บทที่ 182 นอกใจแฟน
บทที่ 182 นอกใจแฟน
เมื่อมาถึงโรงแรม ซูโย่วอี๋เหนื่อยมากแล้ว เธอมองลงพื้นด้วยความเมื่อยล้าและค่อย ๆ เดินไปยังห้องพัก
‘ติ๊ด’ เสียงรูดการ์ดเข้าห้อง
ขณะเข้าไปในห้อง เสียงของป๋ายลิ่นดังขึ้นจากด้านหลัง “คุณซู กลับมาแล้วเหรอครับ”
ซูโย่วอี๋รวบรวมแรงและหันกลับไป เธอเห็นป๋ายลิ่นอยู่ในชุดนอน สายตาดูเป็นกังวล
ตอนที่เดินขึ้นมาไม่เห็นวมีคนอยู่ที่ทางเดินเลยนี่
ป๋ายลิ่นโผล่มาจากไหนกันนะ
“ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอคะ?”
ป๋ายลิ่นส่งของในมือให้เธอ “ผมเห็นว่าคุณชอบกินเค้ก พอดีพึ่งออกมาจากร้านอาหารกลางดึกแล้วผ่านร้านเค้กเลยซื้อมาฝากคุณชิ้นหนึ่งน่ะครับ”
ป๋ายลิ่นดูเหมือนคนยุโรปไม่ก็อเมริกา ใบหน้าคมเป็นสันชัดเจน ดูสมเป็นชายชาตรี แต่ตอนนี้ซูโย่วอี๋รู้สึกเหมือนเขา… กำลังรอเธออยู่เลย
“ขอบคุณนะคะ แต่เวลานี้ฉันไม่กินอะไรแล้ว”
“ฉันรู้สึกเหนื่อย ๆ ขอตัวไปพักก่อนนะ”
พูดจบ เธอก็ไม่ได้สนใจว่าป๋ายลิ่นจะคิดอย่างไร พอเข้าห้องมาก็ปิดประตูทันที
ส่วนป๋ายลิ่นถือเค้กกลับไปยังห้องของตัวเอง เหม่อมองดูเชอร์รี่บนเค้ก ภาพของเชอร์รี่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นฉากการขี่ม้าของฮั่วเสวียนในชุดทหาร
เขายิ้มกับตัวเองอยู่อย่างนั้น
ห้อง 703
ทั่วทั้งร่างกายของซูโย่วอี๋สกปรกมาก เธอไม่กล้านอนลงบนเตียงจึงนั่งพักลงบนเก้าอี้
“เจ้าจิ้งจอกเน่า มีเม็ดยาที่ช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ไหม?”
สุนัขจิ้งจอกคิดทบทวน [คุณมีผงเลิศรสอยู่ไม่ใช่เหรอ?]
หืม
ไม่ได้ใช้สำหรับทำอาหารเหรอ?
“กินได้เลยเหรอ?”
สุนัขจิ้งจอกมองเธอเหมือนไม่เคยเห็นโลกใบนี้มาก่อน [แน่นอนสิ เกลือก็กินได้เลยไม่ใช่เหรอ?]
หืม
โอเค
ดูแล้วคงไม่เป็นอะไร
ซูโย่วอี๋หยิบผงเลิศรสขึ้นมา ไม่รู้ว่าต้องกินมากน้อยแค่ไหน จึงทำได้เพียงเทใส่ปากคำเล็ก ๆ แต่หลายครั้ง
พอกินเข้าไปนิดหน่อย เธอก็มองดูรอยซ้ำที่หลังของตัวเอง
พอกินไปสี่ห้าคำ อาการบาดเจ็บทั้งหมดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พอยกมือขึ้นไปกดก็ไม่รู้สึกเจ็บเลย
ความอ่อนล้าก็ลดลงไปเช่นกัน
ซูโย่วอี๋รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นอาบน้ำและนอนหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ที่สตูดิโอ
ผู้กำกับสวีมองซูโย่วอี๋ที่ดูมีชีวิตชีวา “ได้ยินผู้ช่วยผู้กำกับบอกว่าเมื่อวานนี้ผลการฝึกซ้อมของคุณดีมาก แสดงให้พวกเราดูหน่อยนะ”
ซูโย่วอี๋เลิกคิ้วขึ้นอย่างมั่นใจ
ส่วนฮันเจ๋อหยางเดินเข้ามา เขาอยากลูบผมของเธอมาก แต่ตอนนี้ซูโย่วอี๋กำลังแต่งหน้าทำผมอยู่ ฮันเจ๋อหยางเลยดึงมือกลับมาอย่างเสียดาย
เขาหันหน้าและเข้าไปใกล้ ๆ ซูโย่วอี๋ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตอนจะเช้าอยู่แล้ว เธอคุยอะไรกับป๋ายลิ่นที่หน้าห้องเหรอ?”
