บทที่ 148 จะชดเชยให้ผมยังไง
บทที่ 148 จะชดเชยให้ผมยังไง
ติ๊ง!
[สภาพจิตใจของซู่จู่ไม่ตรงกับสภาพจิตใจที่เหมาะสมของตัวละคร หัก 3 คะแนน]
ซูโย่วอี๋ตกตะลึง และตอบสนองกลับในทันที ฮั่วเสวียนยังไม่รู้ว่าคนที่มาคือพี่ชายที่เธอเคยพบเจอเมื่อตอนเด็ก ๆ ในใจจะรู้สึกไม่สงบก็บ้าแล้ว
เธอรีบจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง “สั่งการลงไปว่าออกเดินทางได้”
ซูโย่วอี๋เดินขึ้นไปด้านหน้าสุดเพื่อนำทัพ หลังจากผู้ช่วยแม่ทัพหลายนายตามมาถึงประตูค่ายทหาร คนดูแลม้าได้เตรียมม้าไว้เรียบร้อยแล้ว
หนึ่งตัวในนั้นโดดเด่นมาก คอสูงสง่า ขาทั้งสี่ยาวได้มาตรฐาน ขนบางเบาเงางาม มันคือสหายร่วมรบที่ออกต่อสู้สังหารศัตรูไปกับฮั่วเสวียน นั่นคือม้าเหงื่อโลหิต*[1]
“เฟยอิง”
ซูโย่วอี๋ตะโกนขึ้น เฟยอิงหลุดจากสายบังเหียนที่คนดูแลม้าถืออยู่ และวิ่งมาทางซูโย่วอี๋ทันที
ในเวลานี้ขาของซูโย่วอี๋สั่นสะท้าน แต่สัญชาตญาณบอกเธอว่าห้ามหนี
เพราะว่าฮั่วเสวียนจะไม่หนี!
เฟยอิงหยุดห่างจากซูโย่วอี๋ไปหนึ่งก้าว และส่งเสียงออกมาทางจมูก หลังจากนั้นก็ก้มหัวลงคลอเคลียตรงแก้มของเธออย่างใกล้ชิด
ตอนนี้ทั้งร่างกายของซูโย่วอี๋เกร็งไปหมด แต่เมื่อเห็นว่าเฟยอิงไม่มีท่าทีก้าวร้าว เธอจึงค่อย ๆ ทำตัวสบาย ๆ
และยกมือขึ้นลูบขึ้นลงบนหน้าของเฟยอิง
ด้านชุยดาบเดียวเอ่ยเตือนขึ้น “เชิญท่านแม่ทัพขึ้นม้าขอรับ”
การเคลื่อนไหวของซูโย่วอี๋หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ทำไมถึงได้ลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปได้ เธอขี่ม้าไม่เป็นนี่!
แต่ภายใต้สายตาของเหล่าทหาร เธอจึงทำได้เพียงเดินไปข้าง ๆ ม้าตัวนั้น เลียนแบบท่าทางขี่ม้าจากในละครทีวี เท้าขวาเหยียบลงบนโกลน ดึงบังเหียนม้าด้วยมือทั้งสองข้าง เธอต้องการขี่มัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ออกแรงมากไม่ได้ มันก็เลยโคลงเคลงจนเกือบจะล้มกลิ้งลงมา
ด้านผู้ช่วยแม่ทัพหลายนายก้าวเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกันและร้องออกมาอย่างตกใจ “ท่านแม่ทัพ!”
หลังจากซูโย่วอี๋ทรงตัวได้ เธอยิ้มในแบบที่ดูน่าเกลียดกว่าการร้องไห้ซะอีกและหันหน้ากลับไป “ข้าไม่เป็นไร”
“ท่านแม่ทัพไม่สบายหรือ? หากเป็นอย่างนั้นการไปรับองค์ชายในครั้งนี้ให้ข้าน้อยไปเองเถิด?” ชายหนุ่มที่พูดขึ้นเป็นหัวสมองของกองทัพ และยังเป็นผู้จัดการเรื่องทางการเมืองและสถานการณ์ต่าง ๆ ในค่ายนี้ด้วย เขาชื่อว่าป๋อเวย
แต่ซูโย่วอี๋รั้งเอาไว้ “ไม่ต้อง”
ชุยดาบเดียวก็ดูกังวลเช่นกัน ท่านแม่ทัพฝึกฝนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ต่อให้ได้รับบาดเจ็บก็สามารถฝืนทนนำทัพต่อสู้ต่อไปได้ แต่นี่แค่ม้าก็ยังขึ้นไปแทบไม่ไหว ไม่รู้ว่าป่วยหนักมากแค่ไหนกัน
เขาจึงพูดขึ้น “องค์ชายเพียงคนเดียว พวกข้าไปรับก็เพียงพอ ท่านแม่ทัพพักผ่อนให้สบายในค่ายเถิด”
ซูโย่วอี๋อยากพูดมากว่า ‘ตกลงค่ะ ฉันตกลง’ เพราะแค่ขึ้นม้าเธอก็กลัวจนขาสั่นแล้ว
แต่ในความเป็นจริง เธอกลับตอบอย่างเคร่งขรึม “พวกเจ้าปล่อยให้คำพูดเมื่อเช้าของข้าไหลไปกับสายลมแล้วรึ ลืมแล้วหรืออย่างไรว่าควรปฏิบัติตัวเช่นไรต่อหน้าองค์ชาย?”
