บทที่ 150 ใบหน้าร่าเริง
บทที่ 150 ใบหน้าร่าเริง
หลังกินข้าวเสร็จก็นั่งอยู่พักหนึ่ง ความง่วงได้เข้าจู่โจมซูโย่วอี๋ ท้ายที่สุดเธอก็เผลอหลับไปอีก
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นกว่า ๆ แล้ว ซูโย่วอี๋จึงลุกขึ้นจากเตียง ในที่สุดเธอก็รู้สึกว่าพละกำลังของตัวเองกลับมาแล้ว
ยังดีที่ตอนนี้เป็นช่วงถูกบล็อกในเกมสวมบทบาท ไม่เช่นนั้นคงต้องเอาเวลาอันมีค่ามานอนซึ่งเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์มาก
เธอเหม่อลอยไปสักครู่และโทรหาซูหยิน
[ที่รัก เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม?]
ไม่รู้ว่าซูโย่วอี๋รู้สึกไปเองหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าในคำพูดของซูหยินมีอะไรบางอย่าง เหมือนว่าจะเน้นคำว่า ‘นอน’ หนักเป็นพิเศษ!
[อืม ก็ดี]
[แค่ก็ดีเองเหรอ? ทำไมล่ะ ประธานลู่ของพวกเราเป็นแค่พวกดูดีแต่ไร้ฝีมือแบบพวกไร้น้ำยาที่ไม่สามารถทำให้ที่รักของฉันประทับใจได้เลยเหรอ?]
!!!
ซูโย่วอี๋ใจเต้นแรง [ไม่ใช่แบบนั้น]
[ไม่สิ… แล้วเธอรู้ได้ยังไง?]
ด้วยนิสัยใจคอของลู่เฉิน คงไม่มีทางเอาเรื่องพวกนี้ไปป่าวประกาศแน่
ซูหยินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี [ประธานใหญ่อย่างคุณลู่ที่มีระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดเสมอมาไม่เข้างานตลอดทั้งเช้า ตอนบ่ายมาบริษัทด้วยความชื่นบาน ใบหน้าร่าเริง อารมณ์ดีมาก ๆ]
เหมือนว่าเรื่องนี้จะถูกพูดถึงกันไปจนทั่วบริษัท ทั้งยังมีแต่คนพูดถึงขนาดนี้คงเป็นเรื่องยากที่เธอจะไม่รู้
ซูโย่วอี๋เถียงไม่ได้ จึงตอบกลับแบบอ้ำอึ้ง [อืม]
ถือเป็นการยอมรับแบบอ้อม ๆ
ซูหยินแซวอยู่สักพักก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ในสายตาของเธอด้วยอายุและความสวยของซูโย่วอี๋ หากจะมีอะไรกับผู้ชายแล้วจะเป็นอะไรไป
[หยินหยิน เธอเตรียมตัวเรื่องแคสต์บทกู้ชิงเฉิงเป็นยังไงบ้าง?]
[ก็พอได้ กำหนดการแคสต์คือพรุ่งนี้เก้าโมงเช้า คืนนี้กะว่าจะไม่ซ้อมแล้ว ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา]
[ไม่ต้องเป็นห่วงฉันนะ เตรียมบทฮั่วเสวียนของเธอให้ดี ๆ แล้วพวกเราค่อยเจอกันที่กองถ่าย]
เดิมทีหลังซูโย่วอี๋สวมบทบาทแล้วเธออยากแบ่งปันประสบการณ์นี้ให้กับซูหยิน แต่หากเป็นแบบนี้คงจะไม่ทันแล้ว
เธออารมณ์เสียเล็กน้อย เพราะไม่สามารถช่วยอะไรซูหยินได้เลย
[หยินหยินสู้ ๆ]
[ที่รักสู้ ๆ]
ซูโย่วอี๋ลุกจากเตียงไปห้องน้ำ มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ตามร่างกายของเธอมีรอยช้ำเขียว ๆ ม่วง ๆ ที่คอ พอดึงขอบเสื้อลงมาดูตรงหน้าอกก็มีรอยช้ำเช่นกัน
น่ากลัวจริง ๆ!
ตลอดหลายปีมานี้ลู่เฉินไปอดอยากมาจากไหน
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและส่งข้อความ [ลู่เฉิน!!!]
[ตื่นแล้วเหรอ เจ้าหมูจอมขี้เกียจ]
หมูจอมขี้เกียจบ้าอะไร!
