บทที่ 512 ความยากลำบากของการแปลงกาย ระดับดวงชะตา
“ท่านปรมาจารย์ เมื่อไม่นานมานี้เจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งอริยะ พวกเราสงสัยว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะมาจากสำนักซ่อนเร้น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วมรรคาสวรรค์จะต้องตกอยู่ในความโกลาหลเป็นแน่”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยทำลายความเงียบด้วยการเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
หลี่มู่อีเลิกสนใจหน้าตาตนเอง แล้วกล่าว “ถูกต้องขอรับ อริยะมิ่งจีกลายเป็นอริยะคลั่งไปแล้ว หากมีคนต่อไป สถานการณ์จะควบคุมได้ยากยิ่งขึ้น วันหนึ่งอริยะคลั่งอาจจะลุกขึ้นมาทำลายมรรคาสวรรค์ก็เป็นได้ ท่านคงไม่อยากเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นใช่หรือไม่ขอรับ”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “แล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับข้า”
บรรยากาศหนักอึ้งขึ้นมาทันที
เหล่าอริยะต่างรู้สึกร้อนรุ่มใจขึ้นมา ด้วยกลัวว่าจะไปล่วงเกินปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเข้า
พวกเขาต่างรู้ดีว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเป็นบุคคลระดับเหนือมรรคาสวรรค์ และยังเป็นเทพคุ้มครองของพวกเขาด้วย เพราะการมีตัวตนอยู่ของท่าน ทำให้พวกเขาสามารถทำศึกได้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง นำปวงสวรรค์ทั้งหมดมาวางเป็นกระดานหมากได้
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงถอนหายใจพลางกล่าวว่า “มรรคาสวรรค์ทอดทิ้งผู้ใด ก็ยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดิม ต่อให้เป็นบรรพชนเต๋าก็ไม่อาจส่งผลกระทบต่อมรรคาสวรรค์ได้เช่นกัน มรรคาสวรรค์นั้นพิเศษอย่างยิ่ง วันหน้าใช่ว่าจะไม่มีโอกาสก้าวข้ามมหามรรคเสียทีเดียว หากพวกเจ้าร่วมมือกัน ต่อไปต้องได้รับโอกาสวาสนาครั้งใหญ่ เลิกพุ่งเป้าไปที่ตัวแปรได้แล้ว ข้าเคยทำนายแล้ว เขาไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรกับมรรคาสวรรค์ทั้งสิ้น”
เหล่าอริยะแสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พวกเขาทั้งหมดตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่ง ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของมรรคาสวรรค์
เพียงแต่เรื่องของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการยังคงเป็นหนามตำใจของพวกเขาอยู่ หากไม่ถอนออก คงไม่มีใครเป็นสุขได้
…
หกร้อยปีให้หลัง
ภายในเขตเซียนร้อยคีรี
หานเจวี๋ยเพิ่งแสดงธรรมให้แก่สำนักซ่อนเร้นจบไป การแสดงธรรมครั้งนี้กินเวลาไปหนึ่งร้อยปี เขาตั้งใจเจาะจงกล่าวถึงการมีอยู่ของมารสวรรค์เป็นพิเศษ เพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวกับนิมิตประหลาดอย่างฝนสีทอง
อย่างไรก็ตามเหล่าศิษย์ยังคงอยู่ในสภาวะตระหนักรู้ พวกเขาจึงยังไม่ได้หารือกันเกี่ยวกับเรื่องมารสวรรค์
หานเจวี๋ยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของต้นฝูซัง และสังเกตดูต้นฝูซัง
ผ่านมาเนิ่นนานแรมปี ต้นฝูซังยังคงเป็นของล้ำค่าในฟ้าดินที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา พูดให้ถูกคือเป็นดั่งศิษย์ของเขา
“เจ้าสำนัก เมื่อใดข้าจะแปลงกายได้เสียที”
ต้นฝูซังถาม น้ำเสียงนั้นไพเราะขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกถูหลิงเอ๋อร์และอู้เต้าเจี้ยนทำให้เสียนิสัยหรือไม่ ดูท่าทางยิ่งเติบโตยิ่งเหมือนอิสตรี
ต้นไม้ไม่อาจแบ่งแยกเพศชายหญิงได้
หานเจวี๋ยถาม “เหตุใดเจ้าถึงอยากแปลงกายได้”
ต้นฝูซังกล่าวด้วยความเศร้าสร้อย “ก็ข้าอยากเคลื่อนไหวได้นี่”
“วางใจเถิด อีกไม่ช้าเจ้าก็จะแปลงกายได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะรู้สึกซาบซึ้งในวันคืนที่ไม่อาจขยับเขยื้อนได้”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะไม่อาจขยับได้ เจ้าจึงมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญ ทันทีที่เจ้าเคลื่อนไหวได้ สารพัดมารในใจจะเข้ามาเยือน เจ้าลองถามสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นดูก็ได้”
“เรื่องพวกนี้ข้าฟังจนเบื่อแล้ว แต่…”
“เจ้ารอไปก่อนเถิด หากยังไม่ถึงระดับครึ่งอริยะก็ออกไปไม่ได้ ศิษย์คนอื่นก็เหมือนขยับเขยื้อนไม่ได้เช่นกัน”
“ก็ได้”
ต้นฝูซังหน้าสลด
หานเจวี๋ยส่ายหน้าพลางหลุดยิ้มออกมา ก่อนจะหันหลังจากไป
ใช่ว่าหานเจวี๋ยไม่ยอมช่วยต้นฝูซัง แต่เขาไม่อาจทำได้จริงๆ
ต้นฝูซังเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มรรคาสวรรค์ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด มรรคาสวรรค์ไม่มีทางปล่อยให้มันแปลงกายได้ง่ายๆ หานเจวี๋ยพยายามช่วยให้มันแปลงกาย แต่กลับรู้สึกถึงแรงต้านทานจากมรรคาสวรรค์
การดำรงอยู่ของมรรคาสวรรค์เป็นสิ่งที่สุดจะพรรณนา ครึ่งอริยะก็ไม่อาจเข้าใจมันได้ แต่ยามที่สัมผัสถึงกฎมรรคาสวรรค์ ปฏิกิริยาที่สะท้อนกลับมาช่างรุนแรงอย่างยิ่ง
เมื่อกลับไปยังอารามเต๋า หานเจวี๋ยไม่ได้ฝึกบำเพ็ญต่อทันที แต่เปิดอ่านจดหมายเสียก่อน
ไม่นานมานี้แดนเซียนเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกตื่นเต้น ในยามที่ไม่มีอะไรทำก็มักจะเปิดจดหมายขึ้นมาอ่าน
ความรู้สึกนี้มัน…
ท่องโลกอินเทอร์เน็ต!
หลังจากผ่านมาสองหมื่นกว่าปี ในที่สุดแดนเซียนก็กลับมามีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทำให้หานเจวี๋ยไม่ต้องจับเจ่าอีกต่อไป
หานเจวี๋ยเห็นจดหมายสองฉบับ
[เจียงตู๋กูสหายของท่านเผชิญกับการสะท้อนกลับจากตัวตนลึกลับ พลังมรรคลดฮวบตกลงไปอยู่ระดับระดับต้าหลัว]
[เจียงตู๋กูสหายของท่านกลายเป็นครึ่งอริยะ]
มีจดหมายหลายสิบฉบับคั้นกลางระหว่างสองฉบับนี้
เกิดอะไรขึ้นกับเจียงตู๋กู
เหตุใดถึงกระโดดกลับไปกลับมาระหว่างต้าหลัวและครึ่งอริยะ สองระดับนี้กัน
ตัวตนลึกลับคืออะไรกันแน่?
หานเจวี๋ยรู้สึกสงสัยอย่างมาก แต่ก็ไม่อยากสละอายุขัยให้กับเจียงตู๋กู
ช่างเถอะ เก็บไว้ไขข้อข้องใจทีหลัง คิดเสียว่าเป็นความอาลัย อย่างไรเสียเจียงตู๋กูก็คุกคามเขาไม่ได้อยู่แล้ว
…
เจ็ดปีต่อมา
หานโยวผู้นำเผ่าเอกามาขอพบหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยจึงอนุญาตให้เขาเข้ามา
ครั้งนี้ที่หานโยวมาพบก็เพื่อรายงานพัฒนาการของเผ่าเอกา
ตอนนี้ภายในเผ่าเอกามีคนประมาณหนึ่งพันคนที่ก้าวสู่ระดับเทพแล้ว และจำนวนคนก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อันที่จริงเรื่องพวกนี้หานเจวี๋ยรู้อยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามหานโยวแต่อย่างใด
หานโยวจงใจกล่าวถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ เห็นได้ชัดเจนว่ามีเจตนาแอบแฝง
หานเจวี๋ยเห็นถึงความตั้งใจของเขา จึงกล่าวว่า “เผ่าเอกามีพัฒนาการไม่เลว วันหน้าข้าจะไปแสดงธรรม ถ่ายทอดพลังวิเศษให้กับเผ่าเอกาเป็นการส่วนตัว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานโยวก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ
จุดที่ด้อยที่สุดของเผ่าเอกาก็คือพลังวิเศษ
ภายในเขตเซียนร้อยคีรีแห่งนี้ พวกเขาไม่ได้ขาดแคลนในสิ่งใดเลย ยามที่หานเจวี๋ยแสดงธรรมก็ไม่เคยกีดกันพวกเขา เพียงแต่พวกเขาไม่มีอาจารย์ ด้านพลังวิเศษจึงอ่อนด้อยกว่าเหล่าศิษย์ทั้งหลายอยู่ไม่น้อย
พวกเขาเองก็อยากเข้าร่วมงานประลองใหญ่ประจำศตวรรษบ้าง
สำหรับการแข่งขันนี้ หานเจวี๋ยก็อนุญาตเช่นกัน
การหลีกหนีจากทางโลกไม่ใช่จะหลบหนีเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น ไขว่คว้าพลังที่ทำให้ไม่ต้องหลีกหนีจากโลกอีก
หานเจวี๋ยหลีกหนีทางโลก เพียงเพื่อในภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องหลีกหนีจากทางโลกอีกต่อไป!
หลังจากหานโยวจากไปแล้ว หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
เขาเข้าใกล้การพิสูจน์มรรคมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ยังไม่อาจคาดคะเนช่วงเวลาที่แน่นอนได้
บางทีสักวันหนึ่งเขาอาจจะพิสูจน์มรรคสำเร็จ เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะสม
ขอเพียงเขามุ่งมั่นทำความเข้าใจในมหามรรคต้นกำเนิดเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไป
เจ็ดสิบปีต่อมา
ศิษย์ทุกคนต่างตื่นขึ้นจากสภาวะตระหนักรู้ พวกเขาเริ่มถกประเด็นเรื่องมารสวรรค์ที่หานเจวี๋ยเคยกล่าวถึงก่อนหน้านี้
พวกเขาเพียงแค่อยากรู้อยากเห็น ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
พลังที่มารสวรรค์สำแดงในวันนั้นไม่อาจทำลายค่ายกลได้ นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าค่ายกลของเขตเซียนร้อยคีรีนั้นแข็งแกร่งเพียงพอ
อยู่มาวันหนึ่ง
มีมนุษย์เซียนผู้หนึ่งมาเยือนเขตเซียนร้อยคีรี เรือนผมสีขาว สวมชุดคลุมเต๋า มีกระบี่หยกคาดไว้ที่เอว เท้าเหยียบอยู่บนหลังนกกระเรียน ท่าทางดั่งผู้วิเศษ
มนุษย์เซียนผู้นี้ก็คือหวงจี๋เฮ่านั่นเอง
เมื่อทอดสายตาไปยังเขตเซียนร้อยคีรี หวงจี๋เฮ่าก็พลันมีสีหน้าแปลกไปจากปกติ นกกระเรียนของเขาชนเข้ากับปราการที่มองไม่เห็น และหยุดชะงักไป
หวงจี๋เฮ่าเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยหวงจี๋เฮ่า ไม่ทราบว่าหลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้าอยู่ที่นี่หรือไม่”
เขตเซียนร้อยคีรีเงียบสงัด ไม่มีใครตอบรับ
หวงจี๋เฮ่าขมวดคิ้ว
ในตอนนี้เอง เสียงของหลี่เสวียนเอ้าก็ลอยออกมา “หืม? เหตุใดเจ้ายังมีชีวิตอยู่อีก”
หวงจี๋เฮ่ารู้สึกสลดไปครู่หนึ่ง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “อาจารย์ ดูท่าทางท่านจะลืมข้าไปแล้วจริงๆ ข้าควรจะคารวะท่านเป็นอาจารย์ต่อไปอีกหรือไม่”
“มีเรื่องอะไร”
“ข้าถูกเผ่าสวรรค์ไล่ล่า”
“เหตุใดถึงตามล่าเจ้ากัน”
“ข้าสังหารคนของพวกเขา”
“สังหารทำไม”
“ข้า…ท่านหมายความว่าอย่างไร”
หวงจี๋เฮ่าเกือบจะบันดาลโทสะ เขาอุตส่าห์มาหาด้วยความดีใจ แต่กลับถูกต้อนรับเช่นนี้ เขาเองก็เป็นคนหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี จะยอมทนได้เช่นไร
หลี่เสวียนเอ้ากล่าว “คิดจะเข้ามาในสำนักซ่อนเร้นมันไม่ง่ายถึงเพียงนั้นหรอกนะ ข้าที่เป็นอาจารย์ของเจ้าก็ยังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ข้าจะช่วยถามให้ก็แล้วกัน”
“ขอบพระคุณอาจารย์ยิ่งนัก”
หวงจี๋เฮ่าตอบรับ ในใจพลันรู้สึกโล่งอก
เขาสงสัยใคร่รู้ในสำนักซ่อนเร้นอย่างมาก เขารู้จักสำนักซ่อนเร้น และรู้ว่าเจ้าสำนักซ่อนเร้นคือหานเจวี๋ย
ทว่าหลังจากมหาเคราะห์ผ่านพ้นไป เขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อของหานเจวี๋ยอีกเลย สำนักซ่อนเร้นในทุกวันนี้มีชื่อเสียงที่โหดเหี้ยมสำหรับคนภายนอก เขาจึงสงสัยว่าสำนักซ่อนเร้นเปลี่ยนเจ้าสำนักแล้วหรือ
มิฉะนั้นคนหยิ่งยโสอย่างหลี่เต้าคงจะมาเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นได้อย่างไร
เมื่อนึกถึงหานเจวี๋ย หวงจี๋เฮ่าก็รู้สึกทอดถอนใจ
คิดไม่ถึงเลยว่าบุคคลผู้มีอิทธิพลล้นฟ้าในโลกเมฆาแดงเมื่อตอนนั้น จะเป็นผู้ที่ระดับดวงชะตาสูงส่งอันดับต้นๆ ในโลกมนุษย์
ในขณะที่หวงจี๋เฮ่ากำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น เพียงลืมตาขึ้นมา เขาก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของหลี่เสวียนเอ้าแล้ว
หลี่เสวียนเอ้ามองสำรวจหวงจี๋เฮ่า ก่อนจะพึมพำด้วยความประหลาดใจ “ปฐมเทพขั้นสอง ไม่เลวนี่ แต่ถ้าเทียบกับวานรแขนยักษ์แล้ว คุณสมบัติยังอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย”
………………………………………………..