บทที่ 200 เพื่อนบ้านคนใหม่
บทที่ 200 เพื่อนบ้านคนใหม่
ถงซื่อถือตะกร้าผักกาดป่ากลับมา แล้วพูดกับมู่ซืออวี่ที่ทำงานไม้อยู่ในลานบ้านว่า “เหตุใดข้างบ้านถึงกำลังขนย้ายข้าวของ ข้าเห็นหน้าแล้ว ไม่ใช่คนจากหมู่บ้านเรา”
มู่ซืออวี่ตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “สองสามวันก่อนเจินเจินมาบอกแล้ว ครอบครัวของนางต้องไปทำกิจการในเมือง จึงขายบ้านข้าง ๆ ให้คนอื่นแล้ว”
“ขายแล้ว? เช่นนั้นที่ดินของพวกเขาเล่า?”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้” มู่ซืออวี่หยุดมือพลางเช็ดฝุ่นออกจากใบหน้า “ข้าไม่ได้ถาม แต่ถึงแม้พวกเขาอยากขาย ก็คงขายให้พี่น้องกัน”
“จะว่าไปก็ใช่” ถงซื่อผิดหวัง
“ท่านแม่ หานเอ๋อร์ย่อมไม่อยู่หมู่บ้านนี้ไปตลอด ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อที่ดิน” มู่ซืออวี่โน้มน้าว “เดี๋ยวบ้านข้าง ๆ จะมีเพื่อนบ้านใหม่มา พวกเราต้องสานสัมพันธ์ ข้าจะไปดูสักหน่อย”
ในเมื่อเป็นการไปเยือนเพื่อนบ้านใหม่ ย่อมไม่อาจไปมือเปล่า ไก่ที่บ้านเริ่มฟักไข่แล้ว นางจึงเลือกไข่สิบใบไปให้ จะได้ไม่มีใครว่าของของนางน้อยเกินไป
“สวัสดี มีคนอยู่หรือไม่?” มู่ซืออวี่เคาะประตู
เมื่อประตูเปิดออก ก็ปรากฏหญิงสีหน้าเย็นชาผู้หนึ่งยืนอยู่ “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าอยู่บ้านข้าง ๆ ได้ยินว่ามีเพื่อนบ้านใหม่ย้ายเข้ามา ข้าแค่มาทักทายน่ะ” มู่ซืออวี่พูดจายิ้มแย้ม “ท่านน้าชื่ออะไรหรือ?”
“ข้าแซ่อวี้” อวี้ซื่อเอ่ยนิ่ง ๆ “หากไม่มีอะไรแล้วข้าจะกลับไปทำงานต่อ บ้านรก ไม่เชิญเจ้าเข้าไปนั่งคงดีกว่า”
สิ้นคำก็ปิดประตูทันที ไม่ให้โอกาสมู่ซืออวี่ได้พูดแม้แต่คำเดียว
มู่ซืออวี่ถูปลายจมูกของตน
ดูเหมือนว่าเพื่อนบ้านใหม่คนนี้จะสานสัมพันธ์ได้ไม่ง่ายนัก
“เป็นอย่างไร?” ถงซื่อถาม “ข้างบ้านที่มาใหม่เป็นใครหรือ?”
“ข้าเห็นแค่เพียงเป็นท่านน้ารุ่นราวคราวเดียวกับท่านน่ะ ไม่รู้เรื่องอื่นเลย แต่ท่านน้าคนนั้นดูจะเจ้าอารมณ์อยู่นิด ๆ เป็นไปได้ก็อย่าไปวุ่นวายเถอะ” มู่ซืออวี่กล่าว
“ตอนที่ข้าเดินผ่าน ข้าเห็นแม่นางน้อยวัยเยาว์ผู้หนึ่ง” ถงซื่อพูดขึ้น “ในเมื่อเข้ากันไม่ได้ เช่นนั้นก็ปิดประตูเดินผ่าน ไม่จำเป็นต้องเดินไปมา”
อวี้ซื่อมองดูบ้านหลังเล็กแล้วขมวดคิ้ว
ในเมืองล้วนมีแต่การพูดคุยนินทากัน นางจึงตั้งใจย้ายมาบ้านนอกเพื่อหลบเลี่ยงเพื่อนบ้านน่ารำคาญเหล่านั้น แต่บ้านหลังนี้ช่างสกปรกรกรุงรังเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาทำความสะอาดนานเท่าใด คิดแล้วก็อนาถใจ
“ท่านแม่” อันอวี้ใช้ไม้เท้านำทางเดินมาหา “ข้าจัดเตรียมเตียงเรียบร้อยแล้ว มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องขยับไปไหนก็ถือว่าช่วยข้าแล้ว” อวี้ซื่อพูดจบก็ง่วนอยู่กับงานในมือ “พี่ชายเจ้าก็จริง ๆ เลย เหตุใดจึงเอาเงินไปซื้อไม้เท้านี่ให้เจ้า ไม่รู้ว่าใช้เงินไปมากเพียงใด”
อวี้ซื่อพร่ำบ่นไม่รู้จบ
อันอวี้กำไม้เท้าแน่นไม่กล้าส่งเสียง
นางคุ้นชินกับ ‘ความลำเอียง’ ของมารดาตนแล้ว
หมู่บ้านนี้จะว่าเล็กก็ไม่เล็กจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ข่าวที่สะใภ้ใหญ่เฉินขายบ้านให้กับคนนอกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่ออวี้ซื่อมาที่ริมแม่น้ำพร้อมกับของมากมายที่ต้องทำความสะอาด หลาย ๆ คนก็มองดูนางด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ท่านน้า ชื่ออะไรหรือ?”
“ข้าแซ่อวี้”
“พี่หญิงอวี้ ท่านย้ายมาจากไหนหรือ?”
“ในเมือง”
“โธ่เอ๊ย ในเมืองดีขนาดนั้น ทำไมท่านย้ายมาอยู่บ้านนอกบ้านนาเสียล่ะ คนอื่นเขามีแต่จะย้ายจากบ้านนอกไปในเมือง เหตุใดท่านกลับทำตรงกันข้าม บ้านท่านมีกี่คนหรือ? สามีของท่านทำอะไร?”
อวี้ซื่อขมวดคิ้ว ยกไม้ซักผ้าขึ้นมาหวดลงไปอย่างแรง
ปัก ๆๆ
น้ำสาดกระเซ็นไปทั่วทุกที่
“นี่ท่านซักอีท่าไหนกัน น้ำสาดเต็มหน้าข้าหมดแล้ว”
คนที่อยู่รอบ ๆ แตกฮือหนีไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่ ท่านแม่” เสียงของอันอวี้ดังขึ้นมา
อวี้ซื่อหน้านิ่ว เก็บเสื้อผ้าที่ยังไม่ซักไม่เสร็จ ยกถังผ้าขึ้นมาแล้วเดินกลับไป
“คนผู้นี้ถือตัวจริง ๆ เลย!”
“นั่นสิ ไม่สนใจคนอื่นเลย”
“นี่ ๆ พวกเจ้าดูนั่นสิ ลูกสาวของนางตาบอดล่ะ”
อวี้ซื่อก้าวเร็วขึ้นกว่าเดิม นางคว้าแขนของอันอวี้แล้วดึงกลับบ้าน “เจ้าจะออกมาทำไม?”
เท้าของอันอวี้สะดุดจนเกือบจะล้มลงบนพื้น โชคดีที่นางใช้ไม้เท้าพยุงร่างกายเอาไว้ จึงไม่ได้ล้มลงไป
“ท่านแม่ ท่านอย่าดึงข้า ข้าเดินเองได้”
อวี้ซื่อปล่อยอีกฝ่าย พลางพ่นลมหายใจฮึดฮัดออกมา “เจ้าออกมาทำอะไร?”
“กล่องใบนั้นของข้าหายไปไหนแล้ว? ท่านวางไว้ให้ข้าที่ใดหรือ?”
“ข้านึกว่าเรื่องอะไร ข้าจัดการให้เจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“ท่านแม่ จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร? นั่นเป็นของที่ท่านพี่ให้ข้านะ”
“อันอวี้ พี่ชายของเจ้าร่ำเรียนหนังสือต้องใช้เงินไม่น้อย พวกเราสตรีสองคนช่วยเขาไม่ได้ก็แล้วไปเถอะ ยังต้องให้เขาเปลืองเงินเพื่อดูแลเราอีกหรือ ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง ของในกล่องนั้นข้าขายไปแล้ว เงินก็ใช้จ่ายออกไปแล้ว เงินนั่นเอาไปให้พี่เจ้าใช้เป็นค่าเดินทางไปสอบขุนนาง เจ้าเป็นเช่นนี้ ภายหน้าจะเป็นอย่างไรไม่มีผู้ใดรู้ ไม่จำเป็นต้องเตรียมสินเดิม”
อันอวี้เม้มริมฝีปาก “ไม่เหลือไว้แม้แต่ชิ้นเดียวเลยหรือ? นั่นเป็นกล่องสะสมของขวัญวันเกิดที่พี่ชายข้าให้ข้านะเจ้าคะ”
ถึงแม้จะเป็นชิ้นเดียวก็ยังดี
นางแค่ต้องการเก็บไว้ให้นึกถึง
“ไม่เหลือแล้ว” อวี้ซื่อเอ่ยอย่างเย็นชา จากนั้นก็จากไปพร้อมกับถังไม้ในอ้อมแขน
อันอวี้ชะงักงันอยู่ตรงนั้น
มู่ซืออวี่เดินออกมาจากประตูก็เห็นแม่นางน้อยคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่บนก้อนหิน นางจึงเมียงมองด้วยความสงสัย
แม่นางน้อยได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาก็ปาดน้ำตาทิ้งด้วยความอับอาย
“อันอวี้?” มู่ซืออวี่จำอันอวี้ได้ทันที
อันอวี้ได้ยินเสียงนั้นก็รู้สึกคุ้นหูเล็กน้อย เมื่อนึกขึ้นได้นางก็ลุกขึ้นด้วยความประหลาดใจ “พี่ซืออวี่?”
