จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น “ซีกล้าทำ แต่ไม่กล้ายอมรับ!”
แต่นางไม่เคยทำเช่นนั้นจริง ๆ นะ! มู่เฉียนซีเป็นผู้บริสุทธิ์
ในตอนนี้เอง น้ำเสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของนาง
“ซีเอ๋อร์ วันนั้นข้ารู้สึกได้ว่าร่างกายของเจ้าผิดปกติ ในใจเจ้ากำลังเรียกหาแต่จิ่วเยี่ย ข้าก็เลยส่งจิ่วเยี่ยมา”
แม้ว่านางจะพยายามยับยั้งอย่างสุดชีวิต แต่ร่างกายกับความคิดภายในใจของนางกลับส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจกับผู้ทำพันธสัญญา
ชั่วครู่หนึ่งสีหน้าของมู่เฉียนซีราวกับถูกแผดเผาขึ้นทันที สุ่ยจิงอิ๋งจะไม่เข้าใจความคิดเดิมของนางได้อย่างไรกันเล่า
มู่เฉียนซีกล่าว “สุ่ยจิงอิ๋งเป็นคนให้เจ้ามา ไม่ใช่ข้า…”
จิ่วเยี่ยขยับตัวเข้าใกล้นางพลางกล่าว “หากในใจของซีไม่ได้คิดถึงข้ามาก ผู้เป็นพันธสัญญาของเจ้าก็คงจะไม่เกิดความรู้สึกร่วมด้วย ซียังอยากจะเถียงข้าง ๆ คู ๆ อยู่อีกหรือไม่?”
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวขึ้นไปทุกขณะ สุดท้ายก็ถูกจิ่วเยี่ยกดร่างของนางลงบนเตียง และกดทับสองมือของนางเอาไว้
ใบหน้าอันหล่อเหลาที่เย็นยะเยือกนั้นของจิ่วเยี่ยขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซี ดวงตาคู่นั้นดูอันตรายและลุกโชนไปด้วยเปลวไฟอันแรงกล้า
เขาค่อย ๆ เอ่ยปากกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ข้าดีใจมาก ที่สถานการณ์เช่นนั้นซีคิดถึงข้า คิดถึง แต่ข้า…”
เขาขยี้จูบลงไปบนริมฝีปากอันแดงระเรื่อนั้น ช่างเร่าร้อนเป็นอย่างยิ่ง และแฝงไปด้วยความปีติยินดีอย่างสุดจะพรรณนา กัดเซาะคนตรงหน้า…
เสื้อผ้ากระเพื่อมเข้าออก และความกระตือรือร้นนั้นที่มู่เฉียนซีไม่สามารถปฏิเสธได้ พัลวันกันจนถึงที่สุด…
มู่เฉียนซีเหน็ดเหนื่อยจนหลับไป แต่จิ่วเยี่ยก็ยังไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งมู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงจ้องเขาเขม็ง “จิ่วเยี่ย เจ้า…”
“คิดถึงข้าแล้วเหรอ…” เขาก้มลงไปจูบผิวอันบอบบางขาวดุจดั่งหยกของนาง
มู่เฉียนซีรีบกล่าว “ไม่…อือ…”
จิ่วเยี่ยใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่ยอมให้นางปฏิเสธได้เลย จึงใช้เคล็ดวิชา ‘ปิดกั้น’ เอาไว้…
การปล่อยของจิ่วเยี่ยทำให้มู่เฉียนซีที่อึดอัดรู้สึกผ่อนคลายลง
ร่างกายนางถูกทรมานจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก
ครั้งนี้มู่เฉียนซีหลับไปแล้วจริง ๆ จิ่วเยี่ยจูบลงบนดวงตาที่กำลังปิดอยู่ของมู่เฉียนซี จูบลงไปที่จมูก ปาก กระดูกไหปลาร้า…
ยิ่งจูบ รสชาติของนางก็ยิ่งทำให้เขาไม่อาจหักห้ามใจให้จากไปได้ ทำให้เขาอาลัยอาวรณ์ที่จะจากไปเป็นอย่างยิ่ง!
ดวงตาคู่นั้นยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง!”
ลำแสงสีฟ้าอ่อนเปล่งประกายขึ้น เปิดมิติทางเดินและส่งจิ่วเยี่ยกลับไป!
