หลังจากที่ฤทธิ์ของผลนั้นหมดลง มู่เฉียนซีก็เหน็ดเหนื่อยจนหมดเรี่ยวแรงแล้ว
ก่อนหน้านี้บอกว่าจะกินจิ่วเยี่ยให้ได้ แต่ตอนนี้ตัวเองกลับมาเป็นฝ่ายถูกกินไปซะเอง!
ดวงวิญญาณของมู่เฉียนซีเข้าสู่การหลับใหล ดวงวิญญาณได้รับความพึงพอใจแล้ว ร่างกายก็น่าจะดีขึ้นแล้วกระมัง!
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉียนซีนั้นคิดในแง่ดีเกินไป!
แม้ว่าดวงวิญญาณจะหลับใหล แต่ฤทธิ์ยาในร่างของนางก็ยังคงมีอยู่ ร่างกายเกือบจะไปพัวพันกับจิ่วเยี่ยโดยสัญชาตญาณ ทำให้จิ่วเยี่ยที่ตื่นขึ้นมาเกือบจะต้องการนางอีกครั้งแล้ว
ไม่นานนักเขาก็ได้สติ และร่างที่กำลังจะพัวพันเขาอยู่ตรงหน้าก็คือร่างของซี
แต่ร่างกายของเขามีคำสาปที่ชั่วร้ายที่สุดอยู่
โชคดีที่จื่อโยวได้ทำการบ้านให้ฝ่าบาทตัวเองมาเป็นอย่างดี ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้ จิ่วเยี่ยจึงสามารถใช้วิธีอื่นกำจัดฤทธิ์ยานั้นให้มู่เฉียนซีได้
มู่เฉียนซีหลับสบายมาก แต่จิ่วเยี่ยกลับอนาถมาก!
เดิมทีแค่คำสาปนี้ก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว นี่ต้องมาต้านทานการยั่วยวนบ้า ๆ นี่ของมู่เฉียนซีอีก มันไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทนได้เลย
แต่เมื่อได้เห็นนางไม่ต้องเจ็บปวดทรมานอีก ความเจ็บที่เขาได้รับมาทั้งหมดนั้น มันก็นับว่าคุ้มค่าที่จะต้องแลก
มู่เฉียนซีนอนหลับอย่างสบายไปครู่ใหญ่ และทันทีที่นางลืมตาตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นดวงตาอันขุ่นมัวที่น่าตกใจของจิ่วเยี่ย
จิ่วเยี่ยกอดนางเอาไว้และกล่าวว่า “อย่าขยับ ฤทธิ์ยาคงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว”
มู่เฉียนซีก็รู้ดีว่าจิ่วเยี่ยเองคงอดทนมาถึงที่สุดแล้ว ไม่รู้ว่าเขากินยาหัวใจโพธิ์ไปมากเท่าไหร่แล้ว
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า “ข้าดีขึ้นมากแล้วล่ะ พาข้าไปที่สระเย็นเถอะ ข้าจัดการเองได้”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของจิ่วเยี่ยแล้ว นางจะโกรธการกระทำอันวู่วามของเขาหลังจากใช้ผลฝันในฤดูใบไม้ผลิได้อย่างไรกันเล่า
“อืม!”
ถึงแม้ว่ายังอยากจะใกล้ชิดต่อ แต่จิ่วเยี่ยก็รู้ดีว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ทุกอย่างมันจะเสียการควบคุม
หลังจากที่มู่เฉียนซีปรุงยาเสร็จ นางก็กล่าวกับจิ่วเยี่ยว่า “เจ้าก็ลงไปแช่ด้วย!”
ดวงตาของจิ่วเยี่ยเผยความอันตรายออกมา “เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะให้ข้าลงไป?”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “แน่ใจ แต่ตอนนี้ข้าดีขึ้นและมีสติมากขึ้นแล้ว องค์ชายจิ่วเยี่ย หากเจ้ากล้าลงมือกระทำอย่างผลีผลามอีกละก็ ข้าก็กล้าที่จะทำให้เจ้ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์…”
ในขณะที่มู่เฉียนซีกล่าวอยู่นั้น ริมฝีปากของจิ่วเยี่ยก็ยื่นมาสัมผัสกับใบหูนางแล้ว “ซีจะถีบหัวส่งข้า!”
