บทที่ 1 ทะลุมิติกลายมาเป็นภรรยา
บทที่ 1 ทะลุมิติกลายมาเป็นภรรยา
ในห้องที่เต็มไปคราบกระดำกระด่าง ปรากฏร่างผู้หญิงผมเผ้ารุงรังใบหน้ามอมแมมคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ขาถูกซ่อมแซมแล้ว เสื้อผ้าบนร่างกายเต็มไปด้วยรอยปะซ่อม ทั่วทั้งร่างย้อมไปด้วยความโศกเศร้า แลดูเข้ากับบ้านไม้ที่ชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างยิ่ง
แมงมุมตัวหนึ่งไต่ลงมาจากใยแมงมุมไปที่ศีรษะของหญิงผู้นั้น สัมผัสยุกยิกบนหัว ทำให้นางต้องปัดป่ายศีรษะตนเอง แมงมุมตัวนั้นจึงปลิวออกไป
“เฮ้อ!” มือข้างหนึ่งลูบแก้ม อีกข้างหนึ่งลูบเอวอวบอ้วน เพียงเท่านั้นสีหน้าเศร้าหมองก็ฉายขึ้นบนใบหน้าที่แน่นหนัดไปด้วยเนื้อ
“ทะลุมิติก็ทะลุมิติสิ แต่ทําไมถึงต้องทะลุมาอยู่ในร่างนี้ด้วย?”
ไม่ผิดหรอก มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาแล้ว!
ในฐานะนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เพิ่งจะสมัครงานในบริษัทที่ติดอันดับห้าร้อยของโลก อดหลับอดนอนตั้งหน้าตั้งตาเพื่อรีบออกแบบในช่วงฝึกงาน แต่พอตื่นขึ้นมาก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแพะรับบาปแล้ว
มู่ซืออวี่ ตัวประกอบพลีชีพที่มีชื่อมีแซ่เดียวกันกับตัวเองนี้ก็คือภรรยาของตัวร้ายอายุสั้นในนิยายต้นฉบับ
“นังอ้วน เจ้าไสหัวออกมานะ!”
เสียงที่ตะโกนด่าอย่างดุเดือดจากด้านนอกสะท้อนเข้ามาขัดจังหวะความคิดของมู่ซืออวี่
เพิ่งจะทะลุมิติมารับช่วงต่อจากร่างนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี สักพักถึงเพิ่งจะตอบสนองขึ้นมาได้ว่า ‘นังอ้วน’ นี้หมายถึงตน
หญิงเจ้าของชื่อลากร่างใหญ่เทอะทะออกไปข้างนอก เพิ่งเดินมาถึงประตู เท้าก็เสียหลักชนเข้ากับประตูแล้ว
ประตูส่งเสียงดังเอี๊ยด ๆ ก่อนจะดัง ‘ปัง’ แล้วล้มกระแทกพื้น
“…”
มู่ซืออวี่ถึงกับมุมปากกระตุก อดไม่ได้ที่จะสบถคำหยาบ จากนั้นก็เดินออกไปดูว่าผู้หญิงที่ทักทายบรรพบุรุษของตนสิบแปดชั่วโคตรในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นเป็นใคร
แต่ก็เห็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมผ้าป่านเนื้อหยาบยืนอยู่นอกรั้ว
หญิงสาวคนนั้นจับเด็กสองคนเอาไว้ เด็กสองคนดิ้นเร่าอยู่ในมือของนางพลางร้องว่า “ปล่อยข้า!”
“นังหมูอ้วน! เด็กต่ำช้าสองคนนี้ถอนต้นกล้าที่ครอบครัวข้าเพิ่งปลูกไปมากิน เจ้าว่ามาซิ จะทำอย่างไร?!“
ขณะที่พูด มือก็หยิกลงที่เนื้อบนร่างกายของพวกเด็ก ๆ ไปด้วย
“ให้กำเนิดเด็กต่ำช้าแต่ไม่สั่งสอน ถึงได้ปล่อยให้มาขโมยของบ้านข้า”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับน้องสาวข้า! ข้าเป็นคนทําเอง มาลงที่ข้าสิ อย่าตีน้องข้า!”
เด็กชายพูดจบก็ผลักหญิงสาวแล้วออกไปขวางอยู่หน้าน้องสาวที่ตัวเตี้ยกว่าด้วยดวงตาแดงก่ำ
ครั้นเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นยังไม่ยอมปล่อยมือ เด็กชายจึงบอกให้นางมาลงที่ตนเอง พอเห็นว่านางอยากจะหยิกเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังร้องไห้แทบขาดใจ เด็กชายก็รีบพุ่งไปกัดหญิงสาวอย่างแรง
“อ๊ะ!” หญิงสาวร้องลั่น ก่อนจะฟาดมือลงบนใบหน้าของเด็กชาย และเตะเด็กหญิงตัวน้อยในเวลาเดียวกัน
เด็กหญิงตัวน้อยล้มโครมลงบนพื้นก่อนจะหมดสติไป
“หยุดนะ!” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก มู่ซืออวี่ห้ามไว้ไม่ทัน ได้แต่ตะลึงงันมองดูผู้หญิงคนนั้นรังแกเด็กทั้งสองคน “มีอะไรก็พูดดี ๆ ไม่ได้หรือ? พวกเขายังเด็กอยู่เลย ลงมือกับเด็กต้องโหดร้ายขนาดนี้เลยหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไม่เพียงแต่หญิงสาวจะใช้สายตามองมาอย่างเย้ยหยันเท่านั้น ทว่าเด็กชายตัวน้อยก็เผยท่าทีเย็นชาเช่นกัน
“นังอ้วน! เจ้าพูดเช่นนี้ไม่รู้สึกว่าน่าขันไปหน่อยรึ? พูดถึงความโหดร้ายแล้ว ใครก็สู้เจ้าไม่ได้หรอกกระมัง? ครั้งก่อนเด็กคนนี้ถูกเจ้าตีจนเหลือแต่ลมหายใจ หากไม่โชคดีก็คงตายไปนานแล้ว พวกเรายังสงสัยว่าเขาไม่ใช่คนที่เจ้าคลอดออกมา แต่เป็นศัตรูของเจ้ามากกว่า ตอนนี้เจ้ากลับเสแสร้งเป็นแม่รักลูกอะไรกัน น่าขันจริง ๆ”
มู่ซืออวี่หยุดชะงักไปชั่วครู่ สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของเด็กชายตัวน้อยตรงหน้า ในหัวก้องไปด้วยคำว่า ‘เจ้าคลอดออกมา’ ‘เจ้าคลอดออกมา’ ทันใดนั้นก็รีบพินิจมองสองพี่น้องคู่นี้ทันที
ฝาแฝดที่เกิดจากเจ้าของร่างเดิม คนหนึ่งชื่อลู่ฉาวอวี่ อีกคนหนึ่งชื่อลู่จื่ออวิ๋น
นางได้แต่ปวดเศียรเวียนเหล้าขึ้นมาทันที
เอาเถอะ ก่อนอื่นต้องรีบไล่ผู้หญิงตรงหน้านี้ออกไปก่อนแล้วค่อยมาสนใจ
มู่ซืออวี่เปิดประตูรั้วเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นทันที
“…”
“เจ้าจะทําอะไร?” หญิงสาวมองมู่ซืออวี่ที่ตรงปรี่เข้ามา ร่างกายใหญ่โตนั้นทำให้นางรู้สึกกดดัน โดยเฉพาะสีหน้าท่าทางที่แสดงออกมาอย่างเย็นชาของมู่ซืออวี่ในยามนี้ ราวกับว่าเจ้าตัวอยากจะลงมือกับนางเต็มที “ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องข้า ข้าจะ…”
มู่ซืออวี่จับข้อมือของอีกฝ่ายด้วยท่าทางข่มขู่
“เจ็บ! เจ็บ!…” หญิงสาวตะโกน มืออีกข้างหนึ่งพยายามง้างนิ้วหนา ๆ ของมู่ซืออวี่ออก “ปล่อยนะ! เจ้าทำให้ข้าเจ็บ”
มู่ซืออวี่ออกแรงเหวี่ยงหญิงสาวคนนั้นออกไป แล้วคว้าตัวลู่ฉาวอวี่มาจากอีกฝ่าย
“เจ้าเป็นผู้ใหญ่ยังรู้ว่าการบีบแบบนี้เจ็บ แล้วเด็กน้อยสองคนนี้เล่า”
มู่ซืออวี่พูดจบก็ปล่อยมือจากลู่ฉาวอวี่แล้วพูดกับเขาว่า “เจ้าไปดูน้องสาวก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ลู่ฉาวอวี่ใช้สายตามองนางราวกับเห็นคนแปลกหน้า
ไม่ได้ดุด่าเขา ไม่ได้ทุบตีเขา แต่กลับช่วยเหลือเขาจากเงื้อมมือของหวังซื่อ คิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?
ลู่ฉาวอวี่ไม่มีเวลาคิดอะไรมาก เขานั่งยอง ๆ ลงแล้วเขย่าร่างกายของลู่จื่ออวิ๋น “น้องสาว เจ้าตื่นสิ….”
หวังซื่อคลึงข้อมือตัวเองพลางชำเลืองมองมู่ซืออวี่อย่างระแวดระวัง “นังอ้วน! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ หากเจ้ากล้าทําอะไรวุ่นวายขึ้นมา สามีของข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าเด็กสองคนนี้ถอนต้นกล้าที่เจ้าปลูกใหม่ใช่หรือไม่? แล้วถอนไปเท่าไหร่?” มู่ซืออวี่ไม่ได้สนใจคำพูดที่ไม่รื่นหูเหล่านั้น นางเจรจากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชา
“ประมาณสามสิบสี่สิบต้น” หวังซื่อพูดพลางเอามือเท้าเอว “ข้าปลูกอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกเด็กต่ำช้าที่เจ้าคลอดออกมาสองคนนี้ถอนจนหมดเกลี้ยงไปแล้ว เจ้าจะชดใช้อย่างไร?”
“พวกเจ้าถอนต้นกล้าของนางหรือ?” มู่ซืออวี่หันไปถามลู่ฉาวอวี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ น้องสาว
เด็กชายตัวน้อยจ้องมองนางอย่างขุ่นข้องใจ สายตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง “อยากลงก็มาลงที่ข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับน้องสาวข้า”
ยังคงเป็นประโยคเดิม เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ไว้ใจมู่ซืออวี่เช่นกัน
มู่ซืออวี่พอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดลู่ฉาวอวี่จึงไม่ไว้ใจ ‘แม่’ คนนี้ นั่นเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมทำร้ายพวกเขาไว้ไม่น้อย หากยังเชื่อใจสิถึงจะแปลก เพียงแต่ตอนนี้ได้ตนใช้ร่างมู่ซืออวี่คนเดิมอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนี้ย่อมอัดอั้นใจยิ่งนัก
“ได้ยินหรือไม่ พวกเขาทํา” หญิงสาวยืดอกอย่างลำพองใจ “มีแม่ให้กำเนิดแต่ไม่มีพ่อ…”
“เจ้าลองด่าอีกสักคำสิ!” มู่ซืออวี่เอ่ยพร้อมสีหน้าครึ้มทะมึน สายตาเหลือบมองนางอย่างเย็นชา “หากข้าได้ยินคําด่าทอพวกเขาจากปากของเจ้าอีก ข้าจะทําให้ปากเหม็น ๆ ของเจ้าเหม็นสาบกว่านี้ จะลองดูก็ได้”
“พวกเขาขโมยของของข้าไป ยังจะไม่ยอมให้ข้าด่าอีกรึ? ไม่อยากโดนด่าก็อย่าทําเรื่องหน้าไม่อายสิ” หญิงสาวถูกมู่ซืออวี่ทำให้ตกใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองมีเหตุผล จึงพูดออกไปอย่างไม่เกรงใจ
“พวกเขาถอนต้นกล้าผักของครอบครัวพวกเจ้า นี่เป็นความผิดของเขา ข้าขอโทษแทนพวกเขา ถอนของเจ้าสี่สิบต้น ข้าคืนให้เจ้าสี่สิบต้นก็พอแล้ว แต่เจ้าทําร้ายพวกเขา โดยเฉพาะอวิ๋นเอ๋อร์ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติ ไม่รู้ว่าบาดเจ็บไปถึงไหน เจ้าต้องไปเชิญหมอมาตรวจให้นาง ไม่อย่างนั้น…” มู่ซืออวี่คว้าข้อมือหวังซื่ออีกครั้งแล้วกำไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“อ๊ะ!” สีหน้าของหวังซื่อเปลี่ยนไปทันที “เจ็บ…”
ครั้งนี้มู่ซืออวี่ใช้แรงมากกว่าก่อนหน้านี้ หวังซื่อจึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้หญิงอ้วนคนนี้ได้เบาแรงไว้แล้ว
“เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพวกเขาเป็นขโมย สมควรแล้วที่จะโดนตีโดนด่า แล้วยังคิดอยากให้ข้าเชิญหมอมาอีก อย่า!… อ๊าก! เจ็บ! นังอ้วน ปล่อยข้านะ”
“จะเชิญหรือไม่เชิญหมอ?” มู่ซืออวี่ออกแรงอีกครั้ง
“ข้าเชิญ ข้าเชิญแล้ว!” หวังซื่อเจ็บจนมีสีหน้าย่ำแย่ “เจ้าปล่อยข้าเถอะ”
มู่ซืออวี่จึงปล่อยมืออีกฝ่าย
ครั้นปล่อยมือออก หวังซื่อก็วิ่งหนีไปไกลอย่างรวดเร็ว พลางด่าทอมู่ซืออวี่ว่า “อยากให้ข้าเชิญหมอรึ? ฝันกลางวันเถอะ! เด็กต่ำช้าที่เกิดมาเป็นขโมย ไม่หักมือเขาก็นับว่าเกรงใจแล้ว ถุย! หน้าไม่อาย!”
มู่ซืออวี่โกรธจัด คิดจะไล่ตามไปเถียง แต่กลับได้ยินเสียงเรียกของลู่ฉาวอวี่เอ่ยออกมาพร้อมเสียงร้องไห้เสียก่อน “น้องสาว เจ้าเป็นอะไรไป? อย่าทำให้ข้ากลัวสิ เจ้ารีบตื่นเร็วเข้า น้องสาว…”
ภาพของเด็กหญิงตัวน้อยที่กระอักเลือดนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงลู่ฉาวอวี่ที่อายุเพียงแค่ห้าหนาวว่าจะกลัวมากแค่ไหน เพราะแม้แต่มู่ซืออวี่ก็ยังตกใจกลัว
“ถอยออกไปก่อน” ว่าแล้วมู่ซืออวี่ก็นั่งยอง ๆ ลง หมายจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา
ลู่ฉาวอวี่กอดลู่จื่ออวิ๋นไว้แน่น จ้องมองหญิงตรงหน้าเหมือนหมาป่าตัวน้อยที่กำลังโกรธแค้น “จะทำอะไรน้องสาวข้า?”