ส่วนมู่เฉียนซีก็หลับสนิทตลอดคืน ไร้ซึ่งความฝันใด
เช้าวันต่อมามู่เฉียนซีลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าบนร่างกายยังคงหลงเหลือร่องรอยและกลิ่นอายอันคุ้นเคยนั้นอยู่ แต่นางรู้ว่าจิ่วเยี่ยได้กลับไปแล้ว
จิ่วเยี่ยบอกว่าได้ข่าวของเผ่าหงส์แล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าโอกาสที่จะตามหาคัมภีร์หมื่นคำสาปอีกส่วนหนึ่งของเผ่าหงส์เจอมันก็ใกล้เข้ามาแล้ว
สักวันหนึ่ง จิ่วเยี่ยจะหลุดพ้นจากคำสาปอันน่ากลัวนั้นได้ และนางก็จะเก็บค่าตอบแทนในการรักษาเขาอย่างแน่นอน
หลังจากพัลวันกับจิ่วเยี่ยมาอย่างบ้าคลั่งทั้งคืน นางก็รู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อย และทำให้นางสงบลงมาก
ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะหนีไป แต่อย่างไรเสีย เขาก็รู้ว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ในกำมือของนาง เว้นเสียแต่เขาจะยอมตัดใจไม่อยากได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้วเท่านั้น เขาถึงจะไม่เคลื่อนไหวใด ๆ
“คิดหาทางจัดเตรียมที่อยู่ให้อารองก่อน! พาอารองไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย” มู่เฉียนซีพึมพำ
แต่ดูเหมือนว่าแดนเหนือจะไม่มีสถานที่ที่ปลอดภัยอย่างว่า และคาดว่ามีเพียงสถานที่เดียวเท่านั้น นั่นก็คือเซี่ยโจว ดินแดนแห่งการหลับใหล
มู่เฉียนซีคิดว่าสถานที่แห่งนั้นไม่เลวเลย มีความปลอดภัยพอ และในขณะที่นางเตรียมจะให้หอฉงโหลวบนเมฆาไปส่งพวกเขากลับไปนั้น เซียวเหยาก็กล่าวว่า “นายท่าน ท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหานมา”
“เสี่ยวไป๋มาแล้วเหรอ!”
กู้ไป๋อียังคงสวมชุดสีขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเย็นยะเยือกดุจดั่งรูปปั้นประติมากรรมหิมะอันงดงาม เย็นยะเยือกจนทำให้ผู้คนไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้
มู่เฉียนซีเอ่ยปากกล่าวว่า “เจ้ามาแล้ว!”
กู้ไป๋อีกล่าว “ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่มีข่าวความคืบหน้าใดเลย เกรงว่า…”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ารู้อยู่แล้วว่าตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นมันจับตัวยาก หากเขาต้องการมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ก็ต้องมีความเคลื่อนไหวแน่นอน ในตอนที่ตามหาตัว ก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของกองกำลังใหญ่ ๆ ในดินแดนสี่ทิศด้วยก็แล้วกัน”
“อืม!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ ข้าคิดว่าข้าจะกลับไปถิ่นของข้า จัดหาที่อยู่ให้อารองให้เรียบร้อย เจ้ารอข้ากลับมา”
กู้ไป๋อีกล่าว “จัดหาที่อยู่ให้มู่เฟิงหลิง ตำหนักเป่ยหานของข้ามีอยู่ที่หนึ่ง จัดเป็นที่อยู่ให้เขาได้ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ต่อให้ตำหนักเป่ยถูกทำลายล้าง ก็ไม่มีใครสามารถแตะต้องที่แห่งนั้นได้ ที่นั่นคงจะเป็นที่ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ถึงแม้ว่าจะมีหอฉงโหลวบนเมฆาเป็นยานพาหนะนำทางใช้เวลาไม่นาน แต่หากมีที่ที่ใกล้และปลอดภัย นางย่อมยินดีอยู่แล้ว เช่นนี้นางก็สามารถมีเวลาไปดูแลอารองได้
“สถานที่ปลอดภัยที่เสี่ยวไป๋ว่า มันต้องไม่เลวเป็นแน่ รอให้ข้าจัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จ ข้าจะไปตำหนักเป่ยหานกับเจ้า!”
“อืม!”
ในลานบ้านภายในเมืองเล็ก ๆ ของแดนตะวันออก ชายหนุ่มผู้หนึ่งลืมตาขึ้นมา แววตาคู่นั้นเผยลำแสงอันน่าทึ่งออกมา
เขาลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย โคจรพลังวิญญาณขึ้น และกล่าวด้วยความพึงพอใจว่า “ร่างสำรองที่ข้าได้เตรียมเอาไว้นี้ ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ ความแข็งแกร่งก็เหมาะเจาะพอดี”
“กู้ไป๋อี มู่เฉียนซี แล้วก็คนผู้นั้น…” เขานึกถึงชายผู้น่ากลัวผู้นั้น คนผู้นั้น เขาไม่สามารถต้านทานได้เลย
แต่จะปล่อยให้พวกมันกำเริบเสิบสานต่อไปเช่นนี้เหรอ ไม่มีทาง!
เขาเอาป้ายหยกแผ่นหนึ่งออกมา บนแผ่นหยกนั้นสลักคำสองคำอยู่ นั่นก็คือ ‘เป่ยกง’
เขาถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปในนั้น และน้ำเสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “มีอันใด?”
“ฝ่าบาท ข้าน้อยสมควรตายขอรับ! แต่ได้โปรดฝ่าบาทช่วยข้าน้อยด้วย”
ตุบ! ในขณะที่กล่าวนั้น เขาก็คุกเข่าลง
“เจ้าปิดบังอะไรข้า?” ในน้ำเสียงอันอ่อนโยนนั้นแฝงอันตรายอยู่
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “เมื่อสิบปีก่อน ข้าน้อยเจอคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสคนหนึ่ง และเก็บเขามา จากนั้นจึงพบว่าเขาคือมู่เฟิงหลิง น้องชายของมู่เฟิงอวิ๋น ข้าน้อยใช้วิชาลับควบคุมเขา คิดจะใช้เขาเป็นเหยื่อล่อมู่เฟิงอวิ๋น เพื่อสำเร็จภารกิจอันใหญ่หลวง”
“แต่คิดไม่ถึงว่าในการแย่งชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ในครั้งนี้ การควบคุมของข้าน้อยจะไร้ผลเพราะเขาต้องการปกป้องสาวน้อยคนหนึ่ง และข้าน้อยก็ได้รู้ว่าสาวน้อยผู้นั้นคือบุตรสาวของมู่เฟิงอวิ๋น”
“แถมสาวน้อยผู้นั้นยังเป็นผู้ที่ครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ และนางยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ข้างกาย แถมความแข็งแกร่งของเขาผู้นั้นก็ยังแข็งแกร่งกว่าท่านหัวหน้าตำหนักอีกด้วย ข้าน้อยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เกือบจะถูกเขาฆ่าตาย ข้าน้อยพยายามอย่างสุดชีวิตกว่าจะหนีเอาตัวรอดออกมาได้ และตอนนี้ท่านหัวหน้าตำหนักก็ประกาศจับตัวข้าน้อยไปทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศ ข้าน้อยไม่มีที่ไปแล้ว จึงทำได้เพียงต้องมาขอร้องอ้อนวอนฝ่าบาท”
คนผู้นั้นกล่าวถามว่า “บุตรสาวของมู่เฟิงอวิ๋น แถมยังครอบครองมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ด้วย ข้าชักจะสนใจซะแล้วสิว่านางเป็นใคร”
“สาวน้อยผู้นั้นชื่อมู่เฉียนซี นางเคยปลอมตัวมาเป็นประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานด้วย นั่นก็คือมู่หรงเฉียนเยี่ย แถมท่านหัวหน้าตำหนักก็ดีกับนางมากอย่างน่าประหลาดใจ”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” เขากล่าวอย่างเชื่องช้า
“ข้าน้อยจงรักภักดีต่อฝ่าบาทเสมอมา ได้โปรดฝ่าบาทช่วยข้าน้อยด้วย” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวขอร้องอ้อนวอน
“เขาต้องการฆ่าเจ้า หากเจ้าอยากมีชีวิตรอด เจ้าก็ต้องซ่อนตัวอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็น และต่อให้ข้าส่งคนไปปกป้องเจ้า เจ้าก็กลับไปยังตำหนักเป่ยหานไม่ได้อีกแล้ว”
“แต่ว่า ขะ ข้าน้อย…”
เขาเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดผู้ยิ่งใหญ่แห่งตำหนักเป่ยหาน ตอนนี้กลับต้องมาอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย เขาจะอยู่อย่างสบายใจได้อย่างไรกันล่ะ!
และเขาต้องการจับตัวสาวน้อยผู้นั้นมาให้ได้ และต้องแย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาครอบครองให้จงได้
“ด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าไปที่ตำหนักตงจี๋ก่อนก็ได้ ยืมมือของคนตำหนักตงจี๋เพื่อบรรลุเป้าหมายของเจ้า และหากว่าเจ้าสามารถควบคุมตำหนักตงจี๋เอาไว้ในกำมือเจ้าได้ ข้ามีรางวัลให้เจ้าอย่างแน่นอน”
ดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดเปล่งประกายขึ้น “ขอบพระคุณฝ่าบาทที่ชี้แนะหนทางสว่างให้ข้าน้อย”
ลำแสงบนแผ่นหยกนั้นได้อันตรธานหายไป แววตาอันยกย่องชื่นชมของผู้อาวุโสสูงสุดก็จางหายไปด้วย
ตำหนักตงจี๋เหรอ?
มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีกลับมาถึงตำหนักเป่ยหานแล้ว แต่ทันทีที่กลับมาถึง กู้ไป๋อีก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ รอข้าที่นี่ เดี๋ยวข้ากลับมา”
.