บทที่ 138 แสดงให้พวกเขาดู
บทที่ 138 แสดงให้พวกเขาดู
[ว้าว หัวหน้าแฟนคลับสามารถค้นหาข้อมูลของประธานลู่ได้ด้วย สุดยอดมาก]
[แต่ต้องเคารพในความเป็นส่วนตัวของพวกเขาด้วยนะ พวกเราจะกลายเป็นซาแซงแฟนไม่ได้]
[ใช่ ถ้าเข้ากลุ่มแฟนคลับมาได้ ก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน จะต้องช่วยกันปกป้องโย่วโย่ว]
ทุกวันคุณปู่ลู่จะแบ่งเวลามาดูความคิดเห็นในเวยป๋อ “หลี่ขุย ซาแซงแฟนคืออะไร?”
พ่อบ้านขมวดคิ้ว “คุณท่านรอสักครู่ ผมขอค้นหาก่อน”
“ซาแซงแฟน เป็นพฤติกรรมที่รุนแรงในหมู่แฟนคลับ เพื่อตอบสนองต่อความชอบของตัวเองเลยตามติด แอบดู แอบตามถ่ายรูปชีวิตประจำวันของพวกเขา และส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของศิลปิน”
คุณปู่ลู่แสดงท่าทางตกใจ “แบบนี้ยังเรียกว่าเป็นแฟนคลับอีกเหรอ?”
คุณปู่ลู่ที่เคยอยู่ในยุคที่โทรศัพท์ยังไม่มีการพัฒนา จนถึงตอนที่โทรศัพท์เป็นที่นิยมพวกเขาก็ไม่มีแรงที่จะเรียนรู้อะไรแล้ว ยิ่งเรื่องเกี่ยวกับวงการบันเทิงยิ่งแล้วใหญ่
“นายตอบกลับที บอกไปว่าภาพในชีวิตประจำวันที่พวกเราจะโพสต์ลงหลังจากนี้ทั้งหมดล้วนได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการแล้ว แน่นอนว่าสมเหตุสมผลและถูกกฎหมาย”
ในเวลาเดียวกันนั้น ซูโย่วอี๋เห็นที่ ‘คุณปู่ของโย่วโย่ว’ ตอบกลับ
ในใจของเธอยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น สมเหตุสมผลและถูกกฎหมาย?
ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ?
หรือนี่จะเป็นกลุ่มแฟนคลับที่เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์สร้างขึ้นมาเอง?
ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับลู่เฉินจะเกิดขึ้นในไม่กี่วัน แต่ลู่เฉินก็ดีกับเธอมาก
คิดได้เช่นนั้น ซูโย่วอี๋จึงกดติดตาม ‘คุณปู่ของโย่วโย่ว’ ทันที
ไม่ว่าจะพูดยังไง เขาก็ถือว่าเป็นพันธมิตรกับเธอ
และทันใดนั้น พ่อบ้านก็ร้องตะโกนขึ้น “คุณท่านครับ! โย่วโย่วกดติดตามคุณแล้ว”
ด้านคุณปู่ตกใจเช่นกัน “หลานสะใภ้รู้แล้วเหรอว่าเป็นพวกเรา?”
เขารีบให้หลี่ขุยส่งข้อความส่วนตัวไปหาซูโย่วอี๋ทันที แต่กลับพบว่าซูโย่วอี๋ออกจากระบบไปแล้ว
ในช่วงเวลาพักผ่อน ทุกวันผ่านไปอย่างเงียบสงบและมีความสุข เวลาที่ลู่เฉินว่าง เขาก็จะมากินข้าวเย็นเป็นเพื่อนเธอ แต่ก็ไม่ค่อยได้มาบ่อยนัก อย่างเมื่อคืนก็ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศอีก
หลังจากอยู่ด้วยกันจึงได้รู้ว่าลู่เฉินนั้นแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลย เวลาของทั้งสองคนต่างกันมากจนซูโย่วอี๋เองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจัดการเรื่องงานอยู่หรือไม่ จึงได้แต่รออย่างใจจดใจจ่อให้ลู่เฉินเป็นฝ่ายมาหา
แต่โชคดีที่ไม่ว่าจะยุ่งมากแค่ไหน ลู่เฉินก็จะหาเวลาในทุกวันเพื่อวิดีโอคอลมาบอกฝันดีเธอ
มันทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและมีความสุขมาก
และในทุกวันซูโย่วอี๋พยายามเข้าไปฝึกฝน [ความสง่างาม] วันละสองชั่วโมง เพื่อให้ได้เม็ดช็อกโกแลตและไปที่ร้านค้าของระบบเพื่อแลกกับครีมทาแผลหนึ่งขวด เดิมทีแผลบนหน้าต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนจึงจะหายดีแต่ด้วยยาทาแผลที่ได้มาทำให้สามารถหายได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ ผิวเรียบเนียนราวกับไข่ไก่ที่เพิ่งปอกเปลือกออกมาใหม่ ๆ
อีกทั้งผิวยังดีขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกด้วย บริเวณที่ทาครีมลงไปแม้แต่รูขุมขนก็เกือบจะหายไปจนหมด
“เจ้าจิ้งจอกเน่า นี่คงจะเป็นครีมความงามสินะ”
สุนัขจิ้งจอกไม่เข้าใจคำพูดติดตลกของเธอ [ก็เป็นไปได้]
ซูโย่วอี๋มองครีมทาแผลอยู่สักครู่ ด้วยของแบบนี้ ยังต้องซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอีกทำไมกัน?