[ผมจะรีบกลับไปทำกับข้าวให้นะ]
ซูโย่วอี๋ที่กำลังแปรงฟันอยู่ก็หยุดมือ ถ้าลู่เฉินมาจริง ๆ เธอจะเข้าไปในพื้นที่ฮอโลแกรมเพื่อเล่นเกมได้ยังไง
[ไม่ต้อง]
ลู่เฉินที่เห็นซูโย่วอี๋ตอบกลับมาก็ขมวดคิ้วมุ่น หัวหน้าแผนกที่กำลังรายงานการทำงานหยุดพูดไปชั่วขณะ
เขาคงไม่ได้พูดอะไรผิดไปใช่ไหม?
ลู่เฉินตอบกลับข้อความไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พูดต่อเลย”
สุนัขจิ้งจอกมองคอของซูโย่วอี๋ด้วยดวงตาสดใส [ซู่จู่!]
ซูโย่วอี๋คิดแล้วคิดอีก ตอนนี้เธอไม่ได้โกรธอะไรแล้ว สิ่งสำคัญคือเธอต้องทำให้ลู่เฉินเชื่อว่าเธอไม่ได้กำลังประชดอยู่
เธอเลยโทรศัพท์หาลู่เฉิน และอีกฝ่ายก็รับสายอย่างรวดเร็ว
[ลู่เฉิน ความรักของพวกเราทำให้มันช้าลงหน่อยก็ได้ เช่นออกไปดูหนัง กินข้าว ปั่นจักรยาน ไม่ต้องตัวติดกันตลอดทั้งวันก็ได้ คุณคิดว่าไงคะ?]
[ให้เวลาและพื้นที่กับอีกฝ่ายนิดหนึ่ง]
โดยเฉพาะไม่ต้องคิดทำพวกเรื่อง 18+
พอได้ยินอย่างนั้นริมฝีปากของลู่เฉินโค้งลง [ครับ เอาตามที่คุณบอกเลย]
[งั้นสองสามวันนี้คุณอย่าเพิ่งมาที่นี่นะคะ ฉันอยากตั้งใจเตรียมตัวสำหรับการแคสต์บท ‘รักในฝัน’]
[ครับ]
เมื่อเห็นว่าลู่เฉินตกลง ซูโย่วอี๋ก็ถอนหายใจออกมา [งั้นฉันวางสายแล้วนะ?]
ลู่เฉินตอบมาแค่อืม ซูโย่วอี๋เลยวางสายไป
คนที่กำลังรายงานอยู่เห็นท่านประธานจ้องโทรศัพท์ด้วยใบหน้าอ่อนโยนราวกับโดนล้างสมอง นี่ตาฝาดหรือเปล่า ตาฝาดแน่ ๆ
นี่ไม่ใช่ประธานลู่ที่เขารู้จักสักนิด!
เวลา 08.43 น.
พอมีการปลดบล็อกเกมการสวมบทบาท ซูโย่วอี๋ก็เข้าไปยังพื้นที่ฮอโลแกรมในทันที และกดเลือกบทบาทในเกม
[ยินดีต้อนรับซู่จู่กลับสู่เกมการสวมบทบาท ‘รักในฝัน’ เชิญเลือกเนื้อเรื่องที่ต้องการสวมบทบาท]
ซูโย่วอี๋คิดแล้วคิดอีก ครั้งที่แล้วเพราะขี่ม้าไม่เป็นทำให้โลกบทบาทตัวละครของฮั่วเสวียนแตกสลาย หากจะหลบหนีจากสถานการณ์แบบนี้ก็จะต้องกลับไปยังตอนที่ฮั่วเสวียนยังเป็นเด็ก และเริ่มต้นเรียนรู้การขี่ม้าไปทีละก้าวตามฮั่วเสวียน
เธอค้นหาเนื้อเรื่องจากร้อยกว่าตอน จนพบว่าการดำเนินเรื่องในส่วนใหญ่มาจากมุมมองของพระเอกและนางเอก
สุนัขจิ้งจอกเตือนขึ้น [ทุก ๆ ตอนสำคัญของตัวหลักจะมีเรื่องราวของตัวประกอบรวมอยู่ด้วย คุณลองหาดู]
ในที่สุดซูโย่วอี๋หยุดลงในย่อหน้าที่เจ็ด นางเอกข้ามเวลามาอยู่ในร่างของกู้ชิงเฉิงซึ่งเป็นลูกสาวอาจารย์ของฮ่องเต้ หลังจากตอนที่พบกับพระเอกแล้ว ก็พบกับฮั่วเสวียนที่ลงหลักปักฐานอยู่ที่ชายแดน และเริ่มฉากเรียนขี่ม้ากับท่านอาจารย์
[เชิญเลือกบทบาท ‘กู้ชิงเฉิง’ ‘หลี่จื้อ’ ‘ฮั่วเสวียน’ ‘ไป๋หลี่อาจารย์สอนขี่ม้าและยิงธนู’ ‘พี่เลี้ยง’ ‘นางกำนัล A’ ‘นางกำนัล B’ …]
ซูโย่วอี๋กดเลือกฮั่วเสวียน ไม่นานก็เข้าสู่ภายในเกม
ฉากในครั้งนี้เป็นฉากที่ฮั่วเสวียนในวัยเพิ่งจะหกปีเต็มถูกส่งไปยังชายแดน มีเพียงพี่เลี้ยงและเด็กผู้ชายอีกคนที่คอยดูแลอยู่เคียงข้าง
