บทที่ 120 สัญญาครึ่งปี
บทที่ 120 สัญญาครึ่งปี
ณ สำนักเหวินชาง เหวินซิ่วไฉ่เอ่ยถามมู่เจิ้งหานและลู่ฉาวอวี่สองสามคำเพื่อดูว่าพวกเขามีพื้นฐานหรือไม่ จากนั้นจึงเริ่มถามคำถามใหม่
เขาลูบเคราของตนพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “บุตรชายของพวกเจ้ามีความสามารถ พื้นฐานมากเพียงพอ สามารถเรียนชั้นปีหนึ่งได้ แต่เขายังเด็กเกินไป ชั้นปีหนึ่งมีไว้สำหรับเด็กอายุสิบหนาว ข้าแนะนำให้เขาเรียนชั้นปีสอง ส่วนหานเอ๋อร์ ข้าแนะนำให้เขาเริ่มจากชั้นปีสาม มีปัญหาใดกับการตัดสินใจนี้หรือไม่?”
“ไม่มีปัญหาเลยท่านอาจารย์ ฝากท่านดูแลด้วย” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างสุภาพ
เหวินซิ่วไฉมองลู่อี้ “ลู่อี้เล่า มีสิ่งใดจะเอ่ยหรือไม่?”
“ท่านอาจารย์ โปรดให้หานเอ๋อร์เรียนชั้นปีสองด้วย” ลู่อี้กล่าวอย่างแผ่วเบา “อีกครึ่งปีหากเขาสอบผ่านจะได้เข้าชั้นปีหนึ่งพร้อมฉาวอวี่”
มู่ซืออวี่ “…”
ผู้ใดมอบความมั่นใจนี้ให้เขา?
มู่ซืออวี่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“แม้ข้าจะไม่เคยพบลู่อี้มาก่อน แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงและความสามารถมาไม่น้อย ข้ารู้ว่าเจ้ารักภรรยาและน้องชายของนางมาก แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจด้วยว่า หากให้เขาเริ่มเรียนชั้นปีสอง เขาอาจตามไม่ทันผู้อื่น”
ลู่อี้จ้องมองมู่เจิ้งหาน “เจ้าคิดว่าจะตามทันหรือไม่?”
“ข้า…” มู่เจิ้งหานลังเล
“หากเรียนชั้นปีสาม เจ้าจะได้เรียนร่วมกับเพื่อนอายุห้าหนาว ถูกล้อแค่เรื่องโตที่สุด แต่หากเข้าเรียนชั้นปีสองแล้วสอบไม่ผ่าน เจ้าก็จะถูกเยาะเย้ยมากกว่าเดิม เจ้าอยากถูกคนอายุน้อยล้อหรือโดนดูถูกมากกว่ากัน?”
มู่ซืออวี่ไม่เห็นด้วย “ถูกคนอายุน้อยกว่าล้อก็เจ็บปวดเหมือนกันไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงเรียนกับคนที่อายุเท่ากันไม่ได้?”
มู่ซืออวี่จ้องมองเข้าไปในแววตาของน้องชาย เห็นความไม่ยอมแพ้ฉายวาบออกมา
“ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถให้ได้เข้าเรียนชั้นปีสอง ข้าจะทำให้สำเร็จภายในเวลาครึ่งปี คอยดูได้เลย” มู่เจิ้งหานกล่าว
“ไม่ หลังจากผ่านไปครึ่งปี เจ้าและฉาวอวี่จะต้องเข้าเรียนชั้นปีหนึ่งให้ได้” ลู่อี้กล่าว “เจ้าจะรั้งให้ฉาวอวี่ซ้ำชั้นอยู่กับเจ้าไม่ได้”
มู่ซืออวี่ “…”
เหวินซิ่วไฉลูบเคราของเขา เขาเอาแต่แย้มยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรออกมา
คนธรรมดาทั่วไปจะต้องคิดว่าลู่อี้แปลกประหลาดแน่นอน
ห้องเรียนชั้นปีหนึ่ง สอง และสามฟังดูแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ระดับความรู้แตกต่างกันมากทีเดียว
ชั้นปีสามเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เรียกได้ว่าเริ่มต้นจากศูนย์
ชั้นปีสองเหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับการศึกษามานานกว่าสองปี หากไม่ผ่านการประเมินก็จะไม่ได้เลื่อนขั้น
การเลื่อนจากชั้นปีสองสู่ชั้นปีหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ว่ากันว่ามีนักเรียนหลายคนซ้ำชั้นอยู่ในชั้นปีสองเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสอบเลื่อนระดับได้
ทว่าลู่อี้กลับไม่เพียงขอให้มู่เจิ้งหานสอบเข้าห้องเรียนชั้นปีสองให้ได้ แต่ยังขอให้เขาสอบเข้าห้องเรียนชั้นปีหนึ่งให้ได้ภายในครึ่งปี แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก
ลู่อี้เป็นคนที่ต้องการทำอะไรให้ได้ดั่งใจโดยไร้เหตุผลหรือ?
ไม่ใช่เช่นนั้นแน่
“ท่านอาจารย์ ข้าเต็มใจเข้าเรียนในชั้นปีสอง และจะพยายามอย่างหนักเพื่อสอบเลื่อนขั้นสู่ชั้นปีหนึ่งให้ได้ภายในครึ่งปี ข้าไม่อาจทิ้งหลานชายของข้าให้ร่ำเรียนผู้เดียวได้” มู่เจิ้งหานกล่าวอย่างหนักแน่น
ลู่ฉาวอวี่สวมเสื้อผ้าชุดงาม ดูดีราวกับเด็กชายจากครอบครัวผู้ร่ำรวย ส่วนมู่เจิ้งหานดูแข็งแกร่ง แตกต่างจากเด็กทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด สองน้าหลานมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน หน้าตาพวกเขาก็หล่อเหลาไม่น้อย
เหวินซิ่วไฉในวัยสามสิบหนาวเองก็หล่อเหลาและสง่างาม ในเวลานี้รอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจปรากฏบนใบหน้าของเขา
มู่ซืออวี่ไม่อาจขัดขวางการสนทนาของพวกเขาได้ นางปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใด เรื่องเช่นนี้สมควรปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจกันเอง แต่เรื่องที่น่าเศร้าในวันนี้คือน้องชายของนางจะต้องเรียนกับเด็กคนอื่นในห้องเรียนชั้นปีสาม เจ้าตัวจะกลายเป็นพี่ใหญ่ในหมู่พวกเขา
หลังออกจากสำนัก มู่ซืออวี่ก็จ้องไปยังประตูที่ปิดสนิท
“จะปล่อยพวกเขาไว้ที่นี่ตามลำพังหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ข้าถามเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว พวกเขาไปกลับได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ประจำที่นี่ทุกวัน”
ตอนนี้ลู่อี้ตัดสินใจที่จะทิ้งเด็กสองคนให้อยู่ประจำในสำนักเป็นเวลาสิบวัน ต่างจากที่นางเคยวางแผนไว้ในตอนแรก
“เขาต้องเริ่มต้นจากศูนย์ มีเวลาเพียงครึ่งปีในการเข้าเรียนชั้นปีหนึ่ง เจ้าคิดว่าสมควรให้พวกเขาเสียเวลาเปล่าไปกับการเดินทางหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “แม้หานเอ๋อร์จะฉลาดเฉลียว แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความฉลาดของลู่ฉาวอวี่ เขาต้องทำงานหนักกว่าผู้อื่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ”
“แล้วฉาวอวี่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่หรือ?”