ในตอนแรก หญิงสาวนึกว่าจะต้องอยู่กับวันแสนน่าเบื่อแบบนี้ต่อไปอีกสักพัก แต่จู่ ๆ สุ่ยเวยก็โทรศัพท์มาหาเธอ และบอกว่าได้จัดการตารางงานของครึ่งปีหลังมาให้แล้ว ให้เธอเข้าไปบริษัทในตอนบ่าย
แต่ซูโย่วอี๋ไม่ต้องการให้รถของบริษัทมารับ เพราะเป่ยสืออี้ผินอยู่ใกล้กับเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์มาก แค่เดินออกมาจากเขตและผ่านสวนด้านหน้ามาสิบนาทีก็ถึงแล้ว
เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ซูโย่วอี๋นั่งอยู่ในห้องทำงานของสุ่ยเวย เหมยเหมยเองก็อยู่ที่นั่นด้วย
ต่างคนต่างพากันกล่าวทักทายกัน
สุ่ยเวยส่งแผนการทำงานให้กับเธอ “ในนั้นวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของคุณ รวมถึงสิ่งที่คุณชอบ รวมถึงเสนอทิศทางการพัฒนาที่เป็นเป้าหมายชัดเจน”
ซูโย่วอี๋เปิดมันพลิกไปมา ในส่วนของข้อดีเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
[รูปร่างภายนอกโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ความงามเป็นพิเศษ อีกทั้งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้]
[ความสามารถทางดนตรีที่โดดเด่น เก่งในการร้องเพลงแนวหลินลี่]
[รูปร่างสมบูรณ์แบบ แสดงให้เห็นถึงวินัยของตนเองอย่างชัดเจน]
ข้อเสียมีค่อนข้างมาก
[คำวิจารณ์ทางอินเทอร์เน็ตไม่ดี เพราะเรื่องนอกใจ การหย่าร้างทำให้ความประทับใจถูกทำลาย แต่เรื่องทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีเสียทีเดียว]
[ความสามารถทางดนตรีสูง แต่พื้นฐานไม่ดี ต้องพัฒนาด้านดนตรีให้สูงขึ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผู้มีอำนาจและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้านดนตรี]
[ขาดความรู้ในด้านการแต่งตัว การแสดงออกแย่]
[ขาดความรู้พื้นฐานของการเป็นศิลปิน]
และด้านหลังยังคงมีอีกหลายข้อมาก ซึ่งทุกข้อล้วนถูกต้อง
ดูจนถึงหน้าสุดท้าย ทิศทางคำแนะนำ
[สามารถเริ่มจากการเข้าร่วมรายการวาไรตี้เพลงก่อน ในขณะเดียวกันก็เข้าเรียนในวิทยาลัยดนตรี]
[ประเมินศักยภาพอีกขั้นด้านการแสดง การเป็นนางแบบ ฯลฯ]
สุ่ยเวยรอจนซูโย่วอี๋วางเอกสารลงจึงได้พูดขึ้น “คุณมีความคิดเห็นอะไรไหมกับแผนการพัฒนานี้?”
