บทที่ 154 พระเจ้ายังต้องตกใจ
บทที่ 154 พระเจ้ายังต้องตกใจ
ซูโย่วอี๋ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นและเห็นข้อความของซูหยิน [โย่วอี๋ ออดิชั่นเสร็จแล้วมาหาฉันหน่อยได้ไหม]
ด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมของเธอ เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเพื่อนคนนี้ ผิดปกติเอามาก ๆ
ซูหยินไม่ค่อยเรียกชื่อของเธออย่างจริงจังสักเท่าไหร่
แต่เหมยเหมยโทรศัพท์มาเรียกให้เธอรีบลงไปชั้นล่าง เธอจึงต้องปล่อยเรื่องของซูหยินไปก่อนชั่วคราว
หลังจากเหมยเหมยมารับซูโย่วอี๋แล้ว ก็ไปที่เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ก่อน สุ่ยเวยรออยู่ที่นั่นแล้ว ก่อนจะเหลือบมองเธอขึ้นลงด้วยท่าทางเหมือนเคย “ซูโย่วอี๋ ถ้าเธอแต่งหน้าตามปกติ เธอคงออดิชั่นไม่ผ่านแน่ แต่นี่ดูดีมากสำหรับการออดิชั่นละครของผู้กำกับสวี”
สวีโหมวชอบผู้หญิงที่ดูบริสุทธิ์ ดูมีจิตวิญญาณ และเป็นธรรมชาติ แต่งหน้ายิ่งบางยิ่งดี
“การออดิชั่นวันนี้ถือซะว่าเป็นการสะสมประสบการณ์ ไม่ต้องรู้สึกว่านี่เป็นภาระอันหนักอึ้ง เพราะคุณยังมีโอกาสอีกมากในอนาคต”
ก่อนหน้านี้ซูโย่วอี๋เก็บตัวเพื่อฝึกซ้อมจึงไม่ได้เชิญครูผู้เชี่ยวชาญมาสอน และไม่ได้ให้ลู่เฉินช่วย อะไรเลย ในสายตาของสุ่ยเวย นี่ก็เหมือนการไปลองเล่น ๆ โดยที่ไม่ได้หวังอะไรกับการ ออดิชั่นครั้งนี้
หากคนที่ไม่เคยเล่นละครมาเลยสักครั้งสามารถเอาชนะมืออาชีพได้ แล้วได้เล่นละครของสวีโหมว สุ่ยเวยคงทำได้เพียงให้คำชื่นชมถึงพรสวรรค์อันโดดเด่นนี้
สุนัขจิ้งจอกเลิกคิ้วขึ้น [ซู่จู่ เหมือนว่าสุ่ยเวยกำลังดูถูกคุณเลย]
ซูโย่วอี๋รู้ดีว่านิสัยของสุ่ยเวยเป็นคนตรง ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เมื่อหลายวันก่อนเธอเองก็ยังไม่มั่นใจในตัวเองได้เท่ากัยสุ่ยเวยเลย
ขณะกำลังพูดอยู่นั้นมีคน ๆ หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู เขาสวมชุดลำลองกีฬา โชว์แขน และต้นขาอันแข็งแรง “พี่เวย”
“เจ๋อหยาง ไม่ใช่ว่าวันนี้นายมีถ่ายโฆษณาเหรอ?”
ฮันเจ๋อหยางเดินเข้ามา “อืม ช่างภาพไม่ว่างเลยเลื่อนไปหนึ่งชั่วโมงน่ะ นี่คนที่จะมาเป็นรุ่นน้องของผมเหรอ?”
ซูโย่วอี๋เห็นว่าเขามองเธออยู่ก็รีบกล่าวสวัสดี “สวัสดีค่ะ รุ่นพี่ฮัน”
ฮันเจ๋อหยางรู้สึกว่าซูโย่วอี๋หน้าตาคุ้น ๆ แต่นึกอย่างไรเขาก็นึกไม่ออก “ผมเข้าวงการก่อนคุณสามปี ต่อไปพวกเราเรียกแค่ชื่อก็พอ ไม่ต้องพิธีการมากมาย”
ฮันเจ๋อหยางอยู่ในฐานะนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ จะกำหนดความอาวุโสแค่จากอายุการทำงานได้อย่างไรกัน
นักแสดงรุ่นพี่หลายคนต่างก็ต้องทำความเคารพเขา แน่นอนว่าซูโย่วอี๋ไม่ได้ถือเอาคำพูดเป็นกันเองของเขามาเป็นเรื่องจริงจัง
แต่สุ่ยเวยพูดขึ้น “ฮันเจ๋อหยางจะรับบทเป็นพระเอกหลี่จื้อเรื่องรักในฝัน”
ใบหน้าของฮันเจ๋อหยางยังเป็นปกติ ดูไม่ได้มีความสุขหรือภาคภูมิใจอะไร แน่นอนว่าด้วยระดับของเขาการได้เล่นละครของสวีโหมวไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ได้ยินพี่เวยบอกว่าคุณจะไปออดิชั่นเป็นฮั่วเสวียนเหรอ? ขออวยพรล่วงหน้าให้คุณประสบความสำเร็จในการออดิชั่นนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ซูโย่วอี๋ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าจะเกิดมาจากแม่คนเดียวกันแต่บุคลิกกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน เธอรู้สึกว่าฮันเจ๋อหยางและฮันเอินจีนั้นแตกต่างกันมากจริง ๆ
คนหนึ่งอบอุ่นดังสายลมในฤดูใบไม้ผลิ อีกคนเย็นชาราวกับลมหนาวในฤดูใบไม้ร่วง แถมยังไม่ค่อยเป็นมิตรอีกด้วย
จู่ ๆ เหมยเหมยก็เตือนขึ้น “พี่เวย รถอาจติด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว”
สุ่ยเวยพยักหน้า “หยางหยาง พวกเราไปก่อนนะ”
ทั้งสามคนเดินออกไป ฮันเจ๋อหยางจ้องมองแผ่นหลังของซูโย่วอี๋และขมวดคิ้วขึ้น ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยจัง?