“เขาต้องการอยู่ช่วยเหลือหานเอ๋อร์” ลู่อี้ตอบกลับอย่างใจเย็น “เขาเป็นคนมีนิสัยเย็นชา ไม่สนใจทั้งเจ้าและข้า บุคคลเดียวที่เขาห่วงใยมากที่สุดในโลกใบนี้ก็มีเพียงน้องสาวของเขา จะกักขังเขาไว้ในโลกของตนไม่ได้ ต้องให้เขาออกมาพบปะผู้คนเสียบ้าง”
มู่ซืออวี่พึมพำ “ผู้ใดเล่าที่ทำให้เขามีนิสัยเช่นนี้? ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ”
ลู่อี้เผยรอยยิ้ม “คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงได้”
เมื่อมาถึงศาลาว่าการ มู่ซืออวี่ก็หยุดเดินแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ได้เตรียมสิ่งใดมาให้เลย ข้าจะเช่าเกวียนวัวของหัวหน้าหมู่บ้าน นำของมาส่งให้พวกเขาในภายหลัง”
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เถิด” ลู่อี้กล่าว “ไม่ต้องไป”
“เจ้าจะทำอะไร?!” มู่ซืออวี่ตะโกนตามหลังลู่อี้
ลู่อี้เข้าไปในศาลาว่าการ
มู่ซืออวี่เอนกายพิงกำแพงพลางเหยียบก้อนกรวดอย่างเกียจคร้าน นางปรายตาไปเห็นขอทานผู้หนึ่งนั่งอยู่ นางจึงมองด้วยความสงสัย
ขอทานชราผู้หนึ่งเดินผ่านมา คว้าเหรียญทองแดงในชามของขอทานผู้นั้นก่อนจะวิ่งหนีไป ทว่าขอทานเจ้าของชามกลับไม่ขยับ ราวกับกำลังหลับใหลอย่างไรอย่างนั้น
ช่างเป็นขอทานที่แปลกประหลาด
ทันใดนั้น ขอทานผู้นั้นก็ลืมตาขึ้น
มู่ซืออวี่ที่ถูกจับได้ว่าแอบมองอยู่เบือนหน้าหนีด้วยความลำบากใจ
“มีเหล้าหรือไม่?” ขอทานคนนั้นเอ่ยถาม
มู่ซืออวี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับมาพบว่าขอทานผู้นั้นถามนาง
ดวงตาที่เฉียบคมของขอทานจับจ้องมายังนาง แววตาของขอทานสง่างามถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“ไม่มี”
ขอทานหลับตาลงอีกครั้ง
กุบกับ กุบกับ…
มู่ซืออวี่หันมามองก็เห็นรถม้าวิ่งมา ลู่อี้กล่าวว่า “ขึ้นมา”
“เจ้าไปเอารถม้ามาจากที่ใด?”
“เช่ามา” ลู่อี้ตอบ “ราคาเพียง 2 ตำลึงต่อเดือนเท่านั้น”
2 ตำลึง… ฟังดูเข้าท่าไม่น้อย
ช่วงนี้นางจำเป็นต้องใช้รถม้า แต่นางขับรถม้าไม่เป็น!
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน ผู้คนมากมายต่างตกใจเมื่อได้เห็นลู่อี้ขับรถม้า แต่หลังจากได้ทราบว่ารถม้าถูกเช่ามาในราคา 2 ตำลึงต่อเดือน พวกเขาก็ค่อนขอดครอบครัวนี้อีกครั้ง
มู่ซืออวี่ไปหาถงซื่อ บอกนางว่ามู่เจิ้งหานไปเรียนแล้ว และจะกลับมาในสิบวันหลัง สีหน้าของถงซื่อดูผ่อนคลายลง ไม่พร่ำบ่นแม้เพียงนิด
“ข้าเองก็หายห่วงพอรู้ว่าเจ้ากับลูกเขยหาสำนักศึกษาดี ๆ ให้หานเอ๋อร์ ข้าขอบคุณพวกเจ้ายิ่งที่ให้โอกาสเขาก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป ข้าไม่อยากให้เขาเป็นกังวลเรื่องครอบครัว เพียงแค่อยากให้ตั้งใจเรียน ตอนเด็ก ๆ เขาเคยอิจฉามู่เจิ้งอี้ที่ได้เรียนหนังสือ สิ่งนี้ติดค้างอยู่ในใจข้าเสมอ แต่เหตุใดข้าถึงไม่ตระหนักคิดสักนิดว่าข้าเป็นหนี้เขา ตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นมากแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้เรียนหนังสือ ข้าปลาบปลื้มใจเหลือเกิน”
“ตอนนี้หานเอ๋อร์กำลังศึกษาอย่างจริงจัง ในอนาคต เขาจะไม่ด้อยไปกว่ามู่เจิ้งอี้อย่างแน่นอน นับจากนี้ไปท่านคาดหวังได้เลย ลูกชายจะเป็นพรของท่าน หานเอ๋อร์เป็นเด็กกตัญญู ทำงานหนักมาโดยตลอด เขาจะกลายเป็นเสาหลักของท่านอย่างแน่นอน”
“ฉาวอวี่เองก็เป็นเด็กฉลาด ทั้งยังมีพ่อเป็นผู้รู้หนังสือ นี่คือต้นกล้าที่ดีของพวกเจ้า ตอนนี้ชีวิตพวกเจ้ากำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ เจ้ารักลูกให้มากเข้าไว้เถอะ ข้าเองก็ดีใจกับพวกเจ้า จริงสิ ตอนนี้เจ้ากับลูกเขยยังแยกห้องนอนกันอยู่หรือเปล่า?”