สุดท้ายก็เลือกคนไปที่ตึกเซียงเจียงได้ห้าคนคือกู่ฟู่กุ้ย ซูรุ่ยเอ๋อร์ จิ้นเทียนหยู่ เจียงป่าวชิง และจ้าวซื่อไห่
ที่จ้าวซื่อไห่ได้รับเลือกก็เพราะว่าเขาจ้องจับผิดเรื่องนี้มาโดยตลอด กู่ฟู่กุ้ยรู้สึกรำคาญจึงเรียกชื่อเขาเพราะไม่อยากให้เขาสอดปากสอดคำ
จ้าวซื่อไห่เหี่ยวเฉาทันที
แต่เรื่องที่ซูรุ่ยเอ๋อร์ต้องการไปที่ตึกเซียงเจียงด้วยกันนั้น เจียงป่าวชิงค่อนข้างกังวล นางมองหน้าท้องของซูรุ่ยเอ๋อร์ด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย เรื่องที่หัวหน้าสองตั้งท้อง ทั้งหมู่บ้านนอกจากนางกับเจียงป่าวชิงแล้ว คาดว่าคงมีคนรู้ไม่มาก ยิ่งหัวหน้าสองรู้สึกไม่สบายในการตั้งต้องระยะแรกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาแล้วด้วย เจียงป่าวชิงคิดว่าหากถึงตอนนั้นสองฝ่ายเจรจาต่อรองกันไม่ได้และต่อสู้กันในที่สุด มันไม่เป็นการดีกับลูกในท้องของซูรุ่ยเอ๋อร์เลย
ซูรุ่ยเอ๋อร์รับรู้ถึงสายตากังวลของเจียงป่าวชิง นางยิ้มให้และส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกให้ไม่ต้องกังวล นางใคร่อยากจะไปดูอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรพี่ชายของมู่จิ้งอี๋ก็คือลุงของลูกในท้องของนาง นางอยากไปดูให้เห็นกับตาตัวเองว่าเขาเป็นคนยังไง
หลังจากที่ตกลงเรื่องนี้แล้ว ที่เหลือคืองานลับสำคัญในหมู่บ้าน เท่ากับว่ากู่ฟู่กุ้ยต้องจัดเตรียมเรื่องต่อไปให้กับหลู่เว่ยต้ง
เจียงป่าวชิงไม่เหมาะที่จะอยู่ในห้องรวมกลุ่มหารืออีกต่อไป
ใครคนหนึ่งก้าวออกมา กำลังจะ “คุมตัว” เจียงป่าวชิงไปส่ง ทว่านั่นทำให้จิ้นเทียนหยู่ผุดลุกขึ้นยืนและพูดด้วยน้ำเสียงหยาบคาย “เจ้าไม่ค้อง ข้าไปส่งนางเอง”
เจียงป่าวชิงรู้สึกงุนงงแต่ก็พยักหน้าและพูดขึ้นอย่างเกรงใจ “รบกวนหัวหน้าสามด้วย”
จิ้นเทียนหยู่ยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม
ทั้งสองคนเดินออกจากห้อง มุ่งหน้าไปที่บ้านของเจียงป่าวชิงด้วยกัน เจียงป่าวชิงครุ่นคิดสักครู่และพูดขอบคุณจิ้นเทียนหยู่ “ช่วงนี้ข้าคงทำให้พวกลูกน้องของหัวหน้าสามลำบากหน่อยนะ”
เจียงป่าวชิงถูกกักบริเวณในช่วงนี้ ไม่ใช่ว่านางไม่ได้ยินข่าวลือเหล่านั้นที่บอกว่านางทรยศต่อคนทั้งหมู่บ้านเพื่อหาเรื่องแก้แค้น แต่พวกคนที่ชอบนินทาเรื่องนี้ ทั้งหมดกลับถูกคนของจิ้นเทียนหยู่คอยขับไล่อยู่ตลอด
เจียงป่าวชิงไม่ได้กลัว เพราะถึงอย่างไรการที่กล้ามาก่อเรื่อง ถ้ามาคนเดียวนางก็จะเล็งไว้คนเดียว มาสองคนก็จัดการทั้งคู่ แต่ยังมีเจียงฉิงที่เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อยู่ในบ้าน แน่นอนเจียงป่าวชิงปกป้องตัวเองได้ แต่ไม่กล้าพูดว่าตนสามารถปกป้องเจียงฉิงได้ตลอดเวลา
ในทุก ๆ วันมีคนของจิ้นเทียนหยู่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก แม้บอกว่าเฝ้าดู แต่อันที่จริงคือพวกเขาช่วยเหลือนางไม่น้อยเลย
ระหว่างที่กำลังเดินกันไปและคิดอะไรเพลิน ๆ นั้น จู่ ๆ จิ้นเทียนหยู่ก็ปามีดในมือลงพื้นอย่างแรงราวกับว่าเขาโกรธมาก “มีอะไรให้เจ้าต้องขอบคุณ เจ้าไม่ได้ทำเรื่องพวกนั้น เดิมทีเจ้าก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่แล้ว ยังต้องเป็นฝ่ายขอบคุณคนอื่นอีกรึ ?!”
