บทที่ 18 ขึ้นมา ข้าจะแบกเจ้าเอง
บทที่ 18 ขึ้นมา ข้าจะแบกเจ้าเอง
ตกกลางคืน มู่ซืออวี่นั่งอยู่ที่พื้นหญ้าพลางเงยหน้ามองดูดาวบนฟ้า
นางสงสัยขึ้นมาว่ามีดาวดวงไหนที่เหมือนกับบ้านของนางบ้าง
ทุกอย่างที่นี่แปลกไปเสียหมด แต่เมื่อต้องมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางแทบไม่มีเวลาให้ได้ปรับตัว จำเป็นต้องรวมตัวเองเข้ากับความทรงจำของคนอื่นเพื่อดำเนินชีวิตให้ราบรื่นเช่นนี้ต่อไปให้ได้
ลู่จื่ออวิ๋นดึงแขนเสื้อลู่ฉาวอวี่จากด้านข้างก่อนจะเอ่ยเสียงหวาน “ท่านพี่ ท่านแม่ดูเหงามาก ไปเล่นกับนางกันเถอะเจ้าค่ะ”
ลู่ฉาวอวี่ตอบนิ่ง ๆ “ไม่ล่ะ”
“อาหารที่นางทำอร่อยมาก แล้ววันนี้นางก็ไม่ได้ดุด่าหรือทุบตีเรา บางทีนางอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้” เด็กน้อยเขย่าแขนพี่ชาย
ลู่ฉาวอวี่ดึงแขนตัวเองกลับมาแล้วเดินหลบไปที่ห้องของตัวเองอย่างเย็นชา
ลู่จื่ออวิ๋นหน้ามุ่ย รู้สึกเสียใจมาก เด็กน้อยหันหน้าไปทางมู่ซืออวี่ ในที่สุดก็ค่อย ๆ ก้าวออกไปช้า ๆ แล้วดึงชายเสื้อของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
มู่ซืออวี่ที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด เมื่อรู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ด้านหลังก็หันกลับไปมอง
“เสี่ยวอวิ๋น” นางคลี่ยิ้มจาง ๆ “เหตุใดยังไม่นอนอีก?”
“ท่านกำลังทำอะไรอยู่เจ้าคะ?” แม้ว่าลู่จื่ออวิ๋นจะยังเล็กนัก แต่เด็กหญิงกลับเต็มไปด้วยความกังวล ทั้งนี้เพราะเจ้าของร่างเดิมเคยทุบตีนางไว้มากจนไม่กล้าสบตาหญิงสาวโดยตรง
“ดูดาวพวกนี้สิ” มู่ซืออวี่ชี้ไปที่ดวงดาวบนฟ้า
ค่ำคืนมืดมิดเหมาะแก่การอำพรางตัว ในเวลานี้หญิงสาวจึงคลายบทร้ายที่เล่นอยู่ เวลานี้นางต่างจากตอนกลางวัน ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่มองไปยังเด็กน้อยนั้นแปรเปลี่ยนเป็นตัวนางเองเสียมากกว่า
“ดวงดาวมีอะไรหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ
มู่ซืออวี่ไม่ต้องการให้ร่างเล็กเปียกน้ำค้างบนใบหญ้า จึงอุ้มเด็กน้อยขึ้นมานั่งบนตัก
แม้ว่าลู่จื่ออวิ๋นจะรู้สึกไม่คุ้นเคย แต่นี่ก็เป็นอ้อมแขนที่แสนอบอุ่น ทั้งยังมีกลิ่นหอม ๆ ที่ทำให้รู้สึกสบายใจอีกด้วย
“ดาวสวยจัง ดูดวงนั้นสิ รู้หรือไม่ว่ามันคือดาวอะไร นั่นดาวประจำรุ่งล่ะ”
ลู่ฉาวอวี่มองทั้งคู่จากทางหน้าต่าง มู่ซืออวี่กำลังกอดน้องสาวเขาเอาไว้พลางชี้ไปที่ท้องฟ้า ดูเหมือนกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่
แม้เด็กน้อยจะถามถึงสิ่งที่สนใจขึ้นมาเป็นครั้งคราว แต่มู่ซืออวี่ก็เอ่ยตอบอย่างไม่ได้มีท่าทีรำคาญใจ
มู่ซืออวี่พูดอยู่พักหนึ่ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับมาจากเด็กน้อยในอ้อมแขน เมื่อมองลงไปก็พบว่าเจ้าตัวซบอกนางหลับไปเสียแล้ว
