สำหรับคำร้องขอของมู่เฉียนซีนั้น แน่นอนว่าจิ่วเยี่ยย่อมไม่ปฏิเสธ
เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วคอยป้องกันที่รอบด้านของมู่เฉียนซีเอาไว้
ร่างของนิรันดร์ที่เป็นหม้อวิญญาณนิรันดร์นั้นลอยอยู่ที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซี มันยิ้มแล้วกล่าว “ที่รัก พวกเราเริ่มกันเถอะ”
มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “เริ่ม”
มู่เฉียนซีได้เริ่มปรุงยา นิรันดร์กับมู่เฉียนซีร่วมมือกัน นี่เป็นงานที่ใหญ่โตโอฬารน่าตื่นตะลึงอย่างแน่นอน
แม้แต่กู้ไป๋อี อินรั่วเฉินและจิ่วเยี่ยที่มิใช่นักปรุงยาก็ล้วนแต่ถูกดึงดูด จะมีก็เพียงชิงอิ่งเท่านั้นที่มิได้มีความสนใจเท่าใดนัก
แน่นอนว่าผู้ที่ถูกดึงดูดอย่างลึกซึ้งที่สุดนั้นก็คือเซียวเหยา สำหรับคนรุ่นหลังของตระกูลเซียวแล้ว การที่สามารถได้เห็นท่านหม้อวิญญาณนิรันดร์ปรุงยาแล้ว มันก็ไม่เสียทีที่ได้มายังโลกนี้สักครา
สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ขอแค่เพียงได้มองดูก็สามารถทำให้เหมือนได้เข้าไปยังสถานที่อันงดงามแห่งหนึ่งได้
สายตาที่เซียวเหยามองไปยังมู่เฉียนซีนั้นเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเขาก็พลันรู้สึกปวดตาทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ และร่างกายทั้งร่างนั้นก็เหมือนกับว่ากำลังจะหายไปจากโลกนี้ เขาตะลึงค้างและก้มหน้าลงมองไปยังเงาร่างนั้น
คนผู้นั้นมิได้หันตัวกลับมามอง แต่เซียวเหยากลับรู้สึกได้ถึงความคุกคามที่เหมือนดั่งความตายเช่นนี้นั้นที่บุรุษผู้นั้นส่งมา
บุรุษผู้นั้นมีความปรารถนาในการครอบครองอย่างแข็งกล้า อีกทั้งยังดูเหมือนว่านายท่านจะใกล้ชิดกับเขามากกว่าผู้ใดทั้งสิ้น
เซียวเหยาได้สติขึ้นมา ในตอนนี้จะมองดูได้ก็แต่การปรุงยาเท่านั้น ไม่สามารถที่จะมองตัวนายท่านได้
เขารู้ว่าหากยังมองต่อไปอยู่อีกละก็ คาดว่าคงจะมิได้เห็นนายท่านอีกแล้ว
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อเซียวเหยาเก็บเอาสายตาอันเร่าร้อนกลับไป จิ่วเยี่ยก็มิได้สนใจคนตัวน้อยผู้นี้อีกต่อไป
แผ่นหลังของเซียวเหยาเปียกชุ่มไปทั้งหมด เขาหายใจคล่องขึ้นมาในทันใด
เขากล่าวบ่นอยู่ในใจ ‘บุรุษผู้นี้ช่างวางอำนาจบาตรใหญ่ยิ่งนัก ไม่นานนักก็จะสูญเสียความรักไป’
นิรันดร์เคยสอนคนตระกูลเซียวเอาไว้ว่า สาวงามที่มีความปรารถนาในการครอบครองอย่างบ้าอำนาจนั้นจะมิได้รับความรักที่ยาวนาน มีแต่เพียงสาวงามที่ใจกว้างเท่านั้นถึงจะได้รับความโปรดปรานจากนายท่านอย่างยืนยาว
นิรันดร์และมู่เฉียนซี เมื่อพวกเขาทั้งสองร่วมมือกัน มู่เฉียนซีก็รู้สึกได้ว่าการปรุงยานั้นราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง
ไม่นานนักยาเม็ดสีฟ้าปนขาวก็ได้ออกจากหม้อ
มู่เฉียนซีเอ่ยขึ้น “สำเร็จแล้ว”
ยาเม็ดนี้สำเร็จแล้วนั่นหมายความว่าสามารถซื้อเวลาให้อารองไว้ได้หนึ่งปี
นิรันดร์กล่าวอย่างเกียจคร้าน “ครานี้ถูกที่รักบังคับให้ตื่นขึ้นมา ไม่นานนักข้าก็จะเข้าสู่ภาวะหลับไหลอีกแล้ว ที่รักอย่าได้คิดถึงข้าละ”
กล่าวจบมันก็ใช้ความเร็วอย่างสูงสุดมุดเข้าไปในร่างของมัน ถึงแม้ต่อให้ในตอนนี้สามารถที่จะไม่หลับใหลได้ แต่ก็คงต้องหลับเพราะว่าเจ้าตัวประหลาดนั่นกำลังจ้องมองอยู่ตาเป็นมัน