“ข้าจะถีบหัวส่งแล้วเจ้าจะทำไม เจ้าฉวยโอกาสในตอนที่สถานการณ์คับขัน เจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าหรอกนักหรอก”
เมื่อนึกถึงตอนที่ดวงวิญญาณของทั้งสองพัลวันกันอย่างไม่ยอมอ่อนข้อในห้วงแห่งความฝันนั้น ถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่ได้สัมผัสกัน แต่ทันทีที่นึกถึงความรู้สึกนั้นนางก็รู้สึก…
มู่เฉียนซีหายใจถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ต้องรู้เอาไว้เลยว่าดวงวิญญาณนั้นมีความรู้สึกไวกว่าร่างกายมาก จะทนได้อย่างไรกันเล่า…
จิตใจของมู่เฉียนซีไม่อาจสงบลงได้อีกต่อไป ครั้นแล้วนางจึงกระโดดลงไปในสระเย็น
“หากเจ้าอยากดันทุรังฝืนตัวเองไม่ลงมาก็แล้วแต่เจ้า”
ไม่นานนัก จิ่วเยี่ยก็ย่างเท้าเดินลงไป และกอดมู่เฉียนซีเอาไว้ในอ้อมอก
“ในเมื่อซีอยากให้ข้าลงมา ข้าก็ต้องลงอยู่แล้ว”
ยาที่มู่เฉียนซีปรุงออกมานั้นได้ผลดีมาก ถึงแม้ว่าความกระสับกระส่ายของร่างนั้นจะถูกยับยั้งเอาไว้ได้แล้ว แต่หัวใจสองดวงของทั้งสองก็ยังคงเต้นแรง ตึก ตึก อยู่ดี
ณ วินาทีนี้ดูเหมือนว่าจะนิ่งและสงบลง!
ทั้งสองจ้องมองตากันครู่หนึ่ง จิ่วเยี่ยยื่นหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากของมู่เฉียนซี ทั้งสองพัวพันกันอีกครั้ง พัลวันกันอย่างไรก็ไม่เพียงพอ
ขยี้จูบกันอย่างเร่าร้อนจนแทบจะหายใจไม่ออก จนกระทั่งจิ่วเยี่ยพบว่ามู่เฉียนซีได้ผล็อยหลับไปแล้ว
อันที่จริงแล้วคือมู่เฉียนซีเหนื่อยมาก และจิ่วเยี่ยเองก็พยายามคิดหาวิธีอยู่นานกว่าจะได้ผลลัพธ์นี้
สองแขนของจิ่วเยี่ยกักขังร่างของมู่เฉียนซีเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น จากนั้นเขาก็หลับไปเช่นกัน
บรรยากาศรอบบริเวณเงียบสงบเป็นอย่างมาก และทั่วทั้งเหวพิษของตระกูลเซียวก็เงียบสงบราวกับป่าช้า
มู่เฉียนซีก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อนางตื่นลืมตาขึ้นมา อัสดงก็ได้ลาลับเส้นขอบฟ้าไปแล้ว
มู่เฉียนซีมองดูคนที่กอดร่างของนางเอาไว้แน่น จิ่วเยี่ยที่กำลังหลับอยู่ช่างน่าปกป้องยิ่งนัก อยู่กับมู่เฉียนซี เขาไม่เตรียมป้องกันตัวแต่อย่างใดเลย
มู่เฉียนซีมองดูเขาจนรู้สึกหลงใหลขึ้นอีกเล็กน้อย ดูเหมือนราวกับว่านางถูกมนต์สะกดอันทรงพลังทำให้นางหลงใหลก็มิปาน
นางขยับเข้าไปใกล้ และในขณะที่ขยับนั้น ริมฝีปากของนางก็ได้สัมผัสกับริมฝีปากอันสมบูรณ์แบบนั้นของเขา มันแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันเย็นยะเยือก แต่กลับทำให้รู้สึกละโมบต้องการจะแย่งชิงมา
เซียวเหยามองไปที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องของมู่เฟิงหลิงในตอนนี้ เขาเหมือนกับประติมากรรมน้ำแข็งที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
เซียวเหยาถอนหายใจออกมาด้วยความทอดถอนใจ เขาไม่เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของชายผู้นี้เลย
คำสอนของตระกูลเซียวนั้น มีเพียงแค่ความปรารถนาเท่านั้น ไม่ให้มีความรัก!
ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดบรรพบุรุษตระกูลเซียวของพวกเขาถึงได้สอนเช่นนี้ เพราะหากเกิดความรักขึ้นแล้ว ต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะต้องถูกทรมานอย่างตายทั้งเป็น และความรักจะเป็นจุดอ่อนและเป็นสิ่งที่อ่อนแอยิ่งกว่าสัตว์น้อยผู้อ่อนแอเสียอีก
ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้จะเป็นคนที่ฆ่าล้างตระกูลเซียวของเขา แต่เซียวเหยาก็ยังรู้สึกสงสารเขาเล็กน้อย
เซียวเหยากล่าว “ข้าเจอเหล้าพันปีหลายไหที่อุโมงค์เก็บเหล้าของตระกูลเซียว หัวหน้าตำหนักเป่ยหานสนใจจะดื่มสักจอกหรือไม่?”
เคยได้ยินมาว่าเหล้าสามารถคลายความทุกข์ได้!