หญิงสาวจึงอุ้มร่างเล็กนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แต่หลังจากนั้นร่างของนางก็เกิดชะงักนิ่ง เมื่อเห็นว่ามีแขนแกร่งยื่นมาช่วยพยุงตัวเด็กน้อย
เมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นไม่ได้พูดอะไร นางจึงเพียงแค่เดินจากมาพลางเม้มริมฝีปากและพึมพำกับตัวเอง “คนเย็นชาเอ๊ย”
เช้าวันต่อมา มู่ซืออวี่ก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงดังพึ่บพั่บ นางลืมตาขึ้นก็พบว่าเป็นเสียงกระพือปีกของไก่ ตามมาด้วยเสียงพูดคุยของชายหนุ่มทั้งสอง
“ข้าจะเอาไก่ไปขายในเมืองแล้วก็ซื้ออาหารมาเพิ่ม ลู่เซวียน เจ้าช่วยดูแลเด็ก ๆ ด้วย”
“ไม่ต้องห่วงท่านพี่ ข้าไม่ปล่อยให้นางรังแกเด็ก ๆ หรอก”
มู่ซืออวี่ยืนขยี้ตาด้วยความง่วงงุนอยู่ที่หน้าประตูห้องก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “แทนที่จะปกป้องเด็ก ๆ จากข้า เหตุใดไม่พาข้าไปด้วยเสียเลยล่ะ แบบนี้ลูกชายกับลูกสาวที่น่ารักของเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกรังแกไง”
ลู่อี้มองนางอย่างเฉยเมย “เจ้าอยากเข้าเมืองงั้นหรือ?”
“อยากสิ” หญิงสาวตอบแล้วเอ่ยต่อไปว่า “นานแล้วที่ไม่ได้ไปที่ตลาด ถ้าบอกว่าอยากไป เจ้าจะพาข้าไปด้วยหรือไม่?”
“ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งชั่วยาม” ลู่อี้เอ่ยด้วยท่าทางนิ่ง ๆ เช่นเดิม จากนั้นก็หันไปจัดข้าวของ
เขานำไก่สามตัวจากเมื่อวานและที่ล่ามาได้วันนี้อีกตัวรวมเป็นสี่ขึ้นมา หลังจากมัดปีกของมันไม่ให้ขยับไปไหนก็แขวนไว้กับหาบทั้งสองฝั่งแล้วหามขึ้นไหล่
หญิงสาวเอาตะกร้าที่สภาพพอใช้ได้ขึ้นมาถือแล้วเดินตามลู่อี้ไป
“นั่นไม่ใช่ลู่อี้กับภรรยาของเขาหรอกหรือ เหตุใดถึงได้เข้าเมืองด้วยกัน น่าแปลกอะไรอย่างนี้ ปีนี้มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยเลยนะ”
“ลู่อี้ช่างโชคร้าย พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนชีวิตเขาดีกว่านี้เพียงไหน ไม่คาดว่าอยู่ ๆ พ่อแม่ของเขาจะเกิดเรื่องแบบนั้น น้องชายก็กลายมาเป็นภาระ ภรรยาก็ขี้เกียจเป็นหมู ยังมีลูกอีกสองคนต้องดูแลอีก มีแต่เรื่องแย่ ๆ ไปหมด”
ลู่อี้ก้าวเดินไว ๆ จนมู่ซืออวี่ต้องวิ่งเหยาะ ๆ เพื่อให้ตามเขาได้ทัน
“คนพวกนั้นน่าเบื่อเหลือเกิน เหตุใดถึงได้ขยันพูดเรื่องแย่ ๆ แบบนั้นออกมา” หญิงสาวออกปากบ่น “พวกเขารู้สึกดีที่เห็นว่าชีวิตคนอื่นลำบากกว่างั้นหรือ”
ลู่อี้ชะงักแล้วหันมามองนางด้วยสายตาประหลาดใจ
“เหตุใดเจ้าต้องมองข้าแบบนี้? ข้าไม่ได้ให้ร้ายเจ้า คนพูดเป็นพวกเขา มองพวกเขาสิ” นางยังบ่นต่อไป “พวกเขาพูดถึงเจ้าแบบนั้นก็เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่าไม่ใช่ตัวเองที่โชคร้ายที่สุด นี่ อย่าเดินเร็วนักสิ ข้าวิ่งตามเจ้าไม่ไหวแล้ว อีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงตลาด?”