ชายแดนที่แสนยากลำบาก ฮั่วเสวียนเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จึงคิดถึงบ้านเป็นอย่างมาก ทุกวันเอาแต่แอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่ม
พี่เลี้ยงเป็นห่วงฮั่วเสวียนมาก เธอถูกครอบครัวของตัวเองเลี้ยงดูอย่างเด็กผู้ชายยังไม่พอ พวกเขายังส่งเธอไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่ที่มีภูเขาสูงและอยู่ชายแดนอันแสนห่างไกล
พี่เลี้ยงปลอบเธอ “คุณชาย การที่คนยังมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ คุณชายต้องยอมรับกับชะตากรรมนี้ เกียรติยศของตระกูลฮั่วฝากไว้อยู่บนตัวคุณชายเพียงคนเดียว คุณชายจะต้องแข็งแกร่งนะเจ้าคะ”
“ในเมื่อข้าพูดแล้ว หากว่าคุณชายได้เป็นหัวหน้าทัพ แล้วท่านแม่ทัพฮั่วจะกลับมาหาท่านเป็นแน่”
ซูโย่วอี๋เรียนรู้ท่าทางของเด็ก “จริงหรือ?”
“แน่นอน วันพรุ่งอาจารย์สอนขี่ม้าและยิงธนูที่ท่านแม่ทัพได้หาไว้ให้ก็มาถึงแล้ว คุณชายอยากเรียนมาโดยตลอดไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
ซูโย่วอี๋มีความสุขมากและหยุดร้องไห้พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงยินดี “ดีจริง ๆ”
ฮั่วเสวียนเรียนรู้ทักษะพื้นฐานตั้งแต่ยังเด็ก แต่ยังไม่เคยขี่ม้าและยิงธนูมาก่อน ครั้งนี้จึงดีใจมาก
“คุณชายรีบนอนเถิด วันพรุ่งต้องตื่นแต่เช้า”
ซูโย่วอี๋รอจนพี่เลี้ยงจากไป กดลงที่ฝ่ามือข้างขวา เพื่อขยับแถบเวลาและลากไปจนถึงตอนเช้า
จากความมืดมิดกลายเป็นแสงแรกอรุณ พี่เลี้ยงที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่เดินเข้ามาอีกครั้ง และเรียกให้ซูโย่วอี๋ตื่นนอน
ซูโย่วอี๋แกล้งทำตาสะลึมสะลือ ได้ยินเสียงเรียกของพี่เลี้ยงก็ขยี้ตา “แม่ฉิน”
พี่เลี้ยงพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “คุณชาย ยามเหม่า*[1]แล้วเจ้าค่ะ ลุกขึ้นมาฝึกรอบเช้าได้แล้ว”
ฮั่วเสวียนฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ซูโย่วอี๋ก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรและรีบลุกขึ้นนั่งทันที จากนั้นพี่เลี้ยงช่วยเธอสวมเสื้อผ้าและล้างหน้าให้
คนรับใช้จากเมืองหลวงนำอาหารเช้าเข้ามาให้ ซูโย่วอี๋กินข้าวอยู่ในกระโจมและตรงไปยังลานฝึก
ระหว่างทางเหล่าทหารที่เห็นความเจิดจรัสและผิวขาวเนียนสะอาดของเธอ ต่างก็พากันประหลาดใจ
“ตุ๊กตาน่ารักเช่นนี้มาจากที่ใดกัน?”
“เจ้านี่ช่างไม่รู้ข่าวคราวใดเสียบ้างเลย นี่คือฮั่วเสวียนลูกชายของท่านแม่ทัพฮั่ว”
สายตาที่เหล่าทหารจ้องมองเธอก็แปรเปลี่ยนไป สายตาของพวกเขาดูเคารพยำเกรงมากขึ้น
ซูโย่วอี๋ไม่ใช่เด็ก ๆ รับรู้ได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไปได้อย่างกะทันหัน เธอยืดอกและเชิดหน้าขึ้น พร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสุขุม
สิ่งที่เธอคิดในหัวคือ จะทำให้พ่อขายหน้าไม่ได้!
ติ๊ง!
[ซู่จู่ เข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้สำเร็จ เพิ่ม 3 คะแนน]
เยส!
[1] ยามเหม่า คือ 05.00-06.59 น.