กู้ไป๋อีตอบกลับไปว่า “ซีเอ๋อร์ให้ข้าเฝ้าเขาไว้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดใดไม่ได้เด็ดขาด ดื่มเหล้าไม่ได้”
“เจ้า…” เซียวเหยาหมดคำพูดจริง ๆ
เขาบ่นพึมพำเสียงเบาว่า “หัวหน้าตำหนักเป่ยหาน ช่างน่าเบื่อเสียจริงเลย”
ในเมื่อเขาอยากจะยืนลำบากอยู่ตรงนี้ก็ปล่อยเขาไปก็แล้วกัน!
อันที่จริงแล้ว ผู้ที่เฝ้าอยู่ตรงนี้ไม่ใช่แค่กู้ไป๋อีเท่านั้น แต่ยังมีชิงอิ่งด้วย
แม้ว่ามู่เฉียนซีจะไม่ได้สั่งให้เขาเฝ้าอยู่ที่นี่ ในฐานะที่เป็นหุ่นเชิด ตามสัญชาตญาณควรจะเฝ้าอยู่ไม่ห่างกายเจ้านาย แต่…
เมื่อเห็นนางกับจิ่วเยี่ยสนิทสนมกันถึงเพียงนั้น ในใจของเขาก็มีเพียงความคิดเดียวนั่นก็คือหนีไปให้ไกล จะได้ไม่เห็นอะไรเลย นั่นเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว
เขาเป็นเพียงหุ่นเชิด แต่เป็นหุ่นเชิดที่มีหัวใจ เมื่อเห็นภาพบาดตาบาดใจเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดจนยากที่จะยอมรับได้
ต่อให้เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งมากเพียงใดกระทบลงบนร่างของเขา มันก็ไม่อาจเทียบกับความเจ็บปวดนั้นได้เลย
ไม่อาจอยู่ข้างกายนางได้ ไม่กล้าอยู่ข้างกายนาง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะมาเฝ้าญาติสนิทคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนางเช่นนี้
“นี่เป็นของของตระกูลเซียวเหรอ?” เซียวเหยาเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่งและพบว่าห้องที่แพรวพราวไปด้วยเสน่ห์มาโดยตลอดของตระกูลนี้ถูกปรับแต่งให้เป็นห้องพระห้องหนึ่งเสียแล้ว
ห้องพระที่ส่องแสงอันศักดิ์สิทธิ์ออกมา!
อินรั่วเฉินคุกเข่าอยู่บนอาสนะทรงกลมกำลังร่ายบทสวดมนต์ ราวกับว่าเขาไม่สนใจทุกสิ่งอย่างที่อยู่บริเวณโดยรอบก็มิปาน
เซียวเหยาพึมพำ ดูท่านอกจากเขาแล้วก็มีพระผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องรูปนี้นี่แหละที่สงบที่สุดแล้ว
สามวันผ่านไป…
สามวันแล้วนายท่านยังไม่กลับมาอีก นายท่านช่างกล้าหาญเกินไปแล้ว!
คาดว่าชายผู้นั้นคงจะหมดแรงจนเดินไม่ไหวแล้วเป็นแน่!
ในขณะเดียวกัน มู่เฉียนซีที่กำลังแอบจูบจิ่วเยี่ย ความจริงจิ่วเยี่ยตื่นแล้ว แต่เขาแค่ยังปิดตาอยู่ก็เท่านั้นเอง
เขาขยับเข้าใกล้นาง สูดดมกลิ่นอายบนเรือนร่างของนางอย่างตะกละตะกลาม ซึ่งมันทำให้เขาหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีจับเส้นชีพจรของจิ่วเยี่ย นางพึมพำว่า “ครั้งนี้นับว่าดี ไม่ได้ทำให้ร่างแบกรับอะไรหนัก ๆ คำสาปก็ไม่ได้กำเริบออกมา”
มู่เฉียนซีก็นึกไม่ถึงว่าหลังจากกล่าวจบ เมื่อหันกลับมาก็เห็นดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นแล้ว
จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “ในเมื่อข้าไม่เป็นไร งั้นก็…”
จิ่วเยี่ยยื่นหน้าเข้าใกล้มู่เฉียนซี นางจึงเอ่ยขัดขึ้นมาทันใด “เจ้าไม่เป็นไร แต่ข้าเป็น!”
“เห็น ๆ กันอยู่ว่าซีทวงหนี้เกินไป ตกลงไม่คิดจะคืนเหรอ?”
สีหน้าของมู่เฉียนซีดำคล้ำขึ้นแล้ว เอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว!
นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าหมอนี่ยังจะคิดบัญชีกับนางอีก “เห็น ๆ กันอยู่ว่าคนที่ทำเกินไปคือเจ้า!”
“แต่ซีเป็นคนเริ่มก่อนนะ!”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีไว้แน่น “ซีไม่ต้องอาย!” กล่าวจบก็ก้มลงไปจูบนางอีกครั้ง แม้ว่าสระเย็นนี้จะเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก แต่มันก็ไม่สามารถต้านทานความรักอันร้อนแรงของจิ่วเยี่ยได้
.
.