“ไม่มีอะไรนี่คะ แค่บังเอิญเจอกัน”
“บังเอิญ? เจ้านั่นยืนถือเค้กเดินไปมาอยู่ข้างนอกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่า รอคนที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่พอได้ยินเสียงเปิดประตูก็รีบวิ่งออกมา หมอนั่นตั้งใจรอเธอโดยเฉพาะเลยต่างหาก”
รอเธอ?
รอทำไม?
ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจ เธอยืนขึ้นและมองไปยังป๋ายลิ่นที่อยู่ไม่ไกล เธอพบว่าเขากำลังมองเธออยู่
เมื่อสายตาชนกัน ป๋ายลิ่นก็ยิ้มให้เธอ
ฮันเจ๋อหยางหมดคำจะพูด ซูโย่วอี๋ไม่เคยรู้ตัวเลย ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่สนใจ แต่เพราะเขาเองก็ชื่นชอบซูโย่วอี๋จึงต้องพูดให้ชัดเจน “เจ้านั่นมันชอบเธอ รู้ตัวบ้างสิ”
พอได้ยินคำพูดของฮันเจ๋อหยาง ซูโย่วอี๋ก็ตกใจมาก “แต่ฉันมีแฟนแล้วนะ”
เธอไม่เคยคิดถึงเขาในด้านนี้เลย
ฮันเจ๋อหยางเลิกคิ้ว “แฟนกันก็เปลี่ยนกันได้”
“แน่นอน คนที่เป็นเหมือนพี่ชายของเธออย่างฉันยังคงหวังว่าเธอจะไม่นอกใจแฟนของตัวเองนะ”
ซูโย่วอี๋ “…”
พูดบ้าอะไรกันเนี่ย?
สวีโหมวหยิบเครื่องกระจายเสียงขึ้นมา “หยุดคุยได้แล้ว มาเตรียมตัวกันให้หมด จะเริ่มถ่ายทำแล้ว”
ในฉากนี้ทุก ๆ คนถ่ายผ่านไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงฉากการต่อสู่ระหว่างซูโย่วอี๋และป๋ายลิ่นที่ต้องถ่ายทำใหม่
เริ่มต้นฉากด้วยตอนที่ทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญหน้ากัน ฮั่วเสวียนและอูซือม่านนั่งอยู่บนหลังม้าและมองกันจากระยะไกล
แต่สวีโหมวตะโกนขึ้นจากอีกฝั่งไม่หยุด
“เริ่มยั่วยุได้เลย ป๋ายลิ่นแสดงความก้าวร้าวขึ้นอีกหน่อย”
“ซูโย่วอี๋โต้กลับแบบนิ่ง ๆ”
“เริ่มถ่ายได้”
พอได้ยินคำสั่งของสวีโหมว ซูโย่วอี๋ก็เหาะออกมาจากบนหลังม้าและชี้ดาบไปยังป๋ายลิ่น
ทั้งท่าทางและอารมณ์ที่แสดงต่อหน้ากล้องนั้นยังเหมือนเดิม
สวีโหมวมองท่าทางสง่างามของซูโย่วอี๋ผ่านจอมอนิเตอร์อย่างพึงพอใจ “ผู้หญิงคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงจริง ๆ”
เวลาแค่เพียงวันเดียวสามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้ทั้งหมด
ไม่เพียงการต่อสู้ที่สามารถพัฒนาขึ้นภายในคืนเดียวเท่านั้น แต่ยังพัