่การฝังมันเอาไว้ แต่คือการพูดมันออกไป
นั้นถึงจะเป็นการปล่อยว่างอย่างแท้จริง
“ฉันต้องบอกเธอแน่นอน”
ซูโย่วอี๋ยิ้ม “ฉันจะรอวันนั้น”
ณ บริษัทออกแบบและพัฒนาของเล่นเฉินอี้
เฉินเฉินกลับไปทำงานที่บริษัท ภายใต้สายตาของเหล่าพนักงาน แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ควรจะต้องจัดการ บริษัทยังคงต้องดำเนินต่อไป เอาแต่ผัดวันประกันพรุ่งไม่ใช่วิธีที่ดีนัก
สิ่งแรกที่เขาทำคือจัดการประชุมพนักงานทั้งหมด เพื่ออธิบายเรื่องการนอกใจต่อหน้าทุกคนในบริษัท
บางคนถึงกับเล่นมุกขำ ๆ “ผู้ชายนี่นะ จะมีสักกี่คนที่ไม่เคยทำผิด?”
“ใช่ ๆ ประธานเฉินไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองเลยด้วยซ้ำ”
ทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์เงินเดือน เรื่องส่วนตัวของหัวหน้าก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขามากมายอะไรนัก
แค่ได้พูดซุบซิบนินทาก็พอใจ
เฉินเฉินถอนหายใจ ไม่ว่าจะพูดยังไงขอแค่ให้มีหน้ามาพบทุกคนก็พอ ยังไงลับหลังเขาก็ไม่สามารถควบคุมอะไรได้อยู่แล้ว
แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าพนักงานสาวที่อยู่แผนกต้อนรับจะยืนขึ้นและเดินไปด้านหน้าพลางมองเฉินเฉินด้วยแววตาไม่พอใจ ก่อนที่จะโยนกระดาษสีขาวลงบนหน้าของเฉินเฉิน
“ประธานเฉิน นี่คือใบลาออกของฉันโปรดรับไปพิจารณาด้วยค่ะ”
พนักงานสาวจากแผนกต้อนรับคนนี้อายุไม่มาก และทำงานที่ไร้ทักษะที่สุดในบริษัท เธอเดินออกไปทันทีซึ่งทำให้ทุกคนตื่นตกใจมาก
พอเห็นแบบนั้น สีหน้าของเฉินเฉินก็เป็นสีแดง “ลาออกก็ลาออก แต่พฤติกรรมของคุณเป็นการดูถูกผมเกินไปแล้ว”
“ดูถูก?” ผู้หญิงแผนกต้อนรับรู้สึกประหลาดใจ “คุณนอกใจคนรักยังกลัวการดูถูกอีกเหรอคะ?”
“คนอื่นอาจจะไม่สนใจแต่ฉันไม่ใช่ ฉันเป็นแฟนคลับของซูโย่วอี๋ ฉันมีสิทธิ์ที่จะพูดแทนเธอได้ คุณไม่คู่ควรกับเธอสักนิด การเลิกกับคุณเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่เธอทำแล้ว”
“ขอให้คุณกับเหอมี่มี่เป็นคู่ผีเน่ากับโล่งผุอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ นะคะ”
“แล้วก็ขอให้บริษัทเฉินอี้ปิดตัวลงอย่างสง่างาม”
“จะนานแค่ไหนก็ขอให้พวกเราไม่ต้องพบเจอกันอีก”
อีกด้าน ผู้ชมสองสามคนแอบยกนิ้วให้พนักงานสาวจากแผนกต้อนรับก่อนที่จะมองเธอเดินออกไปจากห้องประชุมอย่างไม่หันกลับมาอีก
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือดร้อนและหุนหันพลันแล่นอย่างพนักงานสาวจากแผนกต้อนรับคนนี้
เฉินเฉินมองพนักงานคนนั้นด้วยใบหน้าเฉยเมย และรู้ได้เลยว่าการประชุมครั้งนี้ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่พังไปแล้วก็ต้องปล่อยให้เป็นไปแบบนั้น “พวกคุณยังมีใครที่อยากลาออกอีกไหม? จะได้ออกไปพร้อมกัน”