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดค้นหารูปภาพของซูโย่วอี๋ในอินเตอร์เน็ตก่อนที่จะกดบันทึกเก็บไว้ในโทรศัพท์ และส่งให้กับฮันเอินจี
ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฮันเอินจีก็ตอบกลับมา [?]
[น้องสาว ทำไมซูโย่วอี๋คนนี้ถึงดูคุ้นจัง?]
ฮันเอินจีรู้สึกว่าหัวใจถูกบีบแน่นในทันที หลังจากนั้นก็รู้สึกโกรธ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าความสัมพันธ์อันดีของเธอกับฮันเจ๋อหยาง ถ้าเป็นคนอื่นเธอคงจะหันหน้าหนีไปแล้ว
[นี่พี่ตั้งใจหรือเปล่า?]
ฮันเจ๋อหยางมองดูข้อความตอบกลับของน้องสาวอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ตั้งใจอะไร?
[พี่ไม่รู้สึกว่าเธอหน้าตาเหมือนแม่ของพวกเรา?]
พูดจบฮันเอินจีก็โยนโทรศัพท์ทิ้ง
ผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนแม่ของเธอมากกว่าตัวเธอเองเสียอีก ช่างน่ารำคาญใจจริง ๆ
เดี๋ยวก่อน เหมือนว่าพวกเธอสองคนจะอายุเท่ากันนี่
ฮันเอินจีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและค้นหาข้อมูลส่วนตัวของซูโย่วอี๋ เธอรู้ว่าไม่ควรสนใจอะไร การที่ทั้งสองคนหน้าตาคล้ายกันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่เธอกลับไม่สามารถบังคับตัวเองได้
เธอค้นหาวันเกิดของซูโย่วอี๋ในเว็บไซต์ไป่ตู้จนเจออย่างรวดเร็ว เดือนพฤศจิกายน ปี 1998
เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ซูโย่วอี๋เกิดเดือนพฤศจิกายน แต่ฮันเอินจีเกิดเดือนตุลาคม!
ฮันเจ๋อหยางเห็นน้องสาวตอบกลับข้อความมาแบบนั้นก็หยุดนิ่ง ถึงว่าทำไมดูคุ้น ๆ ใช่แล้ว ซูโย่วอี๋เหมือนกับหนิงเชิงเมื่อตอนวัยรุ่นอย่างกับแกะ
บนโลกใบนี้มีคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่หน้าตาคล้ายกันด้วยหรือไง
ฮันเจ๋อหยางตกใจอยู่สักพักและส่งรูปไปยังกลุ่มครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ห้าคนพร้อมส่งอิโมจิหัวเราะไปด้วย
…
ถนนเฟิ่งหวง ที่ตั้งสำนักงานละคร ‘รักในฝัน’
เมื่อสุ่ยเวยพาซูโย่วอี๋มาถึง ลานจอดรถเต็มไปด้วยรถพี่เลี้ยงของคนในวงการบันเทิง รถบางคันในนั้นเป็นรถยนต์มีชื่อ
คนขับรถขับวนอยู่หลายรอบกว่าจะหาที่จอดได้ ซูโย่วอี๋มองออกไปนอกรถ มีผู้หญิงสองสามคนกำลังลงจากรถตามผู้จัดการไป
ทุกคนล้วนแต่งหน้าและแต่งตัวมาอย่างสวยงาม
ยิ่งรูปร่างหน้าตายิ่งไม่ต้องพูดถึง มองไกล ๆ ก็ให้ความรู้สึกถึงออร่าของความสวย ซูโย่วอี๋เริ่มเข้าใจแล้วว่าที่สุ่ยเวยพูดว่าเธอแต่งหน้าไม่ผ่านหมายความว่าอย่างไร
“ไปเถอะ” สุ่ยเวยพูดขึ้น
เหมยเหมยรีบลงจากรถและช่วยกางร่มให้เธอ
ยังไม่ทันไปถึงประตูก็ได้ยินเสียงพูดคุย ทันทีที่ก้าวเข้าไปจึงพบว่าในห้องโถงมีคนกว่าสิบคนจับกลุ่มกันอยู่
ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างหันมาจ้องมองที่เธอ ทุกสายตามารวมอยู่ที่ซูโย่วอี๋
“พระเจ้า ตัวจริงเธอหน้าเล็กมาก เธอสวยมากเลย”
“ผิวดีจัง ผิวขาวใส ใช้แป้งรองพื้นอะไรกันนะ”
“เธออาจไม่ได้ใช้แป้งรองพื้นอะไรเลย”
“ฉันจะเป็นลม เธอเป็นมนุษย์จริงเหรอ?”
