บทที่ 125 นางเอาเสื้อของข้าไป
บทที่ 125 นางเอาเสื้อของข้าไป
ลู่อี้ออกมาจากหอบันทึกคดีความ แล้วกลับไปยังที่ของตน
เขากำลังจะเขียนบันทึกคดีต่อ ทว่าหางตากลับเห็นว่าที่ที่เขาวางของไว้กลับว่างเปล่า ชายหนุ่มจึงหันไปด้านข้าง
“ของของข้าเล่า?”
“สิ่งใดหรือ?” เวินเหวินซงที่เพิ่งกลับมาพอดีถามพลางนั่งลงตรงข้ามเขา
“เมื่อครู่ข้าวางของไว้ตรงนี้ ตอนนี้มันหายไปแล้ว” ลู่อี้กล่าว “มีใครเข้ามา?”
“ไม่รู้สิ ข้าก็เพิ่งกลับมาเช่นกัน” เวินเหวินซงจึงถามคนอื่น ๆ ว่า “พวกท่านเห็นของลู่อี้หรือไม่?”
เสมียนคนอื่น ๆ กล่าวว่าเมื่อครู่นี้พวกเขาก็ไม่อยู่เช่นกัน
ถังซานอวี่ปิดปากเงียบ ลู่อี้จึงมองถังซานอวี่ด้วยสายตาเชือดเฉือน
ถังซานอวี่ไม่อยากพูดจากับอีกฝ่าย เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่าลู่อี้กำลังสงสัยตนเอง น้ำเสียงจึงไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “มองอะไร? ข้าไม่ได้เอาไป”
“แต่เจ้ารู้ว่าใครเอาไป” ลู่อี้เอ่ย น้ำเสียงหนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีถังซานอวี่ไม่คิดจะสนใจ แต่เมื่อเขานึกบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาเขาก็พลันปรากฏความมุ่งร้าย
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ฮูหยินเฉินมาหาเจ้า นางจะหยิบสิ่งใดไปหรือไม่นั้น ข้าไม่รู้ ตอนนั้นข้าก็ไม่อยู่เช่นกัน”
สายตาที่ทุกคนมองลู่อี้เปลี่ยนไปฉับพลัน
เมื่อไม่นานมานี้หญิงม่ายเฉินมักมาหาลู่อี้อยู่เนือง ๆ พวกเขาเห็นกับตา ถึงจะเป็นเรื่องส่วนตัวของลู่อี้ ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น แต่นั่นก็เป็นน้องสาวของเฉินเซียนเฉิง หากลู่อี้เกาะขาของนางเอาไว้ ย่อมมีผลต่อการเลื่อนตำแหน่ง
ศาลาว่าการมีเสมียนมากกว่าหนึ่งร้อยคนประจำอยู่ในหกกรม หากไม่รวมถึงผู้ที่มีผลงานดีเยี่ยม ทุกคนล้วนตรากตรำทำงานอย่างหนักหน่วง ทว่าลู่อี้กลับอาศัยบันไดไต่ขึ้นไป จะไม่ทำให้ผู้อื่นริษยาได้อย่างไร?
เฉินเซียนเฉิงกำลังจัดการเอกสารของทางการ จู่ ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาข้างหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นน้องสาวผู้ที่ไม่เคยให้ผู้อื่นหมดห่วง หัวก็พลันปวดตุบ ๆ ขึ้นมาทันที
“ข้าไม่มีเงินใช้แล้ว ท่านพี่” เฉินชุนอวี่เอ่ยอย่างออดอ้อน “ให้เงินข้าสักหน่อยเถอะนะ”
“ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้เจ้าเพิ่งให้เจ้ามาหรือ?”
“นั่นมากเพียงใดกันเชียว? หนึ่งตำลึงเงินจะทำอะไรได้?” เฉินชุนอวี่ไม่พอใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ตระหนี่ปานนั้น ท่านพี่ ท่านให้ข้าเพิ่มสักนิดเถอะ ข้ารู้ว่าท่านมีเงินเก็บ”
“วัน ๆ คิดจะเอาแต่เงิน ยังไม่รู้จักประพฤติตนให้ดี ๆ” เฉินเซียนเฉิงเอ่ยด้วยความไม่พอใจ ทว่ายังคงนำถุงเงินออกมา
เฉินชุนอวี่คว้ามาทันที จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าก็นับว่าทำตัวดี ๆ แล้ว! ข้ายังเยาว์วัยเช่นนี้ จะให้ข้าเป็นม่ายไปทั้งชีวิตหรือ? ข้าไม่อยากเป็นเช่นนั้น!”
