เดิมทีพวกเขาคิดจะไปเมืองอูกู่ก่อน ให้จินเฟยเหยาหาซื้อสินค้า ในเมื่อบนตัวนางมีของดีอย่างหยกจินกัง ก็ไม่จำเป็นต้องไปเมืองอูกู่อีก ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ตรงไปยังเทือกเขาอูกู่แทน หลังกลับจากโลกเผ่ามาร ค่อยไปจัดการสินค้าของเผ่ามารที่เมืองอูกู่
ตลอดทางเขาของเต๋อสี่สวมอยู่บนหัวของพั่งจื่อ มันไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเลยสักนิด และดูเหมือนจะรู้สึกยินดีเสียด้วย ไม่ยอมให้คนอื่นจับเลย จินเฟยเหยาเข้าใจมันดี มันต้องไม่ยอมคืนแน่ คิดถึงตอนไปถึงเขตต้องห้าม ถ้าพั่งจื่อไม่ยอมให้เต๋อสี่นำเขาลงมา คงสนุกแน่
เทือกเขาอูกู่ทอดยาวอย่างไม่สิ้นสุด เดินเท้าเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าก็ยังไม่ออกจากเทือกเขาอูกู่ ตรงกลางเทือกเขามีม่านแสงสายหนึ่งกั้นแบ่งสองฝั่งอย่างเป็นระเบียบ ด้านหนึ่งคือโลกเผ่ามนุษย์ อีกด้านหนึ่งคือโลกเผ่ามาร ด้านล่างม่านแสงมีซากศพสัตว์และนกจำนวนมาก ทั้งหมดบังเอิญพุ่งชนบนม่านแสงถูกเขตป้องกันสังหารทิ้ง
มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณคอยเก็บซากสัตว์เหล่านี้ตามแนวม่านแสงเป็นประจำ ไปเที่ยวหนึ่งสามารถหาศิลาวิญญาณได้ก้อนโต
จินเฟยเหยาติดตามพวกเขาสองคนไปถึงหน้าม่านแสง ไม่ต้องให้พวกเขาเอ่ยเตือน วงเวทบนม่านแสงก็แผ่ปราณสังหารคุกคามคนออกมา ทำไห้นางไม่กล้าเข้าไปสัมผัสสุ่มสี่สุ่มห้า
นางเงยหน้าขึ้นมองเหนือม่านแสง มองไปไม่เห็นขอบเขต ไม่รู้ว่าสูงมากเพียงใด ส่วนการรับรู้สำรวจลึกลงไปด้านล่าง เขตป้องกันก็ดิ่งลงไปถึงใต้ดิน ด้านบนขึ้นไปถึงท้องนภา ด้านล่างลงไปสุดผืนดิน ตัดขาดการไปมาหาสู่ของทั้งสองฝ่ายโดยสิ้นเชิง จินเฟยเหยาชื่นชมคนสีเทาเหล่านี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาทะลวงเขตป้องกันไปได้อย่างไร
“ตามข้ามา” เต๋อสี่มาถึงไหล่เขาที่อยู่ห่างจากเขตป้องกันระยะหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยพุ่มไม้อย่างชำนาญทาง เขาปล่อยการรับรู้ออกไปสำรวจดูรอบด้านก่อน อยากให้แน่ใจว่ารอบด้านไม่มีคนอยู่
คนสีเทาล้วนมีวิธีแอบข้ามไปของตนเอง ถ้าใครๆ ก็สามารถข้ามไปได้สบายๆ ผลประโยชน์มหาศาลคงไม่ตกมาถึงพวกเขา เพื่อรักษาผลประโยชน์และเส้นทางล่าถอยของตนเอง วิธีแอบข้ามไปของคนสีเทาแต่ละคนล้วนมีเพียงคนที่เกี่ยวข้องรู้
ปู้จื้อโหยวมองดูรอบด้าน แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “ทำไม เปลี่ยนสถานที่อีกแล้ว?”
“ใช่ ตั้งแต่จอมมารหลงหยิบยืมเส้นทางของคนสีเทากลับไปถึงโลกเผ่ามารเป็นต้นมา ตาเฒ่าที่ควบคุมม่านแสงเหล่านั้นก็เคียดแค้นคนสีเทา ก่อนหน้านี้เส้นทางหนึ่งสามารถใช้ได้ครึ่งปีถึงหนึ่งปี ตอนนี้อย่างมากสามเดือนก็ใช้ไม่ได้แล้ว เพิ่มความยุ่งยากให้แก่ข้าไม่น้อย โชคดีวิธีที่เจ้าให้ข้าครั้งที่แล้วไม่เลว ไม่เช่นนั้นตอนข้ากลับจากโลกเผ่ามารคงยุ่งแล้ว ล้วนเป็นเจ้าคนที่ปล่อยจอมมารหลงไปทำร้ายแท้ๆ น่าชังนัก!”
เต๋อสี่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ปู้จื้อโหยวมองจินเฟยเหยาแล้วเอ่ยรับ “พูดได้ถูกต้อง เป็นตัวหายนะโดยแท้” จินเฟยเหยาหันศีรษะไปเหลียวซ้ายแลขวา แสร้งเป็นไม่ได้ยินคำสนทนาของพวกเขา
ที่หน้าพุ่มไม้ เต๋อสี่นำกล่องเครื่องแต่งหน้าที่สตรีใช้ออกมาจากในตัว หลังเปิดด้านในมีกล่องและขวดเล็กๆ งดงามวางอยู่เต็มแต่ละชั้น ในกล่องยังมีพู่กันแต่งหน้าจำนวนมาก
ท่าทางต้องปลอมตัว…
จินเฟยเหยามองขวดเล็กๆ จำนวนมากเหล่านั้น สงสัยว่าด้านในมีอะไร หรือว่าสีผมของคนเผ่ามารนอกจากสีแดงเพลิง ยังมีสีอื่นๆ อีก? จอมมารหลงมีผมสีดำสนิททั้งศีรษะ ไม่เปลี่ยนสีผมก็น่าจะไม่เป็นไร
เต๋อสี่นำกรอบกระจกริ้วคลื่นขนาดใหญ่ออกมาวางไว้บนก้อนหินด้านข้าง หยิบพู่กันแต่งหน้าขึ้น เปิดขวดเล็กๆ ที่อวบอ้วนแตะสีเริ่มวาดบนใบหน้า
ในขวดเป็นน้ำผลไม้สีดำ ครู่หนึ่ง แก้มสองข้างของเต๋อสี่ก็ปรากฏลวดลาย หลังวาดบนใบหน้าเสร็จ เขาก็วาดลวดลายที่เหมือนกับบนใบหน้าลงบนแขนของตนเองอีก
“นี่คือลวดลายอะไร ใช้สำหรับบ่งบอกศักดิ์ฐานะหรือ?” จินเฟยเหยาย่อกายลงอย่างสงสัย มองดูลวดลายบนร่างของเต๋อสี่
เต๋อสี่ยังขาดอีกไม่กี่ขีดก็วาดเสร็จ หลังแตะน้ำผลไม้ในขวดเล็กน้อยอีกครั้งจึงเอ่ย “ลวดลายบนร่างของคนเผ่ามาร วาดลวดลายนี้ลงไปบวกกับใส่เขา ปกติจะไม่มีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด รอข้าวาดเสร็จ ข้าจะช่วยเจ้าย้อมสีผมและวาดลวดลายบนร่าง ข้าเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้พวกเจ้าสองคนโดยเฉพาะแล้ว”
“เพราะเหตุใดต้องย้อมผมด้วย? ข้าเคยเห็นคนเผ่ามารมีผมสีดำ เพียงแต่เปลี่ยนชุดติดเขาก็พอแล้ว” จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ มีผมสีดำชัดๆ ทำไมยังต้องย้อม
ได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ประหลาดใจ “เจ้าเคยเห็นชนชั้นสูงของเผ่ามาร? ร้ายกาจจริงๆ”
“ชนชั้นสูง?”
