บทที่ 255 พี่สะใภ้ ท่านอาการหนักกว่าข้าอีก
มู่ซืออวี่ฟังลู่เซวียนพูดถึง ‘ผลงานยิ่งใหญ่’ ของเขาพลางแกะเม็ดแตงกิน พอเขาเล่าถึงตอนที่ใช้วิธีฆ่าหนูเขย่าขวัญคน เม็ดแตงในปากก็เสียรสชาติไป
“เหตุใดต้องฆ่าหนูด้วย เปลี่ยนเป็นวิธีไม่หลั่งเลือดไม่ได้หรือ? น่าขยะแขยงออก” มุมปากมู่ซืออวี่กระตุก
“ตัดสินจากช่วงนี้ที่พวกเขาทำตัวเรียบร้อยดี วิธีของข้ายังได้ผลอยู่นะ” ลู่เซวียนกล่าว “จะว่าไป เรื่องพวกนี้อย่าบอกพี่ชายข้านะ”
“เจ้ากลัวถูกพี่เจ้ารังเกียจเอาหรือ? วิธีนี้โง่ไปหน่อยนะ จริง ๆ” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าสอยตะเข็บกางเกงพวกเขาออก รอพวกเขาออกมาเดินแล้วพบว่ากางเกงขาดเป้าโตงเตง ไม่น่าอายยิ่งกว่าหรือ? แล้วก็นะ เจ้าจะทาน้ำผึ้งบนอาภรณ์ของพวกเขาให้มดแมลงไต่ตอมเอาก็ได้ ไม่ทำให้พวกเขาขนลุกเหมือนกันหรือ?”
ลู่เซวียนกระเถิบหนีไปข้าง ๆ
กระทำ ‘เรื่องเลวร้าย’ ครั้งแรก เขาย่อมกังวลในใจ แต่เมื่อฟังมู่ซืออวี่กล่าววาจาเหล่านี้ เขาก็พลันรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นใสซื่อเกินไป ไร้ค่าให้ชื่นชมเอาเสียเลย
พี่สะใภ้ก็คือพี่สะใภ้ หลังจาก ‘ชนะศึก’ มาหลายหน ผู้ใดในหมู่บ้านก็ไม่กล้าหาเรื่องนางอีก
“ข้าจะบอกให้นะ” มู่ซืออวี่เปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึม “ยังจำจ้าวหรงเอ๋อร์ได้ใช่ไหม? ไม่นานมานี้ มารดานางมาขอผูกสัมพันธ์ อยากแต่งนางให้เจ้า”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” ลู่เซวียนขมวดคิ้ว “อย่ามาตะล่อม”
“ข้าไม่ได้รับปาก ไม่คิดถามเจ้าด้วยว่าคิดอย่างไร นอกจากนั้น ข้ายังไม่กล้ารับปากเรื่องของเจ้าง่าย ๆ ด้วย ผู้แต่งสะใภ้ไม่ใช่ข้าสักหน่อย”
“หากไร้ชื่อเสียงแล้วจะเริ่มครอบครัวได้อย่างไร? อีกอย่าง…” ลู่เซวียนถูจมูก “ข้าก็อยากหาผู้ที่ข้าชอบจริง ๆ ด้วย”
“รู้แล้วล่ะ”
ไม่ว่าอย่างไร หากภายหน้ามีคำขอหมั้นหมายมาอีก นางจะปฏิเสธทันที
ลู่เซวียนกลับมาเพื่อของบางอย่าง และในเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ เขาก็กลับสำนักบัณฑิต
“รอเดี๋ยว” มู่ซืออวี่นำถุงใส่ของใบใหญ่ออกมาจากครัว “ตอนแรกข้าเตรียมไว้ให้พวกฉาวอวี่ แต่ในเมื่อเจ้ากลับมา ข้าจะให้เจ้าใช้ก่อน อย่าแตกตื่นสุ่มสี่สุ่มห้า บางคราเจ้าก็ต้องซื้อใจผู้คน ข้าทำอาหารเครื่องดื่มไว้ พวกเขาเคี้ยวลิ้นกันเป็นแน่”
“อ้อใช่ นี่ของเจ้าสำนักและอาจารย์ เอาไปให้หมดเลยนะ”