เขารู้สึกฉุนเฉียวอย่างมาก
หลังจากถูกสงสัยว่าร่วมมือกับศัตรู เจียงป่าวชิงดูเหมือนสงบเงียบมาโดยตลอด ไม่มีสีหน้าในแบบของคนได้รับความไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อย ราวกับว่านางจำทนต่อสภาพอันเลวร้ายนี้
ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน จิ้นเทียนหยู่อาจจะคิดว่าเจียงป่าวชิงเป็นคนที่นิสัยแย่มาก แต่เขาเคยเห็นสีหน้าสับสนของนางเพราะคนคนหนึ่ง เขาจึงรู้ว่านางไม่ใช่พวกนิสัยแย่ เพียงแค่ต้องดูว่าคนที่นางเผชิญหน้าด้วยเป็นคนยังไงก็เท่านั้น
เจียงป่าวชิงรู้สึกงุนงงต่ออาการโกรธอย่างกะทันหันของจิ้นเทียนหยู่ นางคิดว่านิสัยฉุนเฉียวของเขากำเริบอีกแล้วจึงขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ย “ข้ามีอะไรให้ต้องน้อยใจล่ะ ก็แค่พฤติกรรมของข้ามีจุดที่น่าสงสัยจริง ๆ มันเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้วที่ข้าต้องถูกกักบริเวณเพื่อความสบายใจของคนทั้งหมู่บ้าน… ท่านนั่นแหละจะโมโหทำไม สมองของท่านเต็มไปด้วยขี้เลื่อยรึ ? ข้าไม่สามารถพูดกับท่านดี ๆ ได้เลยหรือ เพียงข้าขอบคุณท่าน ท่านถึงกับต้องโกรธเลยเชียวหรือ ?”
เจียงป่าวชิงถากถางจิ้นเทียนหยู่ด้วยใบหน้าบึ้งตึง แต่เขากลับมีสีหน้าตกตะลึงพลางพูดพึมพำครู่หนึ่ง สุดท้ายสีหน้าของเขาค่อยผ่อนคลายลง
เจียงป่าวชิงได้ยินจิ้นเทียนหยู่พูดพึมพำเบา ๆ ว่า “นี่สิ ถึงจะดูเป็นผู้เป็นคนหน่อย” นางอดคิดในใจไม่ได้ว่า ‘ไม่ใช่ว่าอาการคลั่งไคล้ในตัวข้าของท่าน ทำให้การถากถางเป็นเวลาหลายปีของข้ากลายเป็นความพึงพอใจที่ได้รับความเจ็บปวดสำหรับท่านหรอกนะ’
……
รุ่งอรุณวันต่อมา เจียงป่าวชิงตื่นมาจัดการกับตัวเอง นางยังคงสวมใส่ชุดผู้ชายอย่างเรียบง่ายและมัดผมไว้อย่างเรียบง่ายเช่นเดิม
เจียงฉิงเองก็ตื่นเช้าเช่นกัน นางออกกำลังกายเลียนแบบท่าสัตว์อยู่ในลานบ้าน
เรื่องที่เจียงป่าวชิงจะไปที่ตึกเซียงเจียง เจียงฉิงได้ยินพี่สาวพูดเมื่อคืนนี้แล้ว แม้นางจะยังเด็กแต่ก็รู้เรื่องดีและรู้ว่าการที่นางถูกกักบริเวณถือว่าเป็นสิ่งที่พวกคนในหมู่บ้านที่ไม่ไว้ใจสามารถใช้ข่มขู่พี่สาวของนางได้ เจียงฉิงไม่ได้ร้องไห้โวยวายอะไร เพียงปลอบเจียงป่าวชิงเพื่อให้พี่สาวที่นางรักสบายใจ
เจียงป่าวชิงเห็นเจียงฉิงกำลังออกกำลังกายอยู่ ใบหน้าเล็กแดงก่ำดูมีชีวิตชีวาราวกับไม่ต้องการให้นางเป็นห่วงอย่างไรอย่างนั้น เจียงป่าวชิงรู้สึกสบายใจอย่างมาก เด็กคนนี้ทั้งฉลาดทั้งช่างเอาใจใส่ เห็นทีต้องไปบอกสักหน่อยดีกว่าว่าไม่ต้องห่วง
เจียงป่าวชิงเดินเข้าไปหาเจียงฉิง เมื่อเจียงฉิงเก็บมือท่าสุดท้ายลง นางก็ส่งผ้าขนหนูให้น้อง และลูบเส้นผมที่ชื้นเหงื่อเล็กน้อยของเด็กหญิงตัวเล็ก
เจียงฉิงส่งยิ้มหวานกลับมาให้
ตอนใกล้ยามเที่ยง มีคนมาเรียกเจียงป่าวชิงจากนอกบ้านและบอกว่าให้เตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว เจียงป่าวชิงหยิบถุงหอมออกมาจากในแขนเสื้อสองถุง นำถุงที่ดูเรียบง่ายห้อยไว้ตรงเอวให้เจียงฉิงอย่างระมัดระวัง อีกถุงก็ให้ถือไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง
มีสิ่งของบางอย่างอยู่ในถุงหอมที่เรียบง่ายนั้น นั่นก็เพื่อใช้รับมือกับคนของหลู่เว่ยต้งหากจำเป็น ถ้าหากว่าคนของหลู่เว่ยต้งต้องการค้นตัว ถุงหอมที่ใส่สิ่งของบางอย่างเตรียมไว้นี้เป็นเพียงแค่หน้าฉากเท่านั้น ของที่เจ๋งจริง ๆ อยู่ในถุงหอมที่เจียงป่าวชิงให้เจียงฉิงถือไว้ในอ้อมแขนต่างหาก ในนั้นมียาหลากชนิดที่เจียงป่าวชิงทำขึ้นในชั่วข้ามคืน มันแบ่งแยกตามประเภทเป็นถุงยาขนาดเล็กจำนวนมากที่ถูกซ้อนกันเผื่อไว้ให้เจียงฉิงได้ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
เจียงฉิงอดกลั้นความขมขื่นใจเอาไว้ พยายามเผยรอยยิ้มเจิดจรัสออกมาให้เห็นทางใบหน้า “พี่สาวไม่ต้องเป็นห่วงข้านะจ๊ะ พี่ป้องกันตัวเองดี ๆ ตอนที่อยู่ข้างนอกนั่น ข้าจะรอพี่กลับมาจ้ะ”
เจียงป่าวชิงพูดคำพูดปลุกใจไม่ค่อยเป็นจึงส่งยิ้มให้เจียงฉิง “อื้ม เราต้องสบายดีกันทั้งคู่ เจ้าก็ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ”
คนด้านนอกพูดเร่งอีกครั้ง เจียงป่าวชิงจึงลุกออกจากบ้าน
เจียงฉิงส่งเจียงป่าวชิงออกจากบ้านอย่างสงบ เด็กหญิงควบคุมความรู้สึกไว้ได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ แต่หลังจากที่นางกลับเข้ามาในบ้านก็ฝังตัวเองอยู่ในผ้าห่ม ร่างเล็กตัวสั่นเทาร้องไห้โฮยกใหญ่
พวกกู่ฟู่กุ้ยมารออยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านแล้ว จ้าวซื่อไห่เหลือบมองเจียงป่าวชิงก่อนจะเอ่ย “เหอะ! เป็นตัวปัญหาแล้วยังต้องให้เรารอเจ้าคนเดียวอีก ช่างล้ำค่าซะจริง!”
เจียงป่าวชิงไม่สนใจจ้าวซื่อไห่ นางมองพวกกู่ฟู่กุ้ยที่ต่างก็พกอาวุธติดตัว ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็เตรียมพร้อมเผื่อเกิดเรื่องที่เลวร้ายที่สุดเช่นกัน
กูฟู่กุ้ยก็ไม่สนใจจ้าวซื่อไห่ เขาเลือกสังเกตเจียงป่าวชิง “น้องเจียง เจ้าไม่ป้องกันตัวอะไรหน่อยรึ ?”
เจียงป่าวชิงยิ้ม มือขวาคลำกำไลข้อมือที่สวมใส่อยู่บนข้อมือซ้ายโดยไม่รู้ตัว “ไม่ต้องหรอก”
บอกไม่ต้อง แต่นางก็ยังแจกจ่ายถุงยาขนาดเล็กให้กับพวกเขาสองสามถุง “นี่ข้าเพิ่งทำเสร็จเมื่อคืน กันไว้ดีกว่าแก้”
ตอนแจกจ่ายมาถึงจ้าวซื่อไห่ จ้าวซื่อไห่เหลือบมองเจียงป่าวชิงและยื่นมืออกไปเพื่อรอรับ แต่นางเก็บถุงยากลับมาและพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ค่อยต้องการของของข้าสักเท่าไหร่ งั้นเจ้าก็ไม่ต้องใช้สิ่งนี้หรอก”
จ้าวซื่อไห่มองเจียงป่าวชิงเก็บถุงยานั้นกลับไปด้วยท่าทีตกตะลึง
หญิงผู้นี้ช่างน่าหมั่นไส้นัก นางอาฆาตแค้นเขาเข้าให้แล้ว!
.
.
.