เต๋อสี่พยักหน้า “เส้นผมของคนเผ่ามารมีทั้งหมดห้าสี ทว่ามีเพียงชนชั้นสูงที่มีสีดำ คนเผ่ามารให้ความเคารพชนชั้นสูงอย่างยิ่ง ถ้าพวกเราแบกเส้นผมสีดำไปหาคนเผ่ามารจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เจ้าเข้าใจนะ ถึงตอนนั้นไปที่ใดก็จะมีกลุ่มคนเผ่ามารค้อมเอวก้มศีรษะอยู่ด้านหลัง ถึงจะไม่เลว ทว่าไม่ใช่ทุกคนจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเผ่ามาร ถ้าพวกเราปลอมตัวเป็นชนชั้นสูงแล้วไม่ระวังก็จะถูกคนจับได้ คนทำอาชีพอย่างพวกเรา ทำตัวธรรมดาไม่โดดเด่นจะดีกว่า”
“แบบนี้เอง ก็ได้ ย้อมสีแดงให้ข้าแล้วกัน ถ้าสีเขียวจะนึกว่าเทินชิงไถ[1]ไว้บนศีรษะ” จินเฟยเหยาได้แต่พยักหน้า
ระหว่างที่พูดคุยเต๋อสี่ก็วาดลวดลายเสร็จแล้ว รอน้ำผลไม้สีดำแห้ง เขาก็ยื่นมือไปเตรียมหยิบเขาบนหัวพั่งจื่อ
“ระวัง!” พอจินเฟยเหยาเห็นก็รีบเอ่ยเตือน
ทว่านางตะโกนช้าไปครึ่งจังหวะ มือของเต๋อสี่ที่เพิ่งสัมผัสหัวของพั่งจื่อ พั่งจื่อที่ดูโง่งมและสุภาพมาตลอดพลันเดือดดาล ใช้ขาหน้าตบหนักๆ ไปหลายทีในระยะประชิด เห็นเต๋อสี่ถูกตบลอยไปกลางอากาศ จากนั้นร่วงกระแทกพื้นกลิ้งออกไป
“พั่งจื่อ! นั่นเป็นเขาของคนอื่น เจ้าทุบตีคนทำไม” จินเฟยเหยาด่าทอแล้วพุ่งเข้าไป คิดจะนำเขากลับมา ใครจะรู้ว่าพั่งจื่อจะแสดงท่าทางพร้อมรบ บ่งบอกชัดเจนว่าไม่คิดจะคืนเขาให้ ต่อให้จินเฟยเหยาเข้ามาก็จะอัดนางเช่นกัน
“สหายเซียนจิน เกิดอะไรขึ้นกับสัตว์ภูติของเจ้า?” เต๋อสี่กุมใบหน้ามองนางอย่างงุนงง ใครจะคิดว่าพั่งจื่อจะลงมืออย่างกะทันหัน ทุกคนกินด้วยกันสนุกด้วยกันมาตลอดทาง เขายังโอบพั่งจื่อดื่มสุรากินเนื้อด้วยกันตั้งหลายครั้ง ดื่มสุราจนเมามายยังเคยหนุนพุงของพั่งจื่อนอนหลับ เหตุใดจึงเปลี่ยนท่าทีลงมืออย่างกะทันหัน
จินเฟยเหยาลูบศีรษะยิ้มขื่นอย่างขออภัย “สหายเซียนเต๋อ ขอโทษด้วย ดูเหมือนมันจะชอบเขาสองข้างนี้มาก จึงถือว่ามันเป็นเขาที่งอกตามธรรมชาติของตนเองแล้ว”