ชุยดาบเดียวเห็นว่าท่านแม่ทัพเริ่มโมโห น้ำเสียงจึงอ่อนลง “ต้องให้ความเคารพขอรับ”
ติ๊ง!
[ซู่จู่สวมบทบาทของตัวละครได้ถูกต้อง เพิ่ม 3 คะแนน]
!
เพิ่มคะแนนได้ด้วย!
ฮ่าฮ่า นี่แสดงว่าที่เธอพูดเมื่อกี้นี้นั้นถูกต้องสินะ
และในตอนนี้ ม้าเหงื่อโลหิตเหมือนจะทนไม่ไหวที่เจ้าของไม่ยอมไปไหนเสียที จึงเดินขึ้นไปสองก้าว ซูโย่วอี๋ที่เดิมทีไม่ได้จับบังเหียนม้าไว้แน่นจึงได้ตกลงมาจากหลังม้าในทันที
ภาพนั้นทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างตื่นตกใจ
ซูโย่วอี๋รับรู้ถึงความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกาย เธอพยายามลุกขึ้นยืน แต่กลับพบว่าฉากรอบ ๆ ค่อย ๆ จางหายไป และเปลี่ยนเป็นฉากสีดำสนิท
จู่ ๆ เสียงระบบแจ้งเตือนขึ้น
[ซู่จู่สวมบทบาทฮั่วเสวียนไม่สำเร็จ โลกของบทบาทตัวละครพังทลาย]
[กำลังออกจากเกม]
ตกม้าแค่นี้ก็ทำให้คะแนน 100 คะแนนถูกหักไปจนหมดเลยเหรอ?
ผ่านไปไม่กี่วินาที สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ได้รับการฟื้นฟูให้เป็นพื้นที่ของฮอโลแกรม
ซูโย่วอี๋ยังคงอยู่ในท่าทางการนั่งลงกับพื้น แต่ว่าไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดแล้ว
สุนัขจิ้งจอกยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง [หึหึ เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ เลยนะ ถูกบังคับให้ออกจากเกมเนี่ย]
น่าสมเพชจริง ๆ
ซูโย่วอี๋รู้สึกผิด เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้
อีกอย่างเมื่อกี้นี้เธอเพิ่งล้มก้นกระแทกมา “เจ้าจิ้งจอกเน่า ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเกมคือเรื่องจริงหรือเปล่า?”
[แน่นอน หากได้รับบาดเจ็บก็ต้องมีเลือดออก ต้องเจ็บ ต่อสู้ก็ต้องมีคนตาย ขอเตือนคุณไว้ก่อนเลยนะ ในยุคสมัยนั้นไม่มียาชา ถ้าคุณบาดเจ็บขึ้นมาจริง ๆ แบบนั้นก็ขอให้โชคดี อีกอย่างต่อให้คุณออกมาจากเกมแล้วมันก็จะยังคงอยู่ กลับเข้าไปในครั้งต่อไปคุณก็จะต้องรับความเจ็บต่อไป]
What?
ซูโย่วอี๋อยากตะโกนด่าออกมา “เจ้าจิ้งจอกเน่า กล้าทำหน้าตาล้อเล่นต่อความโชคร้ายของฉันงั้นเหรอ?”
สุนัขจิ้งจอกไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป [ซู่จู่ คุณคิดว่าคุณอยู่ในฉากแล้วจะพูดอะไรก็ได้งั้นเหรอ ถ้าไม่เจ็บปวดจะพัฒนาการแสดงได้ยังไง ตอนนี้ที่คุณแสดงเป็นฮั่วเสวียนก็มีการพัฒนาขึ้นมากแล้ว]
“จริงเหรอ?”
[แน่นอน]
ซูโย่วอี๋รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย และความเจ็บปวดที่ฮั่วเสวียนจากเรื่องรักในฝันได้พบเจอนั้นมีมากมาย ครั้งที่หนักมากที่สุดก็คือตอนที่ไปช่วยพระเอกจนถูกผู้นำหรงตี๋จับเป็นเชลย พร้อมกับถูกขังและทรมานอยู่ในห้องขัง
เมื่อนึกถึงตอนที่หนังสือบรรยายภาพของฉากนั้น ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
ถ้าไม่ใช่เพราะจำเป็นจริง ๆ เธอไม่มีทางสวมบทบาทสถานการณ์ของตอนนั้นแน่นอน
“งั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวันถึงจะสามารถกลับเข้าไปในเกมได้เหรอ?”