“ดีมากเลยค่ะ”
สุ่ยเวยก็รู้สึกว่าแผนการฉบับนี้นั้นไร้ที่ติ “ในเมื่อคุณโอเค ฉันได้เจรจากับรายการเพลงเอาไว้หลายรายการ คุณลองดู”
“หนึ่งคือรายการวาไรตี้ยอดฮิตทางหมางกั๋วทีวี ‘นักร้องมีนัด’ คิดไปแล้วคุณน่าจะเคยได้ยินหรือไม่ก็เคยเห็นมาก่อน รายการวาไรตี้นี้เป็นรายการวาไรตี้แนวหน้าของช่องหมางกั๋ว จนถึงตอนนี้มีมาถึงสี่ซีซันแล้ว ตอนนี้กำลังเตรียมตัวสำหรับการเลือกผู้เข้าแข่งขันของซีซันที่ห้า”
แค่รายการแรกก็เป็นวาไรตี้ชื่อดังเลย
‘นักร้องมีนัด’ ซูโย่วอี๋ติดตามดูทุกซีซัน คนที่สามารถเข้าร่วมรายการนี้ได้ต่างก็เป็นนักร้องมืออาชีพ เธอคงไม่มีคุณสมบัติมากพอ
อีกทั้งการกำหนดผู้ถูกเลือกจะเริ่มหลังจากการส่งรายชื่อโดยกรรมการเท่านั้น ในส่วนของการขอเข้าร่วมเอง ไม่เคยได้ยินว่ามีการเลือกแบบนี้ด้วย
ด้วยแววตาของคนตรงหน้า สุ่ยเวยก็เข้าใจในความคิดของเธอได้ในทันที “กรรมการเคยเห็นการแสดงของคุณในรายการวาไรตี้ 22 วันปั้นดาว และรู้สึกว่าความสามารถด้านดนตรีของคุณพัฒนาถึงระดับขั้นของรายการแล้ว”
แน่นอนว่ายังมีอีกอย่างที่สุ่ยเวยไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือกรรมการน่าจะเห็นแก่ลู่เฉิน
แต่คำพูดเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดกับซูโย่วอี๋หรอก
“พี่เวย ยังมีตัวเลือกอื่นอีกไหม?”
“รายการที่สองคือการเป็นที่ปรึกษารายการวาไรตี้โชว์ความสามารถพิเศษของวงเกิร์ลกรุ๊ป ‘วัยรุ่นสู้ฝัน’ เหมือนกับตำแหน่งของฮันเอินจี ขั้นตอนต่าง ๆ คล้ายกับรายการวาไรตี้ที่คุณเคยเข้าร่วมมาก่อน”
“รายการสุดท้ายเหมือนกับรายการที่สอง เพียงแค่อันหนึ่งคือวงเกิร์ลกรุ๊ป และอีกหนึ่งคือวงบอยแบนด์”
ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ใช่รายการ ‘พรุ่งนี้ผมจะเป็นไอดอล’ หรือเปล่า?”
หลังจากได้รับคำยืนยันจากสุ่ยเวย ซูโย่วอี๋รู้สึกกดดันจนต้องถอนหายใจออกมา
ไม่พูดก็ไม่ได้ รายการต่าง ๆ ที่สุ่ยเวยจัดไว้ให้นั้นยอดเยี่ยมมากจริง ๆ
ทั้งสามรายการนี้ล้วนเป็นรายการใหญ่ที่มีคุณภาพ ทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ อำนวยการสร้างโดยผู้กำกับชื่อดัง โดยเฉพาะรายการมืออาชีพชั้นสูงอย่าง ‘นักร้องมีนัด’
แม้อีกสองรายการถึงจะไม่ได้เป็นมืออาชีพมากนัก แต่คนในรายการก็มีความสามารถมาก ในยุคของการคัดเลือกบุคคลจากความสามารถ รายการวาไรตี้ทั้งสองรายการเฟ้นหาบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ปจากทั่วโลก
จะให้เธอเอาความมั่นใจในการเป็นที่ปรึกษามาจากไหนกัน ในเมื่อเธอเองก็เพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นาน?
ซูโย่วอี๋พอจะรู้จักตัวเองอยู่บ้าง ที่เธอสามารถร้องเพลงได้ก็เพราะเธอได้รับมันมาจากหลินลี่ แต่การร้องเพลงได้กับการเป็นที่ปรึกษานั้นต่างกัน เพราะคุณจะต้องสอนคนให้เป็นด้วย
ยังมีอีกเรื่อง ระดับของเธอในตอนนี้ยังไม่เหมาะสมกับรายการ มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกชาวเน็ตด่าว่าใช้เส้นสายอีกแน่ ๆ!
ส่วนสุ่ยเวยเห็นว่าซูโย่วอี๋ไม่ตอบกลับอะไร จึงถามขึ้น “ไม่ชอบรายการพวกนี้เหรอ?”
“ไม่ใช่ รายการพวกนี้… มันดีเกินไปต่างหาก”
เหมยเหมยที่นั่งจดรายละเอียดงานอยู่อีกฝั่งอย่างเงียบ ๆ ได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้น “พี่ซู คุณทำได้อยู่แล้ว”
สุ่ยเวยขมวดคิ้ว “ตราบใดที่คุณยังเป็นแฟนของประธานลู่อยู่ คุณก็ไม่สามารถหลีกหนีความกดดันได้ คุณควรจะทำตัวให้ชิน ไม่ใช่เอาแต่หนี ต่อให้จะมีคนสงสัย คุณจะกลัวอะไร แค่แสดงผลลัพธ์ให้พวกเขาดูก็สิ้นเรื่อง”