ตอนที่ 710 เพื่อนของอิ๋งจื่อจินจะธรรมดาได้เหรอ
คำพูดสั้นๆ ไม่เบาไม่ดังเกินไป ได้ยินกันทั้งห้องทดลองพอดี
บรรดาสมาชิกกลุ่มบีต่างก็อึ้ง
เยี่ยซือชิงตะลึง พูดตะกุกตะกัก “ระ รุ่นน้องอิ๋ง…”
ทำโปรเจ็กต์ด้วยกันมานานขนาดนี้ เยี่ยซือชิงรู้ว่าอิ๋งจื่อจินนิสัยห้าว
แต่เธอนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพอรุ่นน้องอิ๋งของพวกเขากลับมาก็ห้าวใส่มั่วเฟิง
มั่วเฟิงเป็นใคร
อาจารย์อันดับหนึ่งของคณะวิศวกรรมศาสตร์
นอกจากคณบดีนอร์แมนกับพวกรองคณบดีแล้ว มั่วเฟิงก็มีอำนาจมากที่สุด
อีกทั้งมีนักเรียนที่ไหนกล้าพูดกับอาจารย์แบบนี้ด้วยเหรอ
มั่วเฟิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
เขาจำอิ๋งจื่อจินได้ แถมยังจำได้ดี
แต่สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะใบหน้าที่สวยเด่นของเธอ
พออิ๋งจื่อจินเข้าคณะมา ประเด็นสนทนาเกี่ยวกับเธอในคณะวิศวะก็ไม่เคยลดลง
อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรให้จดจำ
เดิมทีมั่วเฟิงคิดว่าอิ๋งจื่อจินสอบเข้ามาได้เป็นอันดับหนึ่ง ความรู้กับความสามารถในทางปฏิบัติคงไม่ด้อย
แต่เขาก็ตามบิลมาที่ห้องทดลองหลายครั้ง
ในช่วงที่มาหลายครั้งนั้น ถ้ามั่วเฟิงไม่เห็นอิ๋งจื่อจินเล่นคอมพิวเตอร์ก็เห็นกำลังพักผ่อนอยู่
สมาชิกคนอื่นๆ ประกอบชิ้นส่วน แต่ไม่เคยเห็นอิ๋งจื่อจินลงมือทำเลยสักครั้ง
ผลสอบถูกเก็บเป็นความลับมาตลอด มีแค่คณบดีนอร์แมนเท่านั้นที่รู้
แต่ถ้าผลสอบดีมาก คณบดีนอร์แมนก็จะเรียกอาจารย์เก่งๆ ไปแล้วเอาผลสอบของจริงให้ดู เพื่อถามพวกเขาว่าต้องการรับเป็นศิษย์ไหม
ตอนนั้นที่มั่วเฟิงรับบิลเป็นศิษย์ได้ก็เพราะแบบนี้
แต่ครั้งนี้ไม่เห็นคณบดีนอร์แมนมีท่าทีอะไร
นี่ก็แสดงว่าผลสอบของนักศึกษารุ่นนี้ไม่มีใครถึงแปดสิบห้าคะแนน
“ลงมือหรือเปล่า” ดวงตาของมั่วเฟิงฉายแววไม่พอใจ “ถ้าลงมือก็ไปปรับทัศนคติด้วยกัน”
“อาจารย์มั่วเฟิงคะ!” เยี่ยซือชิงร้อนใจ “รุ่นน้องอิ๋งไม่ได้ลงมือค่ะ ไปดูกล้องวงจรปิดเลยก็ได้ เธอจะเป็นคนส่งโปรเจ็กต์ให้ค่ะ”
เยี่ยซือชิงพูดพลางขยิบตาให้อิ๋งจื่อจิน
“งั้นเหรอ” มั่วเฟิงพูด “เห็นเธอเป็นแบบนี้ ถึงขั้นกล้าเถียงผม ไม่เหมือนคนที่มีความอดทน”
“พอดีเลย” อิ๋งจื่อจินหันหน้าเล็กน้อย “ฉันดูท่าทางของคุณก็ไม่เหมือนอาจารย์อันดับหนึ่งของคณะวิศวะเหมือนกัน”
มั่วเฟิงสีหน้าเปลี่ยนทันที บึ้งตึงลงในชั่วพริบตา
“เป็นอาจารย์ของคณะวิศวะ ย่อมรู้ว่าคณะวิศวะกับคณะพันธุศาสตร์เขม่นกันมานาน พอเกิดเรื่องก็ไม่ถามต้นสายปลายเหตุให้ชัดเจนก่อน ไม่ปกป้องนักศึกษาของคณะวิศวะ กลับช่วยคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์ลงโทษพวกเรา” สีหน้าของอิ๋งจื่อจินเย็นชา พูดเสียงแข็ง “ช่างเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่สู้ไปอยู่คณะนั้นดีกว่าไหม พวกเขาน่าจะยินดีต้อนรับคุณ”
“…”
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องทดลอง
นักศึกษาชายอึ้งไปหลายวินาที เกาหัวแกรกๆ “รุ่นพี่เยี่ย ครั้งแรกเลยนะที่ได้ยินรุ่นน้องอิ๋งพูดอะไรยาวๆ แบบนี้”
กลุ่มเอที่เดินมาถึงหน้าห้องพอดีต่างตะลึง
บิลตกใจช็อกมาก
นับตั้งแต่อิ๋งจื่อจินเล่นงานพวกนักศึกษาระดับสูงของคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์จนน่วม เธอก็รู้ว่าอิ๋งจื่อจินใจกล้ามาก
แต่เธอไม่คาดคิดว่าอิ๋งจื่อจินจะใจกล้าได้ถึงขั้นนี้
“คุณหนูบิล คราวนี้เธอไม่รอดแน่ครับ” หลังจากสวีจิ่งซานหายตะลึงก็ทำหน้าสะใจ “กล้าสั่งสอนแม้แต่อาจารย์มั่วเฟิง ต้องโดนไล่ออกแน่ๆ!”
ถูกย้อนให้แบบนี้ มั่วเฟิงรู้สึกเสียหน้าแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาแสยะยิ้ม “แค่นักศึกษาไม่กี่คน ผมไม่อยากเสียเวลาพูดมาก พวกคุณต้องรับการปรับทัศนคติ”
“ส่วนคุณ หยามเกียรติอาจารย์ หยุดพักกิจกรรมทุกอย่างในคณะวิศวะชั่วคราว ต้องถูกคุมประพฤติ!”
เขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะจัดการนักศึกษาแค่ไม่กี่คนไม่ได้
อำนาจของอาจารย์อยู่ไหน
“หยามเกียรติเหรอ” อิ๋งจื่อจินกอดอก พยักหน้าเบาๆ “ฉันก็แค่พูดเรื่องที่คุณทำ คุณนี่ตลกดีนะ”
เยี่ยซือชิงเอามือปิดหน้า “แย่แล้ว…”
มั่วเฟิงโมโหยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง
เขากดปุ่มบนนาฬิกาข้อมือ “เจ้าหน้าที่คุ้มกัน เข้ามาตอนนี้…”
เขายังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงคนแก่ดังขึ้น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
มีเสียงฝีเท้าเดินมา
ชายชราค่อยๆ เดินเขามาในห้องทดลองแล้วกวาดตามอง “นี่จะทำอะไรกัน”
มั่วเฟิงตกใจ พูดอย่างนอบน้อม “ท่านคณบดีนอร์แมน”
แต่ในใจของเขากลับเกิดความสงสัย
แต่ไหนแต่ไรคณบดีนอร์แมนไม่ค่อยอยู่ในคณะวิศวะ เวลาส่วนใหญ่จะขังตัวเองทำการทดลอง ทำไมวันนี้อยู่ๆ ถึงมาที่ห้องทดลองของนักศึกษาได้ล่ะ
“คณบดีนอร์แมนครับ นักศึกษาพวกนี้ไม่เชื่อฟัง ผมกำลังจะพาพวกเขาไปอบรมครับ” มั่วเฟิงตอบ “แล้วก็คนนี้ เธอดูถูกหยามเกียรติของอาจารย์ ต้องถูกคุมประพฤติครับ”
ถูกคุมประพฤติไม่ต่างจากไล่ออก
คณบดีนอร์แมนไม่ตอบทันที แต่หันไปมองอิ๋งจื่อจิน “อย่างนั้นเหรอ”
อิ๋งจื่อจินเล่าเรื่องให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการใส่สีตีไข่ใดๆ ทั้งสิ้น
คณบดีนอร์แมนฟังจบก็มีสีหน้าเย็นชาลง สายตาของเขากลับไปที่มั่วเฟิงอีกครั้ง “อาจารย์มั่วเฟิง ทางคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์ให้คุณมาเหรอ”
มั่วเฟิงอึ้ง ยังไม่ค่อยเข้าใจ “ท่านคณบดีนอร์แมน?”
“ไม่ใช่เหรอ” คณบดีนอร์แมนพูด “ผมยังคิดว่าคุณเป็นสปายที่คณะนั้นส่งมาเสียอีก ไม่อย่างนั้นทำไมคุณถึงอยากเอานักศึกษาเก่งๆ ไปลงโทษล่ะ”
มั่วเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เหงื่อท่วมในชั่วพริบตา เขารีบคุกเข่าลงหนึ่งข้าง “ท่านคณบดีนอร์แมน ผมขอสาบานต่อผู้วิเศษทั้งยี่สิบสองคน ผมจงรักภักดีต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างจริงแท้แน่นอนครับ”
“มา คุณตามผมมา” คณบดีนอร์แมนชี้ห้องส่วนตัวที่อยู่ภายในห้องทดลอง “พวกคุณทำโปรเจ็กต์ต่อไป คำพูดของอาจารย์คนเดียวไม่มีความหมายถ้าผมอยู่”
สีหน้าของมั่วเฟิงแย่จนดูไม่ได้แล้ว บึ้งตึงจนแทบบิดเบี้ยว
เยี่ยซือชิงดีใจ “ขอบคุณค่ะท่านคณบดีนอร์แมน”
เธอโล่งอก รีบวิ่งมา ในใจยังนึกหวาดกลัวไม่หาย “รุ่นน้องอิ๋ง โชคดีที่คณบดีนอร์แมนมาตรวจที่นี่พอดี ไม่อย่างนั้นวันนี้ซวยแน่”
คณบดีนอร์แมนพูดคำเดียวก็สามารถถอดมั่วเฟิงออกจากตำแหน่งได้
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “อืม บังเอิญจริงๆ”
เธอก้มหน้า ออกจากหน้าที่ส่งข้อความคุยกับคณบดีนอร์แมน มีคนโทรเข้ามาพอดี
อิ๋งจื่อจินกดรับ “ฮัลโหล”
“ไฮ บอส ผมซีซาร์นะ วันนี้อากาศดีมากเลย ผมตั้งใจเปิดไวน์แดง…”
“ไม่ต้องอารัมภบท มีอะไร”
ปลายสายหมดอารมณ์ทันที “บอสรู้ไหมว่าช่วงนี้ไอ้บ้านอร์ตันมันชอบส่งรูปมาให้ผม”
อิ๋งจื่อจินหรี่ตาเล็กน้อย “หืม?”
“หมอนั่นบอกว่าบอสเอาเด็กผู้หญิงไปให้มัน แถมเด็กคนนั้นยังหน้าเหมือนตุ๊กตาฝรั่ง” ซีซาร์พูด “มันถามผมว่าเด็กผู้หญิงหกขวบใส่ชุดอะไรสวย”
อิ๋งจื่อจิน “…”
เธอคงต้องไปคุยกับนอร์ตันหน่อยแล้ว
“บอสจะลำเอียงไม่ได้นะ” ซีซาร์น้อยใจ “ทำไมหมอนั่นได้เลี้ยงเด็กผู้หญิงแต่ผมไม่ได้ ผมก็อยากได้สักคนบ้าง ผมอยากได้เด็กที่สวยกว่าของหมอนั่นด้วย!”
อิ๋งจื่อจินทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว “…ฉันวางละ”
“ม่ายยย บอส ผมผิดไปแล้ว” ซีซาร์รีบจริงจังขึ้นมาทันที “ผมเอาของมาส่งให้ ต้นเดือนสิงหาจะมีงานประมูล”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “งานประมูลเหรอ”
ซีซาร์เข้ามาในเมืองแห่งโลกก่อนเธอไม่กี่วัน ไปเที่ยวสนุกตามประสาแล้ว
เธอไม่ได้สนใจ ก็แค่ยังคอยติดต่อกันอยู่ตลอด
“ผมเคยเล่าให้บอสฟังใช่ไหมว่าผมมีบรรพบุรุษที่อยู่ๆ ก็หายสาบสูญไป” ซีซาร์พูดต่อ “ตอนนั้นผมแค่สงสัยว่าพวกเขาถูกรับไปเมืองแห่งโลก ตอนนี้ยืนยันได้แล้ว งานประมูลที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ก็พวกเขานี่แหละจัด”
“ผมก็เลยถือโอกาสมั่วเข้าไป ต่อมาก็จับพลัดจับผลูไปเจอพวกหัวๆ ตอนนี้ทั้งงานประมูลเป็นของผมแล้ว ผมมีอีกคลังสมบัติแล้วนะบอส”
อิ๋งจื่อจิน “…”
สไตล์คลั่งสมบัติที่ฝังลึกเข้ากระดูกของตระกูลลอเรนท์นี่มันส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจริงๆ
“อืม ส่งมาให้ฉันดูหน่อย” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเบาๆ “ฉันส่งยาไปให้นายแล้วด้วย ไม่พอก็บอก”
เมืองแห่งโลกมีผู้วิเศษปกป้อง ดูเหมือนสงบสุข แต่ในความเป็นจริงสุดแสนวุ่นวาย
อันตรายเยอะยิ่งกว่าโลกจอมยุทธ์
เดิมทีซีซาร์ก็เคยผ่านความตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ร่างกายอ่อนแอลงไปไม่น้อย
ซีซาร์พูดด้วยความระมัดระวัง “ยาผมยังมีอยู่ บอส แต่ผมยังขาด…”
คราวนี้อิ๋งจื่อจินกดตัดสายด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“รุ่นน้องอิ๋ง” เยี่ยซือชิงสงสัย “ใครโทรมาเหรอ”
“หืม?” อิ๋งจื่อจินหาว “เพื่อนน่ะ”
บิลได้ฟังก็เหลือบมองเล็กน้อย
ครั้งก่อนที่เธอไปสมาพันธ์แฮกเกอร์ได้รู้เรื่องบางอย่าง
ฉินหลิงเยี่ยนเป็นหลานชายที่ประธานสมาพันธ์ตามกลับมาได้ มีสถานะเป็นคนธรรมดาก่อนที่จะกลับมาอยู่สมาพันธ์แฮกเกอร์
รู้จักกับอิ๋งจื่อจินได้ก็เป็นเรื่องปกติ
คนธรรมดาก็ย่อมรู้จักคนธรรมดาด้วยกัน
อิ๋งจื่อจินยังจะมีเพื่อนที่เก่งกาจจากไหนได้อีก
บิลละสายตา หยิบบัตรออกมาหลายใบ “งานประมูลเดือนหน้าฉันมีบัตรโซนดีเหลืออยู่ เอาให้พวกเธอแล้วกัน”
สวีจิ่งซานดีใจมาก “ขอบคุณครับคุณหนูบิล ขอบคุณมาก”
พอรับมาแล้วเขาก็จงใจชูอวดกลุ่มบี “เยี่ยซือชิง ขอโทษฉันสิ แล้วฉันจะพาเธอเข้าไปด้วย”
“บัตรนี้ไม่ธรรมดาหรอกนะ ชาวบ้านทั่วไปเข้าไม่ได้”
เยี่ยซือชิงแสยะยิ้ม “ป่วยเป็นโรคหลงตัวเองก็ลองไปหาหมอซะนะ”
อิ๋งจื่อจินไม่ได้ฟัง
เธอพิงโต๊ะ ครุ่นคิดเล็กน้อย
จากที่ซิวเล่า เมื่อก่อนบนโลกไม่มีสถานที่อย่างเมืองแห่งโลก
ผู้วิเศษทั้งยี่สิบสองคนก็ใช้ชีวิตอยู่บนโลกเหมือนกัน ปกป้องเจ็ดทวีปสี่มหาสมุทร
ต่อมาเกิดเรื่องหนึ่งเข้า ผู้วิเศษทั้งยี่สิบสองคนเลยเอาหัวกะทิของอารยธรรมเผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนหนึ่งย้ายมาที่นี่ ตั้งชื่อว่าเมืองแห่งโลก แล้วทำการพัฒนา
จนกระทั่งถึงตอนนี้
เรื่องนั้นคือเรื่องอะไร ซิวไม่ยอมบอก
อิ๋งจื่อจินนวดหว่างคิ้ว
…
อีกด้านหนึ่ง
ภายในห้องส่วนตัว
บรรยากาศตึงเครียด
“มั่วเฟิง ผมรู้ว่าคุณให้ความสำคัญกับนักศึกษาของคุณ ผมก็เหมือนกัน” คณบดีนอร์แมนดันแว่นตา “คุณได้สืบหาต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ให้ดีหรือยัง”
“สืบแล้วครับ” มั่วเฟิงขมวดคิ้ว “นักศึกษาคนนั้นของคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์แค่ชะลอการส่งอะไหล่ไว้ ไม่ได้ทำร้ายร่างกายอะไร”
“อีกทั้งเดิมทีพวกเราก็มีความขัดแย้งกับคณะนั้นอยู่ไม่น้อย อะไหล่ของพวกเขาถูกชะลอไว้ ควรไปบอกพวกอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือล้างแค้น แบบนี้มีแต่จะยิ่งเพิ่มความขัดแย้งนะครับ”
เส้นทางการพัฒนาของคณะวิศวกรรมศาสตร์ดีกว่าคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์ แต่เนื่องจากอีกฝ่ายมีผู้วิเศษหนุนหลัง พวกเขาก็เลยมักด้อยกว่าหนึ่งขั้นเสมอ
เดิมทีมั่วเฟิงไม่มีความคิดอยากใช้ไม้แข็งกับคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์ เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น เขาย่อมอยากหลีกทางให้
“บอกพวกอาจารย์เหรอ” คณบดีนอร์แมนยิ้ม “อาจารย์มั่วเฟิง ถ้าพวกเขาไปบอกคุณจริงๆ คุณจะช่วยพวกเขาจริงเหรอ”
มั่วเฟิงสะอึก
ถ้ากลุ่มบีมาหาเขา เขาคงพูดได้แค่ว่าเด็กพวกนั้นฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ไม่มีแอ๊กเคานท์ที่ระดับสูงกว่า
อิ๋งจื่อจินไม่ใช่บิล ทำไมเขาต้องเอาใจใส่ด้วย
“เรื่องนี้นักศึกษาอิ๋งจื่อจินกับพวกเยี่ยซือชิงไม่มีความผิดอะไร” คณบดีนอร์แมนมองเขา “เอาล่ะ ตอนนี้ออกไปขอโทษพวกเขาซะ”
มั่วเฟิงอึ้ง “ท่านคณบดีนอร์แมน?”
“ไปขอโทษซะ” คณบดีนอร์แมนยืนขึ้น เปิดประตูออกไป “ไปขอโทษ”
ท่ามกลางสายตาของนักศึกษาทุกคน มั่วเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก เดินเข้าไปหาอิ๋งจื่อจิน
สุดท้ายเขาก็โค้งตัว ก้มศีรษะ “ขอโทษ”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้ามองเขา “ไม่เป็นไรค่ะ”
มั่วเฟิงกำมือแน่นจนมีเสียงกระดูกลั่น จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเยี่ยซือชิงกับสมาชิกกลุ่มบีคนอื่นๆ ทำการขอโทษต่อ
เข้าคณะวิศวะมานานขนาดนี้ เขายังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ
อกแทบระเบิด
“บิล ไปเถอะ” มั่วเฟิงจงใจหันมองอิ๋งจื่อจิน “วันมะรืนส่งโปรเจ็กต์ทดลองจะมีการไลฟ์สดในเว็บดับบลิว ตั้งใจเตรียมให้ดี”
ธาตุแท้ของคนบางคนก็จะโผล่แล้ว
บิลยืนขึ้น เดินตามมั่วเฟิงไป
พวกเขายังไม่ทันออกไปก็มีเสียงเคาะประตู ‘ก๊อกๆ’
คนที่ดูท่าทางเหมือนคนส่งของยืนอยู่ตรงประตู พูดอย่างนอบน้อม “ขอโทษที่รบกวนครับ คุณอิ๋งจื่อจินอยู่ไหมครับ ผมได้รับคำสั่งให้เอาของมาส่งครับ”
คำพูดเดียวทำให้ทุกคนในห้องทดลองหันไป
รวมถึงคณบดีนอร์แมนด้วย เขาตะลึงมาก
เทคโนโลยีของเมืองแห่งโลกเจริญก้าวหน้าจนถึงขั้นไม่ต้องมีพนักงานส่งพัสดุแล้ว มีกล่องรับส่งพัสดุกระจายอยู่ทั่ว
แค่เอาพัสดุหย่อนลงไปก็จะมีเครื่องจักรและเส้นทางลำเลียงส่งพัสดุไปยังแต่ละที่ในเมืองแห่งโลก สะดวกและรวดเร็ว
ของอะไรถึงต้องใช้คนมาส่ง