“แล้วจะทำอย่างไร! ข้ามีเพียงเขาคู่นี้ที่สมบูรณ์แบบ เขาคนเผ่ามารอื่นๆ ล้วนขาดหายหรือเหลือเพียงข้างเดียว” เต๋อสี่นิ่งอึ้ง ต่อมาจึงร้อนใจ
“ข้าคิดว่า…คนเผ่ามารน่าจะมีคนที่สู้กับเผ่ามนุษย์แล้วถูกฟันทิ้งไปเขาหนึ่งนะ” จินเฟยเหยากลอกตา เอ่ยอย่างเหนือความคาดหมาย
เต๋อสี่มองนาง เอ่ยชื่นชม “เจ้าหัวไวจริงๆ กลอกตาทีหนึ่งก็หาวิธีได้”
เต๋อสี่ทิ้งพั่งจื่อที่ยังแสดงท่าทีพร้อมรบไว้อย่างไม่สนใจ ค้นถุงที่ใส่เขาของคนเผ่ามารออกมา เททั้งหมดลงบนพื้น
จินเฟยเหยาเห็นบนพื้นมีเขาของคนเผ่ามารอย่างน้อยสุดสิบกว่าเขา จึงพยักหน้าเอ่ยชม “สหายเซียนเต๋อสมเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ผ่านมาร้อยศึกจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะสังหารคนเผ่ามารมากมายขนาดนี้”
เต๋อสี่ยุ่งอยู่กับการหยิบเขาที่ดูเหมาะสมกับตนเองออกมา จึงเอ่ยโดยไม่ได้เงยหน้า “ข้าเก็บมาทั้งนั้น ข้าทำอาชีพคนสีเทา ถ้าสังหารคนเผ่ามาร ข้ายังจะค้าขายได้หรือ คนทำการค้าอย่างพวกเราต้องสุภาพและเป็นกันเองกับผู้อื่น จะเที่ยวสังหารคนไปทั่วได้อย่างไร”
“คนเผ่ามารไม่ฝังศพหรือ? เหตุใดเจ้าจึงเก็บเขาได้มากมายปานนี้?” ฟังคำพูดของเขา จินเฟยเหยาก็มีสถานที่มืดมิดซึ่งมีกระดูกเกลื่อนพื้นปรากฏขึ้นในสมอง
ปู้จื้อโหยวนั่งใช้กิ่งไม้จิ้มพั่งจื่อเป็นครั้งคราวอยู่ด้านข้าง เอ่ยโดยไม่ต้องคิด “คนเผ่ามารมีธรรมเนียมว่า ถ้ามีคนที่ชอบ ให้นำเขาของตนเองลงมาข้างหนึ่งมอบให้คนผู้นั้น คนเผ่ามารบางคนหลังจากรับเขาไว้เกิดเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น ก็จะโยนเขาที่รับไว้ในอดีตทิ้งไป แต่พวกคนเผ่ามารงอกเขาใหม่ได้ ดังนั้นจึงไม่กลัวว่าจะเป็นคนเผ่ามารเขาเดียว”
“อ้อ” จินเฟยเหยาพยักหน้าตอบรับ “หมายความว่าถ้าข้าปลอมตัวเป็นคนเผ่ามารที่มีเขาเดียว ก็กลายเป็นสาวน้อยที่ลุ่มหลงในความรักซึ่งมีคนที่ชอบแล้วมอบเขาให้ข้างหนึ่ง แต่ท่านลุงคนนี้ก็มีเขาเดียว ถ้าถูกคนอื่นเข้าใจผิดว่าพวกเราสองคนรักกัน จากนั้นแลกเขากันจะทำอย่างไร?”