“กล่าวถึงเรื่องนี้ เหตุใดข้าจึงได้ยินว่าเจ้าไปเกี่ยวข้องกับเสมียนลู่? เสมียนลู่ผู้นั้นมีภรรยามีลูกแล้ว เจ้าอย่าได้เลอะเลือนเชียว”
“มีภรรยามีลูกแล้วอย่างไร? เขาไม่ได้ยินยอมพร้อมใจแต่งกับหญิงผู้นั้น เป็นหญิงคนนั้นต่างหากที่ใช้อุบายกับเขา วางยาเขา ด้วยเหตุนี้จึงต้องแต่งงาน ข้าได้ยินมาว่าหลายปีมานี้พวกเขาไม่ลงรอยกันมาโดยตลอด”
เฉินเซียนเฉิงขมวดคิ้ว “เจ้าได้ยินมาจากที่ใด?”
“เสื้อผ้าบนร่างกายของข้าคือหลักฐาน!” เฉินชุนอวี่หมุนตัวไปมา “งามหรือไม่? ลู่อี้ให้ข้ามา”
“ลู่อี้ให้เจ้างั้นหรือ?” เฉินเซียนเฉิงสงสัยขึ้นมา
ถึงแม้ว่าตนจะไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับลู่อี้ แต่ก็พอจะมองออกว่าเจ้าตัวมักทำทุกสิ่งด้วยความใจเย็น นายอำเภอฉินให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก จึงย่อมไม่ใช่คนกระทำอะไรไม่คิดเช่นนี้
“ใช่” เฉินชุนอวี่เอ่ยขึ้น “งามหรือไม่! ท่านพี่ พวกเรารักใคร่ชอบพอกัน หญิงผู้นั้นแค่เอาไว้บังหน้า เหตุใดจึงจะไม่ให้น้องสาวท่านตามหารักแท้เล่า?”
เฉินเซียนเฉิงหาคำพูดมาปฏิเสธไม่ได้ไปชั่วขณะ
บิดามารดาของเขาจากไปเร็ว น้องสาวคนนี้เป็นเขาที่เลี้ยงมากับมือ ย่อมมีสายสัมพันธ์ที่พิเศษ เขาจึงตามใจนางเป็นอย่างมาก
“คารวะท่านเซียนเฉิง” ลู่อี้เดินเข้ามา ประสานมือทักทายเฉินเซียนเฉิง สายตาของเขาเลื่อนไปหยุดลงที่เฉินชุนอวี่ ความไม่พอใจวาบผ่านแววตา
เฉินเซียนเฉิงมองลู่อี้ พบว่าเขากำลังจ้องมองน้องสาวของตน จึงเริ่มรู้สึกเชื่อคำพูดของน้องสาวขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
หรือพวกเขาทั้งสองคนจะรักลึกซึ้งต่อกันจริง ๆ?
หากเป็นอย่างที่กล่าว ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“เสมียนลู่มีเรื่องอะไรรึ?”
“ข้ามีบางสิ่งจะกล่าวกับฮูหยินเฉิน” ลู่อี้เอ่ยจบก็ถามเฉินชุนอวี่ต่อหน้าเฉินเซียนเฉิง “ฮูหยินเฉิน เสื้อผ้าบนตัวของท่านมาจากข้าหรือ?”
ความรู้สึกผิดแวบผ่านแววตาของเฉินชุนอวี่
เฉินเซียนเฉิงขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร? ท่านให้นางมาไม่ใช่หรือ?”
“ท่านเซียนเฉิง ข้าน้อยเป็นคนมีลูกมีภรรยาแล้ว จะให้สิ่งของเช่นเสื้อผ้ากับหญิงอื่นได้อย่างไร?” ลู่อี้กล่าวต่อไปว่า “เสื้อผ้าชุดนี้เป็นข้าน้อยซื้อให้ภรรยา ในตอนที่จัดการงานเสร็จสิ้น ข้าน้อยก็พบว่ามันหายไปแล้ว หลังจากสอบถามคนจึงพบว่าฮูหยินเฉินเข้าไปในห้อง ข้าจึงอยากถามฮูหยินเฉินว่าเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนหรือ ถึงได้เอาเสื้อผ้าของภรรยาข้าไปเปลี่ยน”
“เสื้อผ้าชุดนี้ท่านซื้อให้หญิงบ้านนอกผู้นั้นหรือ?” เฉินชุนอวี่จ้องมองไปยังลู่อี้ “อะไรกัน คนอย่างนางคู่ควรกับเสื้อผ้าสวยงามเช่นนี้หรือ?”
“ฮูหยินโปรดระมัดระวังการพูดจา ถึงแม้ภรรยาข้าจะเป็นหญิงสาวชนบท แต่นางคู่ควรกับเสื้อผ้าสวย ๆ แน่นอน” ลู่อี้เอ่ยอย่างจริงจังต่อหน้าเฉินเซียนเฉิง “ข้าขอกล่าวต่อหน้าท่านเฉินเซียนเฉิง ข้ามีภรรยามีลูกแล้ว ฮูหยินอย่าได้ตามก่อกวนข้าอีก หากทำเช่นนี้จะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของทุกคน”
“ข้าไม่ได้…”
“เฉินชุนอวี่!!” เฉินเซียนเฉิงมีสีหน้าถมึงถึง
เฉินชุนอวี่ได้ยินน้ำเสียงโกรธจัดของพี่ชายจึงเงียบเสียงลงทันที
หลายปีมานี้ท่านพี่เป็นทั้งท่านพ่อและเป็นทั้งท่านแม่ คอยชุบเลี้ยงนางมาจนโต ถึงแม้จะตามใจนาง แต่เมื่อเขาโกรธขึ้นมา เขาย่อมไม่ปล่อยนางไปอย่างง่ายดาย
“เด็กคนนี้สร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว” เฉินเซียนเฉิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “วางใจเถอะ เสื้อผ้านี้ข้าจะคืนให้เจ้า”
“ไม่จำเป็นขอรับ” ลู่อี้พูดขึ้นมา “ฮูหยินเฉินสวมเสื้อผ้าชุดนี้แล้ว หากภรรยาของข้านำไปใส่ต่อคงจะไม่เหมาะ ถือว่าข้าขายให้ท่าน”
ถึงจะเอ่ยว่าขาย ลู่อี้กลับไม่ได้กล่าวถึงเงิน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการยกให้
ทว่าไม่ใช่ยกให้ฮูหยินเฉินผู้นั้น แต่ให้เฉินเซียนเฉิง
“ข้าจะไม่ให้เงินเจ้าได้อย่างไร?” เฉินเซียนเฉิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น “เฉินชุนอวี่ เอาถุงเงินมาให้ข้า”
“ท่านพี่…”
“เอามาให้ข้า!”
เฉินชุนอวี่ส่งถุงเงินให้อย่างไม่ยินดี
เฉินเซียนเฉิงนำเงินออกมาสองเหรียญแล้วโยนลงไปบนโต๊ะ “รับไว้เถอะ!”
ลู่อี้ประสานมืออีกครั้ง ก่อนจะรับเงินมาหนึ่งเหรียญ “ชุดนี้มีราคาเพียงหนึ่งตำลึงเงิน หากท่านเซียนเฉิงไม่มีคำสั่งใดอีก ข้าน้อยขอตัว”
“ไปเถิด” เฉินเซียนเฉิงไม่อยากเห็นอีกฝ่ายอีกแล้ว
ถึงแม้จะเป็นน้องสาวของเขาที่เสียมารยาท แต่ครั้นเห็นน้องสาวของตนถูกรังเกียจเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
ลู่อี้เดินออกมาพร้อมเสียงออดอ้อนของเฉินชุนอวี่ที่พูดคุยกับเฉินเซียนเฉิงตามมาด้านหลัง เฉินเซียนเฉิงตักเตือนนางอยู่สักพัก ทั้งยังเอ่ยกับนางว่าไม่อนุญาตให้พบกับลู่อี้อีก
ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วพลางกล่าวในใจว่า ‘หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ย่อมประเสริฐแล้ว’
“เป็นอย่างไร เสมียนลู่?” เวินเหวินซงเอนตัวเข้ามาถาม
“เสื้อผ้าของฮูหยินเปรอะเปื้อน ท่านเฉินเซียนเฉิงรู้ว่าข้าเพิ่งซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่มา เขาเลยส่งคนมาเอาไปใช้ เมื่อครู่ก็ได้จ่ายข้ามาแล้ว” ลู่อี้บอก
“เช่นนั้นก็ยังดี” เวินเหวินซงเอ่ยขึ้นมา “ขอแค่เพียงไม่หายไปก็พอ”
“หายไปก็ยังดี เกรงแต่ว่าจะเป็น…” ถังซานอวี่เอ่ยอย่างลึกลับ “อุบายของเสมียนลู่ช่างยอดเยี่ยม ที่บ้านมีภรรยายังสาวยังสวยอยู่แล้วทั้งคน แล้วนี่ยังมีหญิงงามอีก ช่างเป็นการตบหน้าพวกเราจริง ๆ!”
“เสมียนถังชอบพูดเช่นนี้ มิสู้ไปพูดที่ห้องทรมานในคุกเล่า?” ลู่อี้เอ่ยอย่างเยือกเย็น “ข้าเพิ่งจับโจรผู้หนึ่งได้ ที่นั่นยังขาดผู้มีฝีปากเช่นเสมียนถังไปไต่สวน”