ตอนนี้มีพลังความสามารถเพียงน้อยนิดจะไปคิดกำแหงอะไร รอให้ได้ร่างมนุษย์มาเสียก่อนเถิด ที่รักจะต้องหลงหัวปักหัวปำอย่างแน่นอน เจ้าตัวประหลาดน้อยนี่ไม่เข้าใจเรื่องการทำให้สตรีเพศเบิกบานใจ ไหนเลยจะมาเป็นคู่ต่อสู้เขาได้
ตอนนี้จะต้องรีบฟื้นฟูให้ไวและรีบกลายร่างเป็นร่างมนุษย์ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าตัวประหลาดน้อยเอ๋ย จงรอร้องไห้น้ำมูกโป่งไปเถอะ
นิรันดร์คิดอย่างลำพองใจ
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าไปหลับใหลเถิด แต่ว่าครั้งต่อไปที่เจ้าปรากฏตัวขึ้นมาห้ามมิให้เรียกกล่าวจิ่วเยี่ยเช่นนั้นอีก ชื่อของเขาคือหวงจิ่วเยี่ย”
ตัวประหลาดน้อยอะไรกัน จิ่วเยี่ยหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ เหมือนตัวประหลาดตรงไหน
นิรันดร์ร้องไห้พร้อมกล่าว “ฮือ ๆ ๆ ที่รัก เจ้าไม่รักข้าแล้ว เจ้ากลับเอนเอียงไปทางไอ้ตัว…”
“นิรันดร์!” มู่เฉียนซีกล่าวขัดขึ้น
“แต่เดิมทีมันก็ใช่อยู่แล้วนี่นา ยังจะมาห้ามไม่ให้พูดอีก” นิรันดร์ไม่ยอมฟังความอย่างง่ายดายเช่นนั้น
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าสามารถเรียกจิ่วเยี่ยเช่นนั้นได้ แต่ว่าต่อจากนี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่า เจ้าอัปลักษณ์ เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร?”
“ที่รัก เจ้าใจร้ายนัก เจ้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร” นิรันดร์เศร้าโศกขึ้นมาอย่างสุดแสน
ต้องรู้เอาไว้ว่า สิ่งที่นิรันดร์ให้ความสำคัญและให้ความพอใจที่สุดนั้นก็คือรูปลักษณ์ จะไปให้ผู้อื่นเรียกกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร
ถ้าหากว่าผู้อื่นกล้าเรียกขานเช่นนี้ ฆ่าทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง แต่ว่านี่เป็นเจ้านายตัวน้อย จะไปทำลงได้อย่างไร!
นิรันดร์กล่าว “ข้ารู้แล้ว”
นิรันดร์กลับไปยังมิติพันธสัญญาอย่างหดหู่เพื่อซ่อมแซมหัวใจที่เหมือนดั่งกระจกที่แตกสลายกลายเป็นเพียงเสี้ยวเศษ
มู่เฉียนซีนำยาเม็ดให้มู่เฟิงหลิงกินลงไป ยาเม็ดนี้เมื่อเข้าไปในปากก็ละลายในทันที ไม่นานนักฤทธิ์ของมันก็กระจายไปทั่วทั้งตัว
มู่เฉียนซีจับจุดชีพจร นางสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ในทุกชั่วลมหายใจ
ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร การไหลเวียนของโลหิตทั้งหมดล้วนแต่กลายเป็นปกติขึ้นมา มันปกติเสียจนเหมือนเป็นคนปกติมากกว่าครั้งแรกที่พบกัน
นิรันดร์ออกโรงนั้นมิได้ทำให้ผิดหวังอย่างที่คาดเอาไว้แล้วจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าอารองของตนนั้นนอนหลับเหมือนคนปกติทั่วไป มู่เฉียนซีก็สบายใจแล้ว
นางเพิ่งคิดที่จะลุกขึ้นมาจากข้างกายของมู่เฟิงหลิง แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าทั้งร่างกายนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
เงาร่างสีดำพุ่งผ่านเข้าไป จิ่วเยี่ยได้ดึงมู่เฉียนซีเข้ามาไว้ในอ้อมอก มู่เฉียนซีแนบอิงอยู่ในอกนั้นจึงสามารถฝืนยืนขึ้นมาได้
ร้อน!
ร้อนมากนัก!
มู่เฉียนซีอดไม่ได้ที่จะถูไถอยู่บนตัวของจิ่วเยี่ยที่เย็นยะเยือก การกระทำนี้ทำให้ดวงตาสีฟ้าเย็นของจิ่วเยี่ยนั้นหม่นหมองลงไปอยู่ไม่น้อย
“นายท่าน”
“ซีเอ๋อร์”
“เฉียน”
กู้ไป๋อีเองก็พบว่ามู่เฉียนซีนั้นผิดแปลกไป
ใบหน้านั้นของนางราวกับว่าได้เกิดไฟลุกท่วมขึ้นมาพลันอย่างมิอาจห้ามปรามได้ทันแล้ว
มู่เฉียนซีรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตน เป็นเพราะความอันตรายดังนั้นจึงสะกดยาในร่างกายเอาไว้โดยไม่เกี่ยงวิธี
สะกดเอาไว้มิใช่กำจัดออกไป ดังนั้นแล้วมันจะต้องเปลี่ยนสภาพและสร้างความวุ่นวายเป็นแน่
เดิมทีเวลาที่สะกดเอาไว้ได้ผ่านไปตั้งนานแล้ว แต่เป็นเพราะมู่เฉียนซีเป็นกังวลในตัวมู่เฟิงหลิง และด้วยสติอันแข็งแกร่งนั้นจึงสามารถที่จะสะกดร่างกายของตนเองเอาไว้ได้
มาตอนนี้มู่เฟิงหลิงได้พ้นอันตรายแล้ว สติอันแข็งแกร่งนั้นก็ได้จางหายไป โอสถในร่างกายนั้นจึงได้พุ่งกรูออกมาประหนึ่งเขื่อนกักน้ำพังทลายลง
“ซีเอ๋อร์ เจ้า” กู้ไป๋อีเองก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับมู่เฉียนซี อย่างไรเสียในสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนหน้านั้นเขาก็ควรที่จะ…
นางได้ให้เขากำจัดฤทธิ์โอสถออกไปก่อน แต่เพราะว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในภายหลัง นางจึงมิทันได้ล้างฤทธิ์โอสถให้แก่ตนเอง
กู้ไป๋อีกล่าวขึ้น “ซีเอ๋อร์ รีบไปสระหานซิน”
โอสถเกิดออกฤทธิ์ขึ้นมาอย่างฉับพลัน ช่างดุดันเกินไปนัก
หัวของมู่เฉียนซีนั้นวิงเวียนไปในทันที มันเป็นไปตามสัญชาตญาณของร่างกาย
ร้อน!
ตรงหน้านี้มีก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่สบายเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องลูบคลำให้มากหน่อยถึงจะดี
ยิ่งขยับมือก็พบว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นนี้นั้นช่างเป็นอุปสรรคยิ่งนัก
ทันทีที่มู่เฉียนซีลงมือ แควก! เสื้อผ้าตรงหน้าของจิ่วเยี่ยนั้นก็ได้ถูกมู่เฉียนซีฉีกเป็นชิ้น ๆ มิเพียงแค่ชั้นเดียวเท่านั้น แต่ยังฉีกกระชากต่อไปอีก…
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาวุ่นวายกับการที่มู่เฉียนซีฉีกกระชากเสื้อผ้าอาภรณ์ส่วนบนนั้น จิ่วเยี่ยก็ได้ทำให้ทันหายไปราวกับมีเวทมนตร์
มือของมู่เฉียนซีแนบผิวหนังแล้วกล่าว “เย็นนัก สบายนัก”
จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้เอามือลูบไล้ขึ้นลง
แต่ทว่าในเบื้องลึกของใจนั้นก็กลับยิ่งไม่ค่อยพอใจมากขึ้นไปเรื่อย มู่เฉียนซีแทบอดไม่ได้ที่จะเอาทั้งตัวไปแนบกับจิ่วเยี่ย
ทั้งสองพัวพันกันอยู่เช่นนี้มากขึ้น ๆ เซียวเหยานั้นพบเห็นมามากและรู้สึกชินชาเป็นปกติธรรมดา
อินรั่วเฉินพึมพำขึ้น “ไม่มองความชั่วร้าย ไม่มองความชั่วร้าย” และหันหน้าหนีไป
ทั้งตัวของกู้ไป๋อีนั้นราวกับน้ำแข็งแกะสลัก ในใจนั้นมีความเดือดดาลอย่างล้นพ้นและอยากที่จะฆ่าคนผู้อยู่ตรงหน้านี้ให้ตายไปภายในกระบี่เดียว
ถึงแม้ว่าในตอนนี้ซีเอ๋อร์จะไร้สติ แต่เขาก็สามารถทำให้ซีเอ๋อร์เข้าใกล้ชิดโดยไร้ซึ่งการป้องกันเช่นนี้ได้ มันก็ยังคงทำให้ใจของเขาเจ็บราวกับถูกเพลิงเผาอยู่ดี
กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ราชาจิ่วเยี่ย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะฉวยโอกาส รีบพาซีเอ๋อร์ไปสระหานซินเพื่อถอนฤทธิ์ยาเสน่ห์เถอะ”
.