บทที่ 285 เฝ้านางไว้ อย่าละสายตาแม้แต่อึดใจเดียว
บทที่ 285 เฝ้านางไว้ อย่าละสายตาแม้แต่อึดใจเดียว
ห้องตำราที่เฉินซือจวินเอ่ยถึงไม่ใช่เพียงห้องตำราเล็ก ๆ ที่นางใช้ ทว่าเป็นหอตำราขนาดใหญ่ของจวนเจียงเหล่า
ชิวสุ่ยพามู่ซืออวี่และเหวินอี้เข้าไปในหอตำรา
บ่าวรับใช้ที่เฝ้าหอตำราทราบว่านี่เป็นการจัดการของเฉินซือจวิน หลังจากลงชื่อไว้แล้วก็ให้พวกเขาเข้าไป
“นี่เป็นชั้นตำราที่พังหรือ?” มู่ซืออวี่ถามชิวสุ่ย
“เจ้าค่ะ” ชิวสุ่ยกล่าว “ใช้ได้เพียงห้าวันก็พังเสียแล้ว ไม่คงทน”
“พังตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ยามเช้าเจ้าค่ะ ทันทีที่มันพัง ข้าก็ไปรายงานคุณหนูทันที ข้าถึงได้ไปหาพวกท่าน”
เหวินอี้นำแผ่นภาพที่ตนวาดออกมา เปรียบเทียบกับชั้นตำรานั้น
“ไม่ถูก ๆ ตามแบบที่ข้าวาดมีตะปูอีกสองสามตัว เหตุใดตรงนี้ไม่ได้ใช้ตะปูเล่า?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร? พวกท่านเป็นคนติดตั้ง ของก็วางอยู่ตรงนี้ไม่มีผู้ใดไปแตะต้องมัน หากตะปูสองสามตัวหายไป นั่นก็เป็นเพราะพวกท่านไม่ระวัง”
มู่ซืออวี่กล่าวกับชิวสุ่ยว่า “เช่นนั้นรบกวนแม่นางชิวสุ่ยพาคนงานเหล่านั้นมาที่นี่ พวกเราจะติดตั้งใหม่ตรงนี้ ส่วนบ่าวรับใช้ที่ได้รับบาดเจ็บ ข้าจะสอบถามกับคนงานให้ชัดเจน หากเป็นความพลั้งเผลอของพวกเราจริง ข้าจะชดใช้ค่าหมอให้บ่าวรับใช้ที่บาดเจ็บเหล่านั้น”
“ได้ พวกท่านรออยู่ตรงนี้”
มู่ซืออวี่มองไปรอบ ๆ ที่แห่งนี้มีชั้นตำราอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งชั้นล้วนเต็มไปด้วยตำรามากมาย
ชั้นตำราเหล่านั้นเก่าแก่ ชั้นตำราที่ทำใหม่จากร้านของพวกเขาจึงดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้คงมีตำราอยู่บนนั้นไม่น้อย ทว่าบัดนี้มันถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เหลือไว้เพียงชั้นตำราที่พังเท่านั้น
“ท่านอย่าขยับมัน รอให้คนงานมาเสียก่อน” เหวินอี้เปิดปากขึ้นเมื่อเขาเห็นมู่ซืออวี่กำลังจะเคลื่อนย้ายชั้นตำรา
“ข้าจะตรวจดูว่ามีปัญหาที่ใดอีกหรือไม่” มู่ซืออวี่คุกเข่าลงบนพื้น หยิบชิ้นส่วนที่แตกหักเหล่านั้นขึ้นมา “วัสดุนี้จะบางเกินไปหน่อยหรือไม่?”
“สาวใช้คนเมื่อครู่นี้เป็นคนเลือก เดิมทีพวกเราจะเลือกไม้ชนิดอื่นให้นาง นางกลับยืนกรานจะใช้ไม้ชนิดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะไม้ชนิดนี้มีสีคล้ายคลึงกับชั้นตำราเก่ามากกว่า วางเข้าด้วยกันแล้วไม่ดูแปลกตากระมัง”
“ดูเหมือนข้าไม่อยู่ ทุกคนยังคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้หน่อยแล้ว” มู่ซืออวี่พึมพำกับตนเอง “เราเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราทำ จะให้ลูกค้ามาวุ่นวายไม่ได้เด็ดขาด หากเราทำได้ไม่ดี อาจทำให้เสียชื่อของเรา”
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
“ท่านได้ยินเสียงอันใดหรือไม่?” เหวินอี้ถาม
มู่ซืออวี่หันกลับไป จากนั้นจึงรีบปรี่เข้าไปหาเหวินอี้ “ระวัง!”