“นี่! เจ้าเรียกใครเป็นท่านลุง” เต๋อสี่ที่ใบหน้ามีหนวดเคราหรอมแหรมเงยหน้าขึ้นเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“อายุตั้งหลายสิบหลายร้อยปีกันแล้ว ยังมาสาวน้อยท่านลุงอะไร พูดออกมาได้ไม่อายปาก” ปู้จื้อโหยวหัวเราะอย่างเบิกบาน
“ไม่ได้ ข้าไม่เอาความเข้าใจผิดแบบนี้” จินเฟยเหยารีบวิ่งไปคุ้ยในกองเขา ค้นหาอยู่นานในที่สุดนางก็หาเขาที่ดูคล้ายกันพบ
“ข้าจะใช้เขาคู่นี้ เจ้าเลือกสวมเขาอันใหญ่อันเดียวก็พอ” นางวางเขาลงเบื้องหน้าเต๋อสี่ แล้วเอ่ยอย่างหนักแน่น
พอเต๋อสี่เห็น เขาข้างหนึ่งยาวตรงสีขาวเรียบลื่น อีกข้างหนึ่งเป็นเขาโง้งสีขาว เขาสองอันมีแค่สีที่คล้ายกันเท่านั้น “นี่ไม่เหมือนกันเลยสักนิด จะสวมอย่างไร เด็กเผ่ามารอายุหนึ่งขวบก็ดูออกว่าเจ้าปลอมตัว”
“ดูข้านะ!” จินเฟยเหยาดึงแขนเสื้อ หยิบก้อนหินมาทุบเขาที่ตรง เขาตรงอันนั้นถูกนางทุบหัก เหลือเพียงท่อนล่างที่ยาวไม่ถึงหนึ่งนิ้วมือ
“เสร็จแล้ว ที่เจ้าปลอมตัวคือท่านลุงที่หลงรักสาวน้อยจึงมอบเขาให้ ข้าเป็นเด็กสาวน่าสงสารที่เขาหักและหนีรอดมาจากเงื้อมมือผู้บำเพ็ญเซียนเดรัจฉานเผ่ามนุษย์ เสี่ยวปู้ล่ะ เจ้าต้องการเขาแบบใด? เจ้าก็เป็นคุณลุงที่มอบเขาให้ด้วยดีหรือไม่?” จินเฟยเหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้มแฉ่ง
เต๋อสี่มองเขาที่ถูกทุบเสียหายอย่างหมดวาจา ในใจคิดว่ามีวิธีนี้ด้วย ถ้าเขาผุพัง ดูแล้วยากจน คนเผ่ามารเรียกขอทาน ต่อให้พบคนสีเทาคนอื่นๆ ไม่ต้องแสดงฐานะ ผู้อื่นก็คร้านจะปล้นชิง
ปู้จื้อโหยวกลับแย้มยิ้มแล้วโบกไม้โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ข้าเตรียมมาเอง พวกเจ้าเปลี่ยนชุดวาดลวดลายก่อน ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวมา”
เอ่ยจบเขาก็เดินเข้าดงไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก ไม่รู้ว่าจะทำอะไร
“ทำอะไรลึกลับ หรือว่าเขากลัวการเปิดเผยต้นแขนต่อหน้าผู้อื่น?” จินเฟยเหยาให้เต๋อสี่ที่ติดเขาเสร็จแล้วย้อมผมพลางมองไปทางดงไม้อย่างสงสัย
เต๋อสี่ย้อมผมให้นางพลางเอ่ยว่า “เจ้าหมอนี่ไปโลกเผ่ามารเอง ข้าก็เพิ่งเคยไปกับเขาเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าเขาจะย้อมผมสีอะไร แต่เปียเล็กๆ เต็มศีรษะของเขา ข้าไม่อยากช่วยเขาแก้ออกย้อมสีทีละเส้น”
ย้อมผมสีแดงเสร็จ เต๋อสี่จึงช่วยวาดลวดลายบนร่างของสตรีเผ่ามารบนแขนของจินเฟยเหยา เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้นัก ได้แต่อาศัยความทรงจำที่เคยเห็นวาดได้คล้ายเพียงแปดส่วน
“พวกเจ้าสองคนช้าจริง ตอนนี้ยังเตรียมตัวไม่เสร็จอีก” ยามนี้ปู้จื้อโหยวเดินออกมาจากดงไม้เห็นพวกเขาสองคนยังไม่เสร็จ จึงเอ่ยยิ้มๆ
พอเต๋อสี่เงยหน้าขึ้นเห็นลักษณะของเขา ก็ด่าทอทันที “รูปลักษณ์อะไรของเจ้า คิดจะทำร้ายพวกเราให้ตายหรือ!”
………………………………….
[1] ชิงไถ คือ มอส