[อืม]
แต่เมื่อนึกถึงซูหยิน ซูโย่วอี๋ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถให้เธอเข้าร่วมเกมได้ด้วยหรือไม่
พอคิดเรื่องนี้ขึ้นมา สุนัขจิ้งจอกก็รีบทำลายความคิดของเธอลง [คุณอยากเป็นตัวประหลาดในสายตาของคนอื่นเหรอ? อีกอย่างพื้นที่ของระบบปรากฏตัวขึ้นเพียงในความคิดของผู้ใช้ คนอื่น ๆ ที่ซู่จู่จะพามาไม่มีทางเข้าไปได้]
ซูโย่วอี๋ทำได้เพียงต้องยอมแพ้และคิดหาวิธีการอื่น ๆ เพื่อช่วยซูหยิน และในตอนนี้วิดีโอการแคสต์บทบาทของนางเอกได้เผยแพร่ไปแล้ว บางทีเธออาจจะลองสวมบทบาทในตอนนั้นได้และนำเอาประสบการณ์ไปบอกกับซูหยินอีกที
“โย่วอี๋” แต่ทันใดนั้นเสียงของลู่เฉินก็ดังขึ้น
ซูโย่วอี๋ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ทำไมวันนี้เขากลับมาเร็วจัง ตอนนี้เพิ่งจะสองทุ่มเอง
ทันทีที่เธอจะออกไปจากพื้นที่ของระบบ ก็ถูกสุนัขจิ้งจอกขวางเอาไว้ [ลู่เฉินอยู่ที่ห้องนั่งเล่น คุณไปห้องนอนก่อน]
ในอากาศว่างเปล่าอยู่ดี ๆ ก็มีคนปรากฏตัวขึ้น ยังดีที่ลู่เฉินไม่มาเห็นภาพนี้ไม่อย่างนั้นเขาคงตกใจมากแน่
ตอนนี้ซูโย่วอี๋นอนอยู่บนเตียง ประตูห้องก็ถูกเคาะขึ้น
“เข้ามาได้เลยค่ะ”
ลูกบิดประตูถูกหมุน ร่างสูงของลู่เฉินปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาตามแสงไฟ
“ทำไมนอนไวจัง ไม่สบายหรือเปล่า?”
ซูโย่วอี๋รีบตอบกลับ เธอเปิดไฟในห้องไม่ทัน
เธอกลัวว่าลู่เฉินจะเห็นความผิดปกติเลยพูดออกไป “เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ”
ลู่เฉินเอามือวางที่หน้าผากของเธอ “หน้าร้อน ๆ นะ กินยาแล้วหรือยัง?”
ซูโย่วอี๋คิดในใจว่าเรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก!
“พักผ่อนสักหน่อยก็พอแล้วค่ะ ไม่ต้องกินยาหรอก ฉันโตแล้วนะดูแลตัวเองได้”
ลู่เฉินไม่ได้พูดอะไรต่อ “อยากให้ผมเปิดแอร์ให้ไหม?”
เหมือนกับว่าซูโย่วอี๋จะเห็นสายตาที่สำรวจไปมาของลู่เฉินในความมืด
อากาศร้อนขนาดนี้แต่กลับคลุกตัวเองอยู่ในผ้าห่ม ไม่เปิดไฟไม่เปิดแอร์เพื่ออะไรกัน
จากนั้นเธอ ‘ตบมือ’ ขึ้นไฟก็เปิด และมองลู่เฉิน “จริง ๆ แล้วฉันเพิ่งเข้ามาในห้องนอน”
สีหน้าของลู่เฉินสงบนิ่ง “อืม”
“ยังไม่ทันได้เปิดไฟ เปิดแอร์ คุณก็เห็น”
“อืม”
“ฉันไม่ได้ป่วย”
“อืม”
“งั้นคุณก็ไม่อยากเจอผมเหรอ?”
ซูโย่วอี๋รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้อยู่
เธอเกี่ยวนิ้วก้อยของลู่เฉินเข้ามา “ไม่ใช่สักหน่อย”
ดวงตาล้ำลึกของลู่เฉินจับจ้องไปยังเธอ “เข้าบ้านมาก็ไม่เห็นใคร แถมชามก็ยังอยู่ในอ่าง ตอนที่ผมเข้ามาเลยนึกว่าคุณป่วย”
“ผมเป็นห่วงคุณนะ”
พอได้ยินอย่างนั้น ซูโย่วอี๋ก็ใจเต้นแรง ทำไมผู้ชายคนนี้นอกจากหล่อแล้วยังชอบพูดให้เธอเขินอีก
“ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณเป็นห่วง”
ว่าจบมุมปากของลู่เฉินโค้งเป็นรอยยิ้ม “โย่วอี๋ ผมเป็นนักธุรกิจ จะพูดแค่คำว่าขอโทษได้ยังไง คุณคิดหรือยังว่าจะชดเชยให้ผมยังไง?”
[1] ม้าเหงื่อโลหิต คือ ม้าพันธุ์อัคคัลทีค มีเหงื่อเป็นสีแดง