“หึหึหึ ฉันดูน่าเกลียดไปเลย ขอแค่ดูดีหน่อยก็พอแล้ว ไม่ต้องสวยจนทำให้พระเจ้ายังต้องตกใจขนาดนี้”
“เธอดูมีเสน่ห์มากเลย”
“หึ ไม่เห็นสวยขนาดนั้น ฉันว่าก็ดูธรรมดา ๆ”
คนในสถานที่แห่งนี้ต่างตกตะลึงในความสวยของซูโย่วอี๋
จากนั้นพนักงานก็ไปรายงานสวีโหมวอย่างรวดเร็ว “คนมาครบแล้ว”
ผู้กำกับสวีจึงเอาบุหรี่ออกจากปาก ทักทายสุ่ยเวยและเหล่าผู้จัดการที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงคนอื่น ๆ “ทุกท่าน ผมรู้ว่าทุกคนมาออดิชั่นบทฮั่วเสวียน ถ้าหากต้องการออดิชั่นเป็นฮั่วเสวียน คงออดิชั่นที่นี่ไม่ได้ พวกเราต้องไปที่อื่น”
?
ทุกคนดูไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูด แต่ผู้จัดการคนหนึ่งยิ้มขึ้น “ผู้กำกับสวี เลิกเล่ห์เหลี่ยมได้แล้ว รีบพูดมาเถอะ”
ผู้กำกับสวีดูไม่สนใจอะไรมาก อันที่จริงเขาได้มองดูนักแสดงที่อยู่ในสถานที่นี้มาบ้างแล้ว และพอกวาดสายตาไปถึงซูโย่วอี๋เขาก็หยุดชะงัก
ไม่ใช่เพียงเพราะรูปร่างหน้าตาของเธอ แต่เป็นเพราะท่ายืนของเธอ
ซูโย่วอี๋สวมเสื้อยืดสีขาวสบาย ๆ กับกางเกงกีฬาขายาว ดูไม่ได้พยายามให้รู้สึกถึงความหรูหราหรือสวยงาม เธอดูง่าย ๆ สบาย ๆ เพียงเท่านี้ก็ดูสมบูรณ์แบบต่อการรับบทเป็นทหารแล้ว!
ราวกับเคยอยู่ในค่ายทหารมาก่อน!
ให้ความรู้สึกเหมือนฮั่วเสวียน!
สวีโหมวมองย้อนกลับมา “เราได้เตรียมรถบัสสองคันเอาไว้เรียบร้อยแล้วที่ด้านนอก พวกเราออกไปสนามม้าซานเฮ่อที่ชานเมืองกันเถอะ”
ทุกคนอยู่ในความโกลาหล ต่างพากันถามขึ้น “ผู้กำกับสวี การออดิชั่นวันนี้คือการขี่ม้าเหรอ?”
“ฉันขี่ม้าไม่เป็น แค่ถ่ายละคร ไม่จำเป็นต้องขี่ม้าเป็นจริง ๆ หรอกมั้ง”
“ถ้าเกิดหกล้มได้รับบาดเจ็บจะทำอย่างไร ใครจะรับผิดชอบ”
นักแสดงไม่น้อยพากันขมวดคิ้ว บ้างก็เริ่มบ่นขึ้น อย่างไรก็ตาม การขี่ม้าในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลาย ๆ เรื่องเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบการขี่ม้าเท่านั้น
สวีโหมวมองดูผู้คนโดยไม่ได้ขยับไปไหน “คนอื่นถ่ายละครอย่างไรผมไม่สน แต่มีสิ่งหนึ่งคือละครที่สวีโหมวคนนี้ถ่าย เน้นความเหมือนจริง ถ้าแค่ขี่ม้าก็ยังขี่ไม่เป็น ผมว่าพวกคุณไม่ต้องไปออดิชั่นแล้วก็ได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
เหล่านักแสดงตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์ไม่ดีและรีบดึงผู้จัดการให้เดินออกไปในทันที
คนที่ไม่ค่อยกล้าเริ่มปรึกษาผู้จัดการ “ตอนเด็ก ๆ ฉันเคยถูกม้าเตะ หรือว่าจะไม่ไปดี แค่เห็นม้าฉันก็กลัวแล้ว”