บทที่ 576 เผ่าเรืองนามเผยตัว จอมอริยะเสวียนตู
หานทั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจยิ่ง ชายวัยกลางคนได้ฟังก็รีบเอ่ยขออภัย
สองพ่อลูกพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ชายวัยกลางคนขอตัวลากลับไปคัดเลือกศิษย์ที่เหมาะสม
หานทั่วมองแผ่นหลังเขาที่ก้าวลงเขาไป อดถอนหายใจไม่ได้
ทุกครั้งที่เห็นบุตรธิดา หานทั่วจะนึกถึงภรรยาที่ตายไปแล้วของตน เหตุผลที่เขามาแต่งงานมีครอบครัวในโลกมนุษย์ก็เพื่อหาประสบการณ์เท่านั้น ทำให้กระจ่างแจ้งสภาวะจิตใจของตนมากขึ้น
ภรรยาในแดนเซียนสิ้นชีพด้วยน้ำมือศัตรู ภรรยาในโลกมนุษย์สิ้นอายุขัยด้วยความชรา
เดิมทีหานทั่วคิดว่าชีวิตนี้จะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่นึกเลยว่าบุตรธิดาจะเลียนอย่างเขา ต้องการแสวงหาวิถีแห่งเซียนเช่นกัน
ตอนแรก หานทั่วยังคงมีความหวังในตัวบุตรธิดาอยู่ จนปัญญาที่บุตรชายของเขาก้าวเดินผิดทาง เปี่ยมความมุ่งมาดปรารถนาในอำนาจ กลับเป็นบุตรสาวของเขาที่ยังคงสงบใจแสวงหามรรควิถีมาโดยตลอด
หานทั่วพลันนึกถึงบิดาของตน
ตอนนั้นหานเจวี๋ยดูแลเขาอย่างไรกันนะ
เมื่อหวนนึกถึงคำพูดเหล่านั้นของหานเจวี๋ย เขาค่อยๆ เหม่อลอยไปอีกครั้ง
หรือเขาจะไม่มีคุณสมบัติเป็นบิดาใครได้จริงๆ
“ท่านพ่อ หากท่านยังมีชีวิตอยู่ บางที…เฮ้อ ล้วนต้องโทษตัวลูกเองที่ตามหายาอายุวัฒนะไปให้พวกท่านไม่ทันเวลา”
หานทั่วพึมพำกับตัวเอง เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่คิดมากอีก
อยู่โลกมนุษย์มายาวนานถึงเพียงนี้ สมควรกลับไปได้แล้ว
ครึ่งเดือนต่อมา
ชายวัยกลางคนพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา หานทั่วให้เด็กหนุ่มเข้าไปในอารามเต๋า
เด็กหนุ่มคุกเข่าคำนับบนพื้นด้วยความนอบน้อม แม้อายุเพียงสิบสี่ปี แต่บุคลิกกลับสุขุมนัก
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หานทั่วนึกถึงตัวเองในยามเยาว์วัยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หน้าตาเหมือนเขาจริงๆ
หานทั่วเริ่มถ่ายทอดมรรควีถีให้
….
สามร้อยปีผ่านไป
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สามร้อยปีมานี้นับว่าได้ผ่อนคลายบ้างแล้ว ทำให้ในที่สุดอารมณ์ของเขาก็เบิกบานขึ้นมา
เขาลุกขึ้นยืน ตัดสินใจแสดงธรรมให้สำนักซ่อนเร้น
ไม่ได้แสดงธรรมมาหลายพันปี สมควรแสดงธรรมได้แล้ว
“เตรียมสดับธรรม”
เสียงหานเจวี๋ยแว่วดังไปทั่วเขตเซียนร้อยคีรี ศิษย์ทั้งหมดพากันออกจากการปิดด่าน
ยังคงแสดงธรรมแห่งมหามรรคต้นกำเนิด เทศนาเป็นเวลาร้อยปี
หนึ่งร้อยปีต่อมา หานเจวี๋ยหยุดเทศนาธรรม ทอดสายตามองเขตเซียนร้อยคีรี
เวลาผ่านมานานขนาดนี้ สำนักซ่อนเร้นยังคงปรากฏผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศบางส่วนขึ้น เหล่าศิษย์สืบทอดส่วนใหญ่ต่างรับศิษย์กันแล้ว แม้แต่ไก่คุกรัตติกาลก็รับศิษย์เช่นกัน
หานเจวี๋ยประมาณการณ์ไว้ว่าอีกหนึ่งแสนปีให้หลัง นอกจากเผ่าเอกาแล้ว สำนักซ่อนเร้นต้องมีระดับเทพปรากฏเพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ ห้าพันคน
อีกสิบล้านปีให้หลังจะมีเซียนทองต้าหลัวปรากฏขึ้นหนึ่งร้อยคน น่าจะมีหวังอยู่บ้าง!
ทั่วทั้งแดนเซียนยังไม่แน่เลยว่าจะมีเซียนทองต้าหลัวถึงร้อยคน ดังนั้นจิตนาการได้เลยว่าอีกสิบล้านปีให้หลังสำนักซ่อนเร้นจะแกร่งกล้าเกรียงไกรแค่ไหน
เพียงแต่…
สิบล้านปีนานเกินไปแล้ว!
หานเจวี๋ยอายุยังไม่ถึงแสนปีด้วยซ้ำ
บางครั้ง คุณสมบัติยอดเยี่ยมเกินไปก็น่าหงุดหงิด เพียงเพราะรังเกียจที่เวลาเชื่องช้าเกินไป
หลังแสดงธรรมจบ หานเจวี๋ยกลับไปที่อารามเต๋า
เขาเริ่มตรวจดูจดหมาย ไม่ได้ดูมานาน ไม่ทราบเลยว่าระยะนี้แวดวงสหายเป็นอย่างไรบ้าง
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับการปราบปรามจากโพธิสัตว์จุนทีศัตรูคู่อาฆาตของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[หานทั่วบุตรชายของท่านพลัดหลงเข้าสู่แดนชำระบาปเก้าขุม]
[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเจียงตู๋กูสหายของท่าน]
[สือตู๋เต้าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เต้าคงสหายของท่าน]
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงพลังลึกลับ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[จิ่งเทียนกงสหายของท่านก่อตั้งลัทธิอันธการขึ้น]
[มหาจักรพรรดิเซียวสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]
….
เหตุใดจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถึงไปหาเรื่องโพธิสัตว์จุนทีได้เล่า
หานเจวี๋ยรู้สึกฉงน ที่สำคัญคือจักพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายรอดชีวิตมาได้ด้วย
เขาลังเลว่าจะลงมือสาปแช่งโพธิสัตว์จุนทีเพื่อจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายดีหรือไม่
ลองดูก็แล้วกัน ถึงอย่างไรโพธิสัตว์จุนทีก็เป็นศัตรูเขาอยู่แล้ว ซ้ำยังห่างจากช่วงเวลาที่สยบทาสฉิวซีไหลมาหลายร้อยปีแล้วด้วย
หานเจวี๋ยไล่อ่านลงไปเรื่อยๆ จิ่งเทียนกงเริ่มก่อตั้งลัทธิอันธการแล้ว คล้ายว่าจะมิใช่ครั้งแรก
หลังจากออกจากนิกายเจี๋ย จิ่งเทียนกงคล้ายจะประสบความลำบากยิ่ง
หานเจวี๋ยลังเลว่าจะว่ารับตัวจิ่งเทียนกงเข้ามาโดยตรงเลยดีหรือไม่
แล้วไปเถอะ
หากในอนาคตวันใดวันหนึ่งจำเป็นต้องใช้ฐานะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการขึ้นมา จะได้ไม่เป็นการเผยตัวล่วงหน้า
หานเจวี๋ยไล่อ่านลงไป สหายส่วนใหญ่ที่อยู่ด้านนอกต่างเริ่มมีความเคลื่อนไหวขึ้นมาแล้ว แดนเซียนหวนกลับสู่สภาพเช่นในอดีตอย่างสมบูรณ์
หลังจากปิดกล่องจดหมาย หานเจวี๋ยกวาดจิตศักดิ์สิทธิ์ออกไป สอดส่องทั่วแดนเซียน
สามหัวเมืองละแวกเขตเซียนร้อยคีรีมีสิ่งชีวิตอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่หลังจากแปลงกายได้ล้วนมีลักษณะภายนอกเช่นเดียวกับเผ่ามนุษย์ แต่เผ่ามนุษย์ในแดนเซียนกลับมีชีวิตลำเค็ญนัก ลดจำนวนลงจนกลายเป็นเผ่าพันธุ์ขนาดเล็ก ได้แต่อาศัยอยู่ภายในขอบเขตเมืองที่เผ่าสวรรค์จัดสรรให้เท่านั้น
พื้นที่ของแดนสวรรค์ ณ ปัจจุบันนี้ นอกจากเผ่าปีศาจแล้ว เผ่าที่ทรงพลังที่สุดน่าจะเป็นเผ่าเรืองนาม เผ่าเรืองนามก็หากินง่ายๆ เช่นเดียวกับเผ่าปีศาจ ป่าวประกาศว่าสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ขอเพียงเป็นผู้มีชื่อเสียง ล้วนเข้าร่วมเผ่าเรืองนามได้
ตอนนี้เผ่าปีศาจตกเป็นรองเผ่าสวรรค์ ไม่กล้ายั่วยุหาเรื่องเผ่าสวรรค์อีก กำลังแข่งขันแย่งชิงอันดับสองกับเผ่าเรืองนามอยู่
นอกเหนือไปจากนี้คือ เผ่ามังกรผงาดขึ้นมาอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้
บางทีอาจเป็นเพราะตำแหน่งอริยะ ทำให้ผู้ทรงพลังสัญจรไปทั่วหล้ามากขึ้นเรื่อยๆ เผยแพร่มรรควิถี มีสำนักดวงชะตากว่าร้อยแห่งถือกำเนิดขึ้น สำนักดวงชะตาแทบทุกแห่งล้วนมีผู้ทรงพลังระดับเทพอยู่ บางสำนักดวงชะตาที่แกร่งกล้ายิ่งถึงขั้นที่มีครึ่งอริยะคอยดูแลด้วย
หานเจวี๋ยสอดส่องอยู่หลายชั่วยาม ถึงได้ถอนสายตากลับมา
เขามองลงไปยังโลกมนุษย์ที่หานทั่วอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ ตระกูลหานที่ถูกหานทั่วทอดทิ้งทำการอพยพแล้ว ทว่ายังคงถูกไล่ล่าสังหารอยู่ น่าหดหู่อยู่บ้าง
“เจ้าเด็กแสบคนนี้ใจเด็ดอยู่เหมือนกัน เหมือนข้าจริงๆ”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง
ถึงแม้สถานการณ์ของตระกูลหานจะน่าอนาถ แต่ยังไม่ถึงจุดที่ล่มสลายไปทั้งตระกูล ในตระกูลยังมีศิษย์ที่คุณสมบัติเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่ไม่น้อย เพียงแต่อายุยังน้อยเกินไป เติบโตไม่ทันการ
หานเจวี๋ยใจอ่อนนิดๆ เคลื่อนย้ายตระกูลหานไปยังป่าบนเขาที่สงบปลอดภัยแห่งหนึ่ง ตัดขาดจากโลกภายนอก หวังว่าพวกเขาจะไม่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก สงบใจฝึกบำเพ็ญกันไป
จากนั้นหานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
ฉิวซีไหล เทพสูงสุดอู๋ฝ่า เทพสูงสุดหนานจี๋ ฝูซีเทียน เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย มหาจักรพรรดิเซียว และจักรพรรดินีผืนพิภพต่างมารวมตัวกันในอาณาเขตเต๋าของหลี่มู่อี เหล่าอริยชนต่างมีสีหน้าตึงเครียด สายตาล้วนจับจ้องโพรงแสงแห่งหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบไร้สุ้มเสียง น่าตระการตาทั้งยังน่าประหลาดใจ
จักรพรรดินีผืนพิภพทนไม่ไหวถามว่า “ผู้ใดจะมา”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยตอบนิ่งๆ “ไม่ทราบแน่ชัด หากว่าอริยะทรงศักดิ์ไม่ได้รับศิษย์ใหม่ในแดนเทพหวนปัจฉิม ผู้มาน่าจะเป็นผู้อาวุโสท่านนั้น”
จักรพรรดินีผืนพิภพขมวดคิ้ว
เทพสูงสุดหนานจี๋มองไปที่ฉิวซีไหล เอ่ยขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงสงบนิ่งได้ขนาดนี้ หลี่มู่อีต้องตายก็เพราะเจ้า!”
“หากเขาไร้จุดประสงค์ ไหนเลยจะเห็นด้วยกับแผนการของข้า อีกทั้งข้าก็ไม่ได้บีบบังคับเขา” ฉิวซีไหลส่ายหน้ากล่าววาจา
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยอดแค่นเสียงใส่ไม่ได้
อริยะที่เหลือก็เขม่นฉิวซีไหลยิ่งนักเช่นกัน
คนผู้นี้หน้าหนามากจริงๆ
ในเวลานี้เอง แรงกดดันมหาศาลประการหนึ่งแผ่ขยายออกมาจากโพรงแสง
มองเห็นชายชราในชุดคลุมสีเทาเรือนผมขาวโพลนคนหนึ่งก้าวออกมา เขาถือแส้ปัดธุลีไว้ในมือ กระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่เรืองแสงสีครามลอยอยู่ด้านหลัง มีฐานดอกบัวเล็กๆ เชื่อมติดอยู่ที่ด้ามกระบี่
นอกจากจักรพรรดินีผืนพิภพและฝูซีเทียนแล้ว อริยะที่เหลือต่างพากันทำความเคารพ เปล่งเสียงพร้อมกันว่า “น้อมคารวะจอมอริยะเสวียนตู”
จอมอริยะเสวียนตูสีหน้าท่าทางเฉยเมย เอ่ยว่า “เรื่องมรรคาสวรรค์ข้ารับรู้แล้ว อริยะทรงศักดิ์ให้ข้ามาดูแลนิกายเหริน หวังว่าวันหน้าทุกท่านจะไม่สร้างความลำบากใจให้นิกายเหริน”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
เหล่าอริยชนขานรับอีกครั้ง
จอมอริยะเสวียนตูมองไปที่ฉิวซีไหล ถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงตัดบ่วงกรรมกับท่านผู้นั้น”
ฉิวซีไหลกล่าว “ข้าถูกหานเจวี๋ยจับตัวไป กระทำไปด้วยความจำเป็น หัวใจของข้ายังคงภักดีต่อสำนักพุทธ”
ดวงตาของจอมอริยะเสวียนตูพลันฉายแววลุ่มลึก ราวกับจะมองฉิวซีไหลให้ทะลุปรุโปร่ง
………………………………………………………………