ตอนที่ 1034 ความลับ
ซีซานในช่วงเดือนสี่มีดอกไม้สีสันสะดุดตาเบ่งบานไปทั่วบริเวณ
ดอกไม้เหล่านี้เป็นดอกไม้ที่ฟู่เสี่ยวกวนได้มอบหมายให้เกษตรกรปลูกขึ้นมา
หลังจากนั้นผู้คนในซีซานก็ได้อพยพถิ่นฐานไปยังราชราชวงศ์อู๋ ดอกไม้เหล่านี้จึงไร้ซึ่งผู้ใดมาใส่ใจดูแล แต่มันก็ยังคงเติบโตอย่างแข็งแรงและเจริญงอกงาม
ฟู่เสี่ยวกวนเข็นรถเข็น โดยมีเจี่ยหนานซิงนั่งอยู่บนรถเข็นคันนั้น
“ที่นี่คือศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งแรก เป็นสถานที่บุกเบิกของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งต้าเซี่ย”
“อาวุธปืนขนาดเล็ก ระเบิด ปืนคาบศิลารุ่นแรก ปืนใหญ่และอื่น ๆ ล้วนถือกำเนิดขึ้นที่นี่”
“ในปีนั้นที่ข้าระเบิดจวนของฮุ่ยชินอ๋อง ท่านน่าจะยังจำได้ ปืนใหญ่กระบอกนั้นก็ถูกผลิตขึ้นที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้เช่นเดียวกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนเข็นเจี่ยหนานซิงไปช้า ๆ ภายใต้แสงสุริยาที่สาดส่อง เจี่ยหนานซิงฟังเขาเล่าถึงเรื่องราวในอดีตอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่า…ฟู่เสี่ยวกวนได้เริ่มลงมือทำทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกราวกับได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตอีกครา เขามองทุกอย่างที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกใจหาย “แท้ที่จริงในตอนนั้น ข้ามิคิดว่ามันจะมาได้ไกลถึงเพียงนี้ อย่างน้อย ๆ ในตอนที่เพิ่งก่อตั้งศูนย์วิจัยในตอนแรก ข้าก็มิได้คาดหวังอันใดมากมาย”
“ในตอนนั้นฝ่าบาททรงคิดอันใดอยู่กัน ? ”
“ตอนที่ก่อตั้งศูนย์วิจัยซีซานในตอนแรก ข้าเพียงอยากลองดูว่าจะสามารถประดิษฐ์อาวุธเหล่านั้นออกมาได้จริงหรือไม่ ถ้าหากประดิษฐ์อาวุธเหล่านั้นขึ้นมาได้จริง ๆ ราชวงศ์หยูก็จะได้ครอบครองอาวุธเหล่านี้และคงมิถูกแคว้นอื่น ๆ ข่มเหงรังแกโดยเฉพาะแคว้นฮวง ในตอนนั้นจักรพรรดิพระเจ้าหลวงได้บรรยายถึงทหารม้าของแคว้นฮวงว่าน่ากลัวมากเพียงใด”
“ข้าเชื่อว่าข้าคือชาวหยูมาโดยตลอด”
“มิคิดมิฝันว่าตนเองจะมีอีกหนึ่งสถานะซ่อนอยู่” ฟู่เสี่ยกวนหัวเราะเยาะตนเอง
เจี่ยหนานซิงก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “แท้จริงแล้ว…ไทเฮาซั่งและอดีตฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูทรงทราบสถานะของฝ่าบาทตั้งแต่ฝ่าบาทยังอาศัยอยู่ในเมืองหลินเจียงแล้ว จะว่าไปก็พิลึกสิ้นดี แต่ก่อนฝ่าบาทเป็นเพียงบุตรชายของเศรษฐีที่ดินผู้เสเพลแห่งหลินเจียงเท่านั้น ทว่าอยู่ ๆ เหตุใดถึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เล่าพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนทอดมองไปที่สุริยาบนท้องนภา จากนั้นก็เข็นเจี่ยหนานซิงไปยังทุ่งนา
“ข้าจะบอกความลับให้ท่านฟัง”
“ข้า…แท้ที่จริงแล้วข้ามิใช่คนในภพชาตินี้”
เจี่ยหนานซิงตกตะลึงขึ้นมาทันใด “แล้วฝ่าบาทมาจากที่ใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนถูจมูกด้วยความเขินอายพลางตอบไปว่า “ข้ามาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลก”
“ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกมันตั้งอยู่ที่ใดกัน ? ”
“มันมิได้แตกต่างจากที่นี่มากหรอก เพียงแต่โลกใบนั้นจะหมุนเร็วกว่า ข้าจะบอกให้ว่า…ในโลกใบนั้นมีโทรศัพท์ที่สามารถสนทนากันได้แม้จะอยู่ไกลกันเป็นพันลี้ ในโลกใบนั้นสามารถสนทนากันผ่านวิดีโอได้ เอ่อ…หมายถึงสามารถสนทนาและเห็นหน้ากันได้แม้ว่าจะอยู่ห่างกันเป็นหมื่น ๆ ลี้”
“ในโลกใบนั้นมีรถยนต์สี่ล้อที่วิ่งบนถนนได้อย่างรวดเร็ว มีเครื่องบินที่บินอยู่บนท้องนภาแล้วสามารถเดินทางได้มากกว่าพันลี้ภายในเวลาครึ่งชั่วยาม”
“ยังมีอีกเยอะแยะมากมาย เช่นการที่มนุษย์ขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ บนดาวอังคารก็มีเครื่องจักรและรอยเท้าของมนุษย์ขึ้นไปเหยียบย่ำแล้วเช่นกัน มีพวกเสียสติอยากอพยพไปอยู่บนดาวอังคาร อีกทั้ง…อีกทั้งยังมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองอีกหลายอย่าง”
เจี่ยหนานซิงย่อมมิเข้าใจเพราะเกินกว่าการรับรู้ของตนไปมากโข ทันใดนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย…หรือว่านี่จะเป็นเพียงการคาดเดาของฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้น ?
สามารถสนทนากันแม้จะอยู่ห่างกันเป็นพันลี้ มันทำได้ที่ไหนกันเล่า ?
และยิ่งเป็นไปมิได้ที่จะสนทนาและเห็นหน้ากันทั้งที่อยู่ห่างกันนับหมื่นลี้ !
ดวงจันทร์ตั้งตระหง่านอยู่สูงถึงเพียงนั้น เป็นเขาเองมิใช่หรือที่เอ่ยว่าอากาศบนดวงจันทร์หนาวเย็นจนทนมิได้ ? แล้วมนุษย์จะบินไปถึงดวงจันทร์ได้เยี่ยงไรกัน ? ต้องมีวรยุทธ์สูงส่งมากเพียงใดถึงจะสามารถบินไปบนดวงจันทร์ได้ ?
หรือว่าจะมีจอมยุทธ์ที่เหนือกว่าปรมาจารย์อีกกัน ?
ส่วนดาวอังคารนั้น…ตนมิเคยได้ยินมาก่อน แต่มันมีคำว่าไฟ (ในภาษาจีนดาวอังคารเรียกว่า “火星” หากแปลความหมายตามตัวอักษรจะแปลได้ว่า “ดาวไฟ” ) มันต้องเป็นดาวที่มีไฟเผาไหม้อยู่เป็นแน่ แล้วเช่นนี้จะย้ายเข้าไปอยู่ได้เยี่ยงไรกัน ?
“ฝ่าบาทอย่ามาล้อกระหม่อมเล่นเชียว แท้ที่จริงการที่ได้เห็นทุกสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ กระหม่อมก็สุขใจมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
จริงสิ ! ฝ่าบาทอาจจะตรัสสิ่งนี้เพื่อให้เขาสบายใจก็เป็นได้
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถึงโลกอนาคตอีกต่อไปและเขาเองก็รู้สึกว่าเกือบจะลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปจนสิ้นแล้วเช่นกัน
ขณะที่กำลังเข็นเจี่ยหนานซิงอยู่ เขาได้เอ่ยขึ้นมาว่า จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อดีต…เยี่ยงไรก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว
“ข้าได้เพาะพันธุ์ฟู่เออร์ต้าย ณ ที่นาแปลงนี้ ท่านดูเถิด…บัดนี้ได้ปักดำต้นกล้าเรียบร้อยแล้ว”
“ข้าจะบอกอันใดให้ การปักดำคืองานถนัดของข้าเลยล่ะ”
“หากเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดินคนก่อน คงมิมีทางปักดำเป็นแน่ ๆ ” เจี่ยหนานซิงหัวเราะร่าราวกับมีความสุขเสียเต็มประดา
เฮ้อ…มิยอมเชื่ออยู่ดีสินะ !
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้พับขากางเกงแล้วกระโดดลงไปยังแปลงนา เพราะบัดนี้มีชาวนาหลายคนกำลังมองมาทางเขาด้วยความรู้สึกสงสัย
เขาเข็นเจี่ยหนานซิงไปบนทางเดินระหว่างแปลงนา ภายใต้แสงสุริยาอันอบอุ่นทั้งสองเดินทางไปยังสถานที่ที่เคยเป็นหมู่บ้านหวังเจียชุนมาก่อน หมู่บ้านมีราษฎรหน้าใหม่เข้ามาอยู่อาศัยมากมาย
เขามิได้เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ทว่ากลับเข็นเจี่ยหนานซิงไปยังทุ่งหญ้าบนภูเขา เพราะที่นั่นมีหมู่มวลบุปผานานาพันธุ์กำลังเบ่งบานชูช่อไสว
“มา…ข้าจะพยุงท่านลุกขึ้นไปยืดเส้นยืนสายเสียหน่อย”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ชายชราและชายหนุ่มเดินเคียงกันช้า ๆ อยู่บนทุ่งหญ้าที่คลาคล่ำไปด้วยบุปผาหลากสีสัน ชายอ้วนที่ตามมองอยู่ไกล ๆ อดรู้สึกริษยาขึ้นมามิได้ จึงหันไปเอ่ยถามเป่ยหวังฉวนว่า “เจ้าว่า…เหตุใดเขาต้องทำดีกับเจี่ยหนานซิงมากถึงเพียงนี้ด้วยกัน ? ”
เป่ยหวังฉวนมองเงาหลังของคนทั้งสองที่ร่ำไรอยู่ไกล ๆ พลางตอบว่า “บางที…ฝ่าบาทอาจจะขาดความรัก แล้วเจี่ยหนานซิงก็ได้มอบความรักให้แก่เขาพอดี”
ชายอ้วนผงะ “เจ้าอย่ามาเอ่ยพล่อย ๆ เชียว ข้าดีกับเขามากเพียงใดเจ้าเองก็รู้นี่ ! เหตุใดเขาถึงมิเคยปฏิบัติกับข้าเช่นนี้เลยเล่า ? ”
เป่ยหวังฉวนเหลือบไปมองชายอ้วนชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ก็เพราะท่านมิได้แก่ปานนั้นเยี่ยงไรเล่า อีกอย่าง…ฝ่าบาททรงเสียสละยาเพิ่มกำลังภายในให้ท่านไปตั้ง 1 เม็ด ชาตินี้เขาคงมิอาจบรรลุเป็นปรมาจารย์ได้อีก ท่านจะเอาอันใดจากพระองค์อีกกัน ? ”
คำเอ่ยของเป่ยหวังฉวนทำให้ชายอ้วนปิดปากเงียบอยู่เนิ่นนาน
“ซูฉางเซิงเก่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? เขาถูกโหยวเป่ยโต้วและหนิงฝาเทียนทำร้ายจนบาดเจ็บอยู่แล้ว ท่านยังมิสามารถจัดการเขาได้อีกหรือ ? ” เป่ยหวังฉวนโพล่งถามขึ้นมา
“ข้าประมาทจนเกินไป” ชายอ้วนหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ
“หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“กระบี่ปู้ฮุ้ยของเขา เป็นหนึ่งในเจ็ดอาวุธวิเศษที่สร้างโดยจู๋ซี ! ”
“กระบี่ปู้ฮุ่ยตกอยู่ในมือของเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เป่ยหวังฉวนตื่นตกใจขึ้นมาทันใด
ชายอ้วนกลอกตาไปมา “ก็ใช่น่ะสิ ! มิเช่นนั้นข้าจะถูกคมกระบี่ของเขาฟันจนเกือบตายหรือเยี่ยงไร ? ”
กระบี่ปู้ฮุ่ย…เมื่อออกกระบวนท่าจะไร้ซึ่งความเสียใจ เป็นอาวุธที่ไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาอาวุธวิเศษทั้งเจ็ด !
“แล้วเหตุใดท่านถึงมิใช้ปืนเล่า ? ”
“เพราะเขามีเกราะป้องกันกระสุนน่ะสิ ! ”
ตอนนั้นชายอ้วนได้ขว้างวงล้อหยินหยาง และหยิบปืนออกมา
ซูฉางเซิงยื่นอกเข้ามารับกระสุนของเขาหน้าตาเฉย กระบี่ปู้ฮุ่ยของเขาฟาดฟันลงมาเพียงแค่คราเดียวก็ทำให้วงล้อหยินหยางของเขาลอยออกไปไกล
ชายอ้วนคิดว่าปืนสองกระบอกของเขาจะทำให้ซูฉางเซิงตกตายได้ แต่ผลปรากฏว่าเขาประมาทจนเกินไป กระสุนทั้งสองยิงตรงไปที่บริเวณหัวใจของซูฉางเซิง ทันทีที่กระสุนปะทะเข้ากับชุดเกราะก็มีประกายไฟสองจุดสว่างวาบขึ้นมาที่หน้าอกของเขา กระบี่ได้สำแดงพลังสูงสุด ถ้าหากไม่ได้ซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนเข้ามาช่วยในช่วงคับขัน เกรงว่าร่างของชายอ้วนที่หนักกว่าสองร้อยจินคงต้องถูกฝังอยู่ที่นั่นแล้ว
ช่างน่าขายหน้าเสียจริง !
“แค้นนี้…ต้องชำระ ! ” ชายอ้วนกัดฟันแน่น
ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ห่างออกไปจากจุดที่ชายอ้วนอยู่ เขาจึงมิได้ยินที่ชายอ้วนเอ่ย เขาพยุงเจี่ยหนานซิงให้นั่งลงท่ามกลางบุปผาหลากสีสัน
“เรื่องสงครามที่ราชวงศ์เหลียว ท่านมิจำเป็นต้องกังวลต่อสิ่งใด หากจะเอ่ยว่าศึกครานี้เป็นศึกระหว่างต้าเซี่ยและราชวงศ์เหลียว มิสู้เอ่ยว่าเป็นศึกระหว่างข้ากับท่านอาจารย์มิดีกว่าหรือ… เขาเก่งกาจ ข้ามิเถียง แต่เมื่อมาเจอกับปืนของข้า เขาคงมิอาจต้านทานแสนยานุภาพของปืนข้าได้ ! ”
เจี่ยหนานซิงจำปืนกระบอกนั้นที่สังหารฝานอู๋เซียงได้เป็นอย่างดี เขาพยักหน้าเห็นด้วย “ก่อนที่ซูฉางเซิงจะตาย ฝ่าบาทต้องพกปืนกระบอกนั้นติดตัวไว้ตลอดเวลา”
แม้ปืนกระบอกนั้นจะไม่มีลูกกระสุนแล้ว ทว่ามันยังคงถูกแบกอยู่บนหลังของสวี่ซินเหยียน
“ข้าคาดมิถึงอย่างแท้จริงว่าท่านอาจารย์จะเป็นเศษเดนที่หลงเหลืออยู่ของราชวงศ์เฉิน เฮ้อ…ถ้าหากเจอเขาอีกครา ข้าคงทำได้เพียงแค่ยิงเขาทิ้งเสีย”