ลู่อี้ขมวดคิ้ว “เราเพิ่งออกมา ยังต้องเดินอีกหนึ่งชั่วยาม”
“หนึ่งชั่วยามคือสองชั่วโมง เดินอีกสองชั่วโมงเชียวหรือ!” สีหน้าของหญิงสาวซีดจาง “ข้าเห็นในหมู่บ้านมีเกวียน เหตุใดเราไม่นั่งเกวียนไป?”
“หมู่บ้านของเราไกลจากตลาด ชาวบ้านไม่มีใครมีเงินพอซื้อวัวมาเทียมเกวียน ต้องเดินไปสองสามชั่วยามแบบนี้ แต่ก็ยังพอมีบางคนที่รวมเงินกันซื้อวัวกับเกวียนใช้” ลู่อี้กล่าว
“ข้าเดินต่อไม่ไหวแล้ว” มู่ซืออวี่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามารถถึงเพียงนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะร่างกายนี้อวบอ้วนจนเกินไป
นางหอบหายใจเฮือกใหญ่พลางเช็ดเหงื่อจากหน้าผากด้วยแขนเสื้อ
ลู่อี้หันกลับมามองหญิงสาว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหัวของเขา ชายหนุ่มจึงเดินกลับมาแล้วยื่นมือให้นาง “เอาของมา”
“เจ้าจะช่วยถืองั้นหรือ?” นางว่าพลางยื่นมันให้เขา “ขอบคุณมาก แต่แค่ช่วยถือของแบบนี้มันไม่ได้ทำให้หายเหนื่อยเท่าไหร่ ข้าเดินไม่ไหวแล้วจริง ๆ ของพวกนี้ก็ไม่ได้หนักอะไร”
ลู่อี้ยัดไก่ลงไปในตะกร้า ยื่นหาบให้นางถือ กระชับสายรัดเสื้อแล้วย่อตัวลงต่อหน้านาง “ขึ้นมา ข้าจะแบกเจ้าเอง”
หญิงสาวนิ่งอึ้งไปในทันที
ลู่อี้นั่งยอง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไร้การตอบสนองจากนางก็หันกลับมาอย่างเฉยเมย “ตอนนี้เจ้ามีสามทางเลือก ทางแรกคือเดินกลับไป ใกล้กว่าไปต่อ ทางที่สองคือเดินต่อไปเอง ทางที่สามคือขึ้นหลังข้า จะเอาอย่างไร?”
มู่ซืออวี่เลือกที่จะขึ้นไปบนหลังชายหนุ่ม
นางไม่ได้โง่ เหตุใดจะไม่เลือกอะไรที่สบาย ๆ แบบนี้เล่า
เพียงแต่ว่า…
นางตัวหนักไม่น้อย ชายผู้นี้จะแบกหญิงอวบอย่างนางไปได้สักแค่ไหนกัน
แม้ว่านางจะละอายใจ แต่ก็เป็นคนหน้าหนาพอที่ลืมเรื่องน้ำหนักตัวนั่นไปแล้วปล่อยใจให้เพลิดเพลินกับความสะดวกสบายนี้
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ลู่อี้ไม่มีทีท่าจะหยุดเดิน เขาก้าวต่อไปเรื่อย ๆ โดยที่มีมู่ซืออวี่อยู่บนหลัง
ท้องฟ้าสีเทาพลันสว่างขึ้นมา และเพราะดวงอาทิตย์ลอยสูง รอบกายจึงสว่างไสวไปหมด
“นั่น มีประตูอยู่ข้างหน้า ที่นี่หรือเปล่า?” หญิงสาวเห็นผู้คนเดินเบียดเสียดกันก็ตบไหล่ลู่อี้ดังปุ ๆ “วางข้าลงเถอะ ข้าเดินเองได้แล้ว”
ลู่อี้วางนางลงแล้วเอาสัมภาระไปถือ
มู่ซืออวี่ยิ้มเขินอายให้เขา “ขอบคุณมาก”
ลู่อี้กะพริบตามองนาง
ส่วนหญิงสาวก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นางเคยเห็นตลาดโบราณจากในละครย้อนยุค แต่ว่านี่ต่างออกไปมาก เมื่อได้ยืนอยู่ที่นี่จริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็ล้วนน่าสนใจไปหมด