“ข้าเอง”
“เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”
“ก็บ้านข้าอยู่ที่นี่น่ะสิ”
“เอ๊ะ?” อันอวี้นึกแปลกใจ
“เจ้าคงไม่ใช่เพื่อนบ้านคนใหม่ใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่เหลือบตามองบ้านข้าง ๆ “เช่นนั้นคนที่ข้าเพิ่งเห็นก็เป็นแม่เจ้าหรือ?”
“อืม” เมื่อเอ่ยถึงท่านแม่ อันอวี้ก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา
“ให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“ไม่ต้องหรอก” อันอวี้ก้มหน้าลงกล่าวว่า “พี่ซืออวี่คงยุ่งอยู่กระมัง ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
“บ้านข้าอยู่หลังข้าง ๆ ถ้าเจ้าอยากพูดคุยกับข้าก็มาหาข้าได้นะ! ข้าขอตัวก่อน”
ยามนี้เซี่ยคุนเดินแบกหมูป่าผ่านมา
ด้านหลังเขาตามมาด้วยเด็ก ๆ เป็นโขยง พวกเขาทั้งลูบทั้งดึงขนหมูป่าด้วยความสนใจ
“เจ้าขึ้นเขามาหรือ?”
“อืม” เดิมทีเซี่ยคุนตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ ทว่าเมื่อเขาเห็นอันอวี้ สีหน้าเขาพลันแข็งค้าง
“อันอวี้เป็นเพื่อนบ้านคนใหม่ของเรา” เมื่อเห็นสีหน้าที่ผิดแปลกไปของเซี่ยคุน มู่ซืออวี่จึงอธิบาย
อันอวี้ ‘มอง’ มาทางเซี่ยคุน ก่อนจะย้ายไม้เท้านำทางไปข้าง ๆ
เซี่ยคุนแบกหมูป่าเข้าไปในลานบ้าน อันอวี้ไม่คุ้นเคยกับเส้นทางใหม่นัก นางล้มลงหลายครั้งหลายครากว่าจะหาบ้านของตนเจอ
อวี้ซื่อไม่คิดจะเข้ามาช่วย เสื้อผ้ายังซักไม่เรียบร้อย นางต้องตักน้ำจากบ่อกลับมาซักเพราะนางไม่อยากไปที่แม่น้ำแล้ว หญิงที่อยู่ที่นั่นทำให้คนหายใจไม่ออกจริง ๆ
“ท่านแม่ เย็นนี้กินอะไรหรือ?”
“เราไม่ต้องทำงานในไร่ในสวน ไม่ได้ใช้แรงอะไรมากมาย กินหนึ่งมื้อต่อวันก็พอแล้ว” อวี้ซื่อขยี้เสื้อผ้าไปพลางพูดไปพลาง “ต่อไปพี่เจ้ากลับมาก็ไม่ต้องพูดไร้สาระ เขาจำเป็นต้องจดจ่ออยู่กับการศึกษาหาความรู้ จะวอกแวกไม่ได้”
อันอวี้หาเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง
สิ่งที่นางไม่ได้เอ่ยออกไปคือนางหิวมาก มึนหัวจนแทบทนไม่ไหว
ทานอาหารหนึ่งมื้อต่อวัน อาหารทุกมื้อไม่มีน้ำมันหรือน้ำแกงใด ๆ ร่างกายของนางจึงอ่อนแอ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน
แต่ถ้านางบอกผู้เป็นแม่ อีกฝ่ายก็คงจะไม่สนใจ มีแต่จะไม่ชอบนางที่เป็นภาระมากกว่าเดิม