ลู่เซวียนมุ่ยหน้า
เขาไม่อยากให้คนเหล่านั้นเลย แต่พี่สะใภ้ก็พูดถูก บางครั้งซื้อใจคนก็มีประโยชน์กว่าข่มขวัญ
“ชุดผ้าฝ้ายนั่นเพิ่งทำเสร็จ อีกไม่นานจะหนาวแล้ว เอาไปด้วยสองชุดสิ ชุดอื่น ๆ ยังทำไม่เสร็จ” มู่ซืออวี่แนะนำขณะจัดกระเป๋าสัมภาระ “นี่คือถุงมือ สวมมือไว้คลายหนาวได้ ห้านิ้วเปิดเปลือย ง่ายต่อการจับพู่กัน อันนี้เป็นปลอกเข่า เวลาหนาวก็ใช้เสีย เข่าจะได้ไม่แข็ง ส่วนนี่คือผ้าพันคอ…”
ลู่เซวียน “…”
เมื่อเห็นสัมภาระเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เขาทั้งตื้นตันและจนใจ
“อย่ายัดมาเยอะแยะนักเลย ข้าอยู่ใกล้บ้านเพียงนี้ หากขาดอะไรก็กลับมาหยิบได้ทุกเมื่อ ท่านทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเดินทางไกลเลย”
“ก็มันเหมือนนี่!” มู่ซืออวี่หยุดมือ “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จัดเสร็จแล้ว ยกไปได้เลย!”
มู่ซืออวี่บังคับรถม้าไปส่งลู่เซวียน บังเอิญว่านางกำลังจะไปหาลูกค้าเพื่อวัดขนาดห้องเพื่อสั่งทำตู้เสื้อผ้าพอดี
“นั่นมู่เจิ้งอี้หรือ?” ลู่เซวียนในรถม้ากล่าวขึ้น
มู่ซืออวี่มองตามไป เห็นว่ามู่เจิ้งอี้กำลังถูกคนจากเรือนวสันต์ต่อยตีรุนแรง ตัวม้วนขดอยู่กับพื้น สภาพสะบักสะบอม
นางขมวดคิ้ว ทำเป็นมองไม่เห็น
หลังจากส่งลู่เซวียนถึงสำนักบัณฑิต มู่ซืออวี่ก็ไม่โอ้เอ้ รีบไปวัดขนาดห้องให้ลูกค้าก่อน แล้วจึงตัดสินใจรูปแบบที่พวกเขาต้องการ ก่อนจะกลับไปพร้อมข้อมูล
บังเอิญขณะนั้นมีฝนตก นางจึงเร่งฟาดแส้เร่งม้าให้วิ่งเร็ว ๆ
…
ลู่อี้กำลังขี่ม้า เบื้องหลังมีเกวียนเรือนจำซึ่งมีพวกอันธพาลถูกขังไว้ข้างใน
เดิมทีงานเช่นนี้ไม่ควรเป็นของเขา แต่อันธพาลผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย จับตัวไม่ได้มานานแล้ว กล่าวกันว่าคนผู้นี้ก็เคยขโมยของของเจียงเหล่า และเจียงเหล่าก็ชี้ตัวออกหมายจับ นายอำเภอฉินจึงไร้ทางเลือกนอกจากส่งมือขวาของเขาไปจัดการ
นายอำเภอฉินพึ่งพาลู่อี้มากขึ้นทุกขณะ หลายเรื่องถูกนำมาปรึกษากับลู่อี้ และบางครั้งเมื่อพบคดีประหลาดไม่อาจหาทางออก ลู่อี้จะถูกเรียกตัวมา ลู่อี้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง นายอำเภอฉินก็ยิ่งตามตัวง่าย เขาจึงถูกเรียกมาจัดการคดีเมื่อคืนแม้ยามกลางดึก
ทันใดนั้น ลู่อี้ก็หยุดม้า
“ท่านลู่ เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยเห็นเขาหยุดม้าจึงถามขึ้น
ลู่อี้กล่าว “พวกเจ้าพาคนกลับไปก่อน!”
“แต่ว่า…”
“อยู่หน้าศาลาว่าการแล้ว ไม่น่าเป็นอะไร”
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยหลายสิบคนพาตัวนักโทษไป
ลู่อี้โยนบังเหียนม้าให้หนึ่งในผู้ใต้บัญชา ก่อนจะเดินเท้าไปยังรถม้า ณ ทิศตรงข้าม
รถม้านั้นจอดผูกเสาไว้ ไม่เห็นตัวเจ้าของ แต่เพียงมองก็ทราบได้ว่าเจ้าของรถม้าอยู่ข้างในนั้น
พื้นที่ใกล้เคียงทรุดโทรมเปล่าเปลี่ยว และจากเอกสารที่เฉินเซียนเฉิงส่งมาเมื่อกาลก่อน ที่แปลงนี้จะถูกถางเพื่อสร้างยุ้งฉางขนาดใหญ่
ลู่อี้หยุดลงตรงหน้ารถม้า เปิดม่านดูก็พบมู่ซืออวี่ตัวสั่นอยู่ข้างใน
“สามี” มู่ซืออวี่รับรู้ว่ามีผู้เข้ามา ครั้นเงยหน้าขึ้นมาก็พบลู่อี้ “เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?”
“นั่งดี ๆ ข้าจะพาเจ้ากลับ” ลู่อี้กล่าวพลางปลดเชือกม้า แล้วนั่งลงในตำแหน่งสารถี
“ไม่ใช่ท่านว่ายุ่งอยู่หรือ? ข้าจะหลบฝนอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยว ฝนซาแล้วก็จะกลับไปเอง”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะพาเจ้ากลับก่อน แล้วค่อยกลับศาลาว่าการเอง” ลู่อี้สะบัดแส้ม้าขับออกไป
สายฝนโปรยปราย พื้นเปียกแฉะด้วยหยาดพิรุณ ดวงตาม้าย่อมพร่ามัว หากไม่ใช่ว่าลู่อี้มีทักษะขับรถม้าเลอเลิศ คงไม่มีทางบังคับกลับเรือนได้อย่างราบรื่นเป็นแน่
นี่ยังเป็นสาเหตุที่มู่ซืออวี่ไม่กล้าฝ่าฝนออกไป ทักษะของนางไม่ได้ดีนัก หากจู่ ๆ ม้าตื่นวิ่งเตลิด นางจะไม่อาจควบคุมม้าได้
ทว่าลู่อี้ไม่กังวลกับปัญหานี้
มู่ซืออวี่มองร่างสูงของเขา และจู่ ๆ ก็เหมือนได้กินยาสงบความวิตก
“เอาล่ะ รีบเข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าสะอาดเถอะ” ลู่อี้กล่าว “ข้ากลับศาลาว่าการแล้ว”
“ชุดท่านเปียกไปหมดแล้ว” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ในเมื่อท่านก็กลับถึงบ้าน ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมเสื้อคลุมฝนเถอะ”
“ท่านลู่…” เจ้าหน้าที่ผู้น้อยคนหนึ่งขี่ม้ามาหา ดูเหมือนกำลังรีบเร่ง
ลู่อี้สังหรณ์ใจไม่ดี ระยะห่างจากเมื่อครู่ถึงศาลาว่าการนั้นไม่ถึงสองลี้ สองลี้ที่ว่านั่นไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นได้แล้วกระมัง?
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มีผู้มาจู่โจมชิงนักโทษขอรับ แต่คนไม่ได้ถูกพาตัวไป กลับตกตายในขุมขัง พี่น้องของเขา บาดเจ็บหลายคน ตกตายไปหนึ่งขอรับ”
“ไป!” ลู่อี้รีบขึ้นม้าจากไป
มู่ซืออวี่มองร่างของลู่อี้ สายตาเปี่ยมความกังวล
“ฮูหยิน ไฉนมายืนตรงนี้เล่า?” พ่อบ้านเฝ้าประตูผู้หนึ่งเห็นมู่ซืออวี่จึงถามขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก รถม้านี้ให้เจ้าจัดการ ช่วยข้าผูกในคอกม้าทีนะ”
“ขอรับ”
พ่อบ้านตระเตรียมน้ำร้อนให้มู่ซืออวี่ที่คิดถึงภาพลู่อี้กระวีกระวาดจากไปในสายฝนเมื่อครู่
ลู่อี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว!
นางไม่อาจพอใจกับงานในปัจจุบันอีกต่อไป นางต้องขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น นางจะได้เป็นที่พึ่งใหญ่หลวงที่สุดของเขาได้ แค่ด้านการเงินก็ยังดี
ใช่แล้วล่ะ! นางจะพิจารณาเรื่องนี้ดู