ตึง!
ชั้นตำราล้มครืนลงมา
ร่างกายของมู่ซืออวี่หนักอึ้ง นางร้องออกมา ก่อนจะสลบไปในที่สุด
“ฮูหยิน….” เหวินอี้ที่ถูกมู่ซืออวี่ล้มทับ มองเห็นศีรษะของนางมีเลือดไหลออกมา “ใครก็ได้…”
ลู่อี้เพิ่งรับมือกับผู้ดีมีสกุลเจ้าถิ่นเสร็จ เขากำลังจะจัดการกับเอกสารที่กองเป็นภูเขา ทว่าจือเชียนเดินเข้ามาอย่างร้อนรนเสียก่อน
“ใต้เท้า ฮูหยินเกิดเรื่องแล้วขอรับ”
“อะไรนะ?” ลู่อี้ถามทันควัน “นางอยู่ที่ใด?”
“นางอยู่ที่จวนเจียงเหล่า” จือเชียนกล่าว “เรื่องมันยาว พวกเราเดินไปคุยไปเถอะขอรับ”
ระหว่างทาง จือเชียนได้เล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟัง
“เป็นคนจากจวนเจียงมารายงานว่าศีรษะของฮูหยินแตกขอรับ ท่านหมอของจวนเจียงกำลังรักษาให้นาง”
“เหตุใดไม่ระมัดระวังเช่นนี้? เซี่ยคุนเล่า?”
“วันนี้พี่คุนส่งอันอวี้ไปหอสอนงานเย็บปักขอรับ จึงไม่ได้ไปที่ร้านกับฮูหยิน เดิมทีพี่คุนบอกฮูหยินว่าเขาขอลาครึ่งวันในตอนเช้า จะกลับเข้ามายามบ่ายขอรับ”
จือเชียนกังวลว่าลู่อี้จะโมโหเซี่ยคุนจึงอธิบายแทนอีกฝ่าย
ตอนนี้สมองของลู่อี้พะวงอยู่กับอาการบาดเจ็บของมู่ซืออวี่ ชายหนุ่มยังไม่เอาความกับใคร
ถึงแม้ในใจเขาจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิเซี่ยคุน
“ใต้เท้าลู่ ท่านมาแล้ว” เฉินซือจวินที่อยู่หน้าประตูเห็นเขาก็รีบเข้ามาทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น “บาดแผลของฮูหยินค่อนข้างสาหัส ท่านหมอกล่าวว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก”
ลู่อี้ไม่สนใจเฉินซือจวิน รีบผลักประตูเปิดแล้วปรี่เข้าไปในห้อง
มู่ซืออวี่นอนอยู่บนเตียง ส่วนเหวินอี้ยืนอยู่ข้าง ๆ
เหวินอี้เดิมทีก็ผ่ายผอมอยู่แล้ว ทว่าบัดนี้สีหน้าของเขากลับซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม เขามองมู่ซืออวี่ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างกระวนกระวายใจ
“ใต้เท้าลู่” เหวินอี้ทักอีกฝ่าย “ข้าขอโทษ ฮูหยินได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะช่วยข้า”
“นางได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเจ้างั้นหรือ?” ลูอี้มองเหวินอี้อย่างเยือกเย็น
เหวินอี้ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของลู่อี้ จึงสารภาพออกไปอย่างซื่อตรง “ชั้นตำรานี้เดิมทีจะล้มใส่ข้า ร่างกายของข้า ท่านก็ทราบดี ย่อมไม่อาจหลบพ้น หากถูกล้มทับคงไม่ตายก็พิการ ฮูหยินอาจบังข้าไว้เพราะเหตุนี้”
ลู่อี้ได้ยินแล้วก็หนักอึ้งอยู่ในใจ
เขาไม่สนใจความเป็นความตายของผู้อื่น สนใจแค่นาง เขาอยากให้นางดูแลตนเองให้ดี แต่สตรีโง่เขลาผู้นี้ เหตุใดต้องจิตใจดีถึงเพียงนี้? นางไม่คิดหรือว่าหากตนเป็นอะไรไป ครอบครัวจะเป็นอย่างไร?
หากมู่ซืออวี่ตื่นขึ้นมา ต้องบอกกับเขาเป็นแน่ว่า ‘ก็มันคือสัญชาตญาณ’
สตรีที่มีสัญชาตญาณของมารดามักเห็นอกเห็นใจ สงสารผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ
เหวินอี้อ่อนแอบอบบาง ประหนึ่งจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ทันทีที่ชั้นตำราล้มลงมา นางตัดสินใจโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด
หากนางไม่ช่วยเขา ชายหนุ่มผู้นี้อาจทนไม่ไหว
“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่อี้ถามท่านหมอ
ท่านหมอกำลังเขียนเทียบยา หลังจากจรดเส้นสุดท้ายลงไป เขาจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินร่างกายแข็งแรง ไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน ทว่าบาดแผลภายนอกต้องได้รับการดูแล โดยเฉพาะบาดแผลบนศีรษะ ต้องดูแลให้ดีที่สุด”
“ขยับเขยื้อนได้ใช่ไหมขอรับ?”
“ได้”
ลู่อี้เอ่ยกับเหวินอี้ “หากเจ้ารู้สึกผิด หน้าที่ไปซื้อยา ข้ามอบให้เจ้า ข้าจะพานางกลับไปก่อน”
ทันทีที่คำนั้นเอ่ยจบ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากข้างนอก “ใต้เท้าลู่อยู่หรือไม่? นายท่านเรียนเชิญขอรับ”
ลู่อี้กำลังจะอุ้มมู่ซืออวี่ขึ้นมา แต่ก็ต้องถอนอ้อมแขนออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เขาเอ่ยกับเหวินอี้ว่า “ดูเหมือนต้องฝากเจ้าดูชั่วคราวเสียแล้ว”
“ท่านวางใจ ข้าจะเฝ้าให้ดี” เหวินอี้รับปาก
“อย่าได้ออกไปไหนแม้เพียงก้าวเดียว ถึงแม้เจ้าจะอยากถ่ายเบาแค่ไหน เจ้าก็ต้องฝืนไว้จนกว่าข้าจะกลับมา” ลู่อี้ย้ำเตือนอีกครั้ง
เหวินอี้ไม่สงสัยคำพูดของเขา เพียงพยักหน้าอย่างซื่อตรงเท่านั้น
หลังจากลู่อี้ไปแล้ว เหวินอี้มองมู่ซืออวี่ที่นอนสีหน้าซีดเซียวอยู่ที่นั่นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยิน เหตุใดท่านจึงช่วยข้าไว้ ข้าเป็นเพียงคนนอก ชีวิตข้าสลักสำคัญที่ใดกัน?”
ผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง ชิวสุ่ยก็เข้ามาพร้อมกับน้ำดื่ม “ดื่มน้ำหน่อยเถิด ถึงท่านไม่กระหาย แต่เถ้าแก่เนี้ยอาจกระหายแล้ว”
เหวินอี้ส่ายศีรษะ “ไม่ต้องล่ะ พวกเราไม่ดื่ม”
“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร หรือกังวลว่าพวกเราจะวางยาพิษ?” ชิวสุ่ยเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงรินน้ำให้ตนเองดื่มหนึ่งถ้วย “เช่นนี้วางใจได้แล้วกระมัง”
เหวินอี้ประกบมือ “แม่นางอย่าได้ถือสา ข้าอยากรอให้ใต้เท้าลู่กลับมาเสียก่อน หากให้ฮูหยินดื่มน้ำตอนนี้ แล้วฮูหยินเกิดความต้องการเร่งด่วนอันใด เช่นนั้นจะไม่กระอักกระอ่วนหรือ”
“ข้าอยู่นี่ไม่ใช่หรือไร?” ชิวสุ่ยกล่าว “ข้าช่วยนางได้”
“ตอนนี้นางยังไม่ฟื้น เจ้าเป็นสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งจะเคลื่อนย้ายนางได้อย่างไร? ช่างเถิด ไม่นานใต้เท้าลู่คงกลับมาแล้ว รอก่อนจะดีกว่า”
“แล้วแต่ท่าน สุนัขกัดหลี่ว์ต้งปินไม่รู้ความหวังดีของคน*[1]” ชิวสุ่ยจากไปด้วยความโมโห และก่อนที่จะจากไปก็ถือกาจากไปด้วย
[1] สุนัขกัดหลี่ว์ต้งปินไม่รู้ความหวังดีของคน เป็นสำนวน หมายถึง เลี้ยงไม่เชื่อง ไม่รู้จักบุญคุณ