ตอนที่ 1025 หลายข่าวคราว
หลังจากที่สายฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิพรั่งพรูติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดแสงสุริยาอันอบอุ่นก็ได้โผล่มาทักทายสักที
กลิ่นหอมสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิโชยฟุ้งแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ชวนให้จิตใจกระชุ่มกระชวยและมีกำลังวังชา
ช่วงคืนวันเหล่านี้ชายอ้วนยังคงอยู่ในห้วงภวังค์ของการหลับใหล
สุ่ยหยุนเจียนแวะเข้ามาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งครา เมื่อเขาตรวจชีพจรเสร็จก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า…ร่างกายของชายอ้วนฟื้นตัวได้ดีมากยิ่งนัก เมื่อตื่นมาอีกคราวรยุทธของเขาอาจจะพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ…และนี่คือประสิทธิภาพของยาวิเศษเม็ดนั้น
ภายใต้ความยินดีนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกเสียดายไปพร้อม ๆ กัน เพราะหากได้ยาวิเศษมาเร็วกว่านี้ เขาก็อาจจะช่วยชีวิตผู้ที่เป็นบิดาแท้ ๆ ได้ใช่หรือไม่ ?
ส่วนเรื่องการวิเคราะห์ส่วนผสมของตัวยากำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงาน จากวิธีการของสุ่ยหยุนเจียนคาดว่าต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนในการจำแนกส่วนผสมต่าง ๆ ออกมา
นี่ถือเป็นข่าวดีและขอเพียงจำแนกส่วนผสมของยาออกมาได้ ก็อาจจะสามารถเลียนแบบยาชนิดนี้ขึ้นมาได้
ช่วงนี้ซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนคอยเฝ้าอยู่ข้างกายของชายอ้วน หนึ่งเพราะชายอ้วนคือท่านอาจารย์อารอง สองเพราะพวกเขารู้สึกผิดลึก ๆ ในใจ
หากตอนนั้นพวกเขามิเชื่อฟังชายอ้วนแล้วยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แม้จะมิทำร้ายท่านอาจารย์ ทว่าพวกเขาก็สามารถช่วยป้องกันให้อาจารย์อารองได้ หากเป็นเช่นนั้นอาจารย์อารองคงมิบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้
ทั้งสองยังมีซูโหรวและเหมียหลี่เสวี่ยหงคอยอยู่เคียงข้าง
ทั้งยังมีเด็กชายอายุ 5 ขวบหลบอยู่ด้านหลังของซูโหรว แอบจ้องมองซูเจวี๋ยเป็นครั้งคราด้วยความขลาดกลัว
ท่านแม่บอกว่าชายผู้นี้คือท่านพ่อ !
ท่านพ่อดูน่ากลัวมากยิ่งนัก ใบหน้าของเขามีรอยแผลที่ทำให้ดูดุร้ายและสีหน้าของเขาก็มิน่าพิสมัยเลยสักนิด ท่านพ่อเยี่ยงนี้…ข้ามิเอาได้หรือไม่ ?
ในห้องนั้นมีเพียงความเงียบสงบโดยมีชายอ้วนส่งเสียงกรนขึ้นมานาน ๆ ครั้ง เขาคงเหนื่อยล้าอย่างแท้จริง จึงหลับสนิทอย่างมีความสุข
……
……
แสงสุริยาสาดทะลุหน้าต่างเข้ามายังห้องทรงพระอักษร
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งอ่านสมุดพับบางส่วนที่ถูกตรวจสอบโดยละเอียดจากทั้งสามสำนักแล้ว
ในปีนี้ถือว่าต้าเซี่ยมีสภาพอากาศดี เหมาะสำหรับการปลูกพืชผลโดยแต่ละพื้นที่กำลังเพาะปลูกประจำฤดูใบไม้ผลิกันเสียยกใหญ่
เมล็ดพันธุ์ข้าวฟู่ลิ่วต้ายได้กระจายไปมากถึงเจ็ดในสิบของพื้นที่ทั้งหมดในต้าเซี่ยแล้ว และคาดว่าเมล็ดพันธุ์ฟู่ชีต้ายที่จะออกมาในปีนี้คงสามารถกระจายไปทั่วทั้งต้าเซี่ยได้อย่างสมบูรณ์ภายในปีหน้า
ได้มีการปลูกมันเทศอย่างแพร่หลายในปีนี้และบัดนี้ดูเหมือนว่าปัญหาการขาดแคลนเสบียงอาหารจะมิเข้ามาก่อกวนเขาอีกต่อไป
ข้าวโพดและมันฝรั่งยังเพาะปลูกอยู่ที่โม่โจวและภายในปีหน้าค่อยนำมันฝรั่งไปปลูกยังเป่ยเซียวเต้า
จำต้องส่งจดหมายถึงฝานเทียนหนิงว่าให้ปลูกต้นฝ้ายอย่างแพร่หลาย เพราะเมื่ออาณาเขตของต้าเซี่ยขยายขึ้น ความต้องการผ้าฝ้ายก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย
เขาวางสมุดพับในมือลง จากนั้นก็หยิบอีกเล่มหนึ่งขึ้นมาตามใจ นี่เป็นสมุดพับของเยี่ยนซีเหวินจากเจียงหนานเต้า
‘ทูลฝ่าบาท ศูนย์วิจัยซีซานได้กลับมาดำเนินการอีกคราภายใต้การดูแลของฉินรั่วเสวีย เตาไฟประจำกองสรรพาวุธที่ภูเขาเฟิ่งหลินกลับมาลุกโชติช่วงอีกครา แต่มิใช่การผลิตปืนคาบศิลาอีกต่อไป เป็นการผลิตระเบิดและกระสุนในรูปแบบต่าง ๆ มาแทนที่ ฉินรั่วเสวียเอ่ยว่า…กองสรรพาวุธ ณ เขตซื่อหยางมีกำลังในการผลิตต่ำมากยิ่งนัก ดังนั้นของพวกนี้จึงสามารถนำไปใช้ทดแทนได้ กระหม่อมมิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ทว่านี่เป็นข้อตกลงเมื่อครั้งก่อตั้งบริษัทติดตั้งสรรพาวุธจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) กระหม่อมจึงมิสามารถเข้าไปแทรกแซงได้’
‘ทุกวันนี้การขนส่งสินค้าในเส้นทางแม่น้ำแยงซีเป็นไปอย่างคับคั่ง ตระกูลหลู่ได้เปิดเส้นทางสัญจรจากแม่น้ำแยงซีไปจนถึงหยูโจวและได้สร้างท่าเรือเก็บสินค้าทุก ๆ เมืองใหญ่ที่เรือแล่นผ่าน ทำให้การขนส่งคนและสินค้ามีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าประสบความสำเร็จในเบื้องต้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ…’
เมื่อปัญหาการขนส่งทางน้ำได้รับการแก้ไขแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องวางแผนขุดขยายแม่น้ำต้าอวิ่นสำหรับการขนส่งสายนั้นเสียที
โดยขุดจากฉางอันจนถึงเส้นทางสัญจรแม่น้ำแยงซี เช่นนี้ทางใต้และทางเหนือก็จะถูกเชื่อมเข้าหากัน ย่อมสามารถกระตุ้นความเจริญรุ่งเรืองในด้านการค้าขายไปอีกขั้น
ปีหน้าก็จะเป็นปีสุดท้ายของโครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกแล้ว ดังนั้นควรรอให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพขึ้นอีกสักปีก่อน ส่วนแผนการขุดแม่น้ำต้าอวิ่นก็ให้สำเร็จภายในแผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สอง
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หลิวจิ่นก็ได้เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
“ทูลฝ่าบาท ท่านใต้เท้าจี้ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เชิญเข้ามา”
……
……
“ทูลฝ่าบาท เรือรบจินหลิงกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“การสำรวจเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“นี่คือแผนที่เดินเรือและเป็นดั่งที่ฝ่าบาทได้ตรัสไว้ว่าหากออกเดินทางจากท่าเรือเซี่ยเย๋ก็คาดว่าจะถึงล๋ายโจวภายในแปดวันพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เยี่ยม ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับแผนที่เดินเรือมาดูอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็พบว่ามันมีความแตกต่างบางประการจากชาติภพที่แล้ว แต่โดยรวมก็ถือว่ามิได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
เช่นนี้ก็จะสามารถบรรทุกกองนาวิกโยธินไปขึ้นฝั่งที่ล๋ายโจวได้ แผนการเข้าโจมตีเมืองต้าติ้งอย่างฉับพลันก็สามารถดำเนินการได้เลยทันที
“หลิวจิ่น…จงไปเรียกเมิ่งฉางผิงมาที่ห้องทรงพระอักษรประเดี๋ยวนี้”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เมื่อหลิวจิ่นจากไปจี้หยุนกุยได้นำกระดาษอีกแผ่นหนึ่งส่งมอบให้กับฟู่เสี่ยวกวน “ฝ่าบาท…นี่เป็นรายงานด่วนจากเมืองต้าติ้งแห่งราชวงศ์เหลียวพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาอ่าน ‘ทูลฝ่าบาท ราชวงศ์เหลียวรับทราบนโยบายของทางต้าเซี่ยเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ราชอาณาจักรกำลังเกณฑ์ทหารจำนวน 300,000 นาย อีกทั้งยังรวบรวมเสบียงจำนวนมหาศาลไปยังแนวหน้า คาดว่ากำลังจะเข้าโจมตีซีเซี่ย’
‘เยลู่ชิงประกาศเรื่องการถูกคุกคามจากประเทศต้าเซี่ยต่อหน้าสาธารณชนซึ่งนำไปสู่ความโกรธแค้นของราษฎรราชวงศ์เหลียวเป็นอย่างยิ่ง เยลู่ชิงได้สั่งการให้แม่ทัพใหญ่เยลู่เยว่บุกพิชิตซีเซี่ย แต่วันเวลาที่จะเริ่มสงครามยังมิถูกกำหนด อาจจะเพราะกำลังรอให้เยลู่ตานกลับมาเพื่อสอบถามข้อมูลของประเทศต้าเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ’
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเป็นปม จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “กวนเสี่ยวซีอยู่ที่ใด ? ”
“ทูลฝ่าบาท เขาถึงซีเซี่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บัดนี้กำลังเดินทางไปด่านเม่าซาน คาดว่าจะถึงที่นั่นในวันที่ห้าเดือนสี่พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเรื่องเสบียงเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ทูลฝ่าบาท…ได้รับเสบียงจากชื่อเล่อชวนโดยมีท่าป๋าเฟิงและพลเรือนจำนวน 300,000 คนคอยคุ้มกันเสบียง คาดว่าจะไปถึงก่อนกวนเสี่ยวซีราว 2 วัน…จริงสิ ! กวนเสี่ยวซีได้แต่งตั้งผู้บัญชาการประจำกองพลใหม่จำนวน 2 นายพ่ะย่ะค่ะ”
นี่เป็นอำนาจที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มอบให้กับกวนเสี่ยวซีเอง ดังนั้นเขาจึงมิได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
ทว่าเมื่อจี้หยุนกุยตั้งใจเอ่ยออกมาเยี่ยงนี้ย่อมหมายความว่ามีบางอย่างผิดปกติ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเงยหน้าขึ้นมองจี้หยุนกุย
“ทูลฝ่าบาท…ทั้งสองคือบุตรชายของเผิงยวี๋เยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ หยูติ้งชานถูกแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่ง ส่วนหยูติ้งเหอถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองพลที่สอง โดยทั้งสองกองพลล้วนเป็นทหารม้าที่อยู่นอกเหนือจากทั้งสิบกองพลพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะไปครู่หนึ่ง เขาเคยส่งจดหมายถึงเผิงยวี๋เยี่ยนมาก่อนโดยหวังให้นางกลับมาจับดาบร่วมรบกับเขาอีกครา หรือต่อให้นางมิปรารถนาจะทำศึกก็หวังให้บุตรชายทั้งสองมาเอาดีด้านการทหาร
ตอนนั้นเผิงยวี๋เยี่ยนปฏิเสธ ทว่าบัดนี้นางกลับปล่อยบุตรชายทั้งสองเข้าสู่วงการทหาร… ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กวนเสี่ยวซีเคยเป็นทหารฝีมือดีของเผิงยวี๋เยี่ยน แม้ข้ามิเคยพบพานบุตรชายทั้งสองของนางมาก่อน แต่ก็พอได้ยินข่าวคราวมาบ้าง พวกเขาน่าจะเป็นชายหนุ่มที่มากความสามารถ กวนเสี่ยวซีแต่งตั้งตำแหน่งให้พวกเขาเป็นกรณีพิเศษก็เพื่ออยากเห็นพวกเขาแสดงความสามารถในสงคราม แล้วสถานการณ์ทางภูเขาต้าเซียนเปยเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
เดิมทีจี้หยุนกุยกังวลเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งในครานี้ของกวนเสี่ยวซี เพราะเยี่ยงไรเสียบิดาของสองพี่น้องหยูติ้งชานและหยูติ้งเหอก็สิ้นลมด้วยน้ำมือของฟู่เสี่ยวกวน
บัดนี้ดูเหมือนว่าตนจะคิดมากจนเกินไปเพราะฟู่เสี่ยวกวนมิได้แยแสเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ…“เผิงยวี๋เยี่ยนคือวีรสตรีตัวจริง นางเป็นคนมีเหตุผลและย่อมสั่งสอนบุตรชายทั้งสองให้มีเหตุผล มิมีสิ่งใดต้องกังวล”
ฟู่เสี่ยวกวนชี้แจงให้จี้หยุนกุยฟัง ครานี้อีกฝ่ายจึงยอมคลายความกังวลลงแล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ทูลฝ่าบาท ซูฉางเซิงต่อสู้กับจักรพรรดิพระเจ้าหลวงจนบาดเจ็บสาหัส เดิมทีเขาก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว คาดว่าเป็นตอนที่ถูกโหยวเป่ยโต้วและหนิงฝาเทียนทำร้ายตอนเขาลอบสังหารท่าป๋าเฟิงพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาหลบหนีไปยังฐานทัพเพราะที่นั่นปลอดภัยที่สุด ฝูงมดมิอาจเข้าประชิดได้จึงมิรู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาเป็นเยี่ยงไรในตอนนี้ กองทัพอสนีบาตยังคงฝึกฝนในทุก ๆ วัน มิมีลาดเลาว่าจะออกมาจากภูเขาต้าเซียนเปยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เช่นนี้ก็หมายความว่ากองทัพอสนีบาตจะมิไปเข้าร่วมศึกซีเซี่ยที่กำลังจะเกิดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ?
กองทัพลึกลับนี้วางแผนกลยุทธ์ทางการรบไว้เยี่ยงไรก็มิอาจทราบได้แน่ชัด ทว่าจากการวิเคราะห์ของจัวเปี๋ยหลีและคนอื่น ๆ คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะข้ามภูเขาเยี่ยนต้วนเพื่อเข้าโจมตีอาณาเขตของต้าเซี่ยอย่างฉับพลัน
ทว่าเจตนาของท่านอาจารย์ผู้นั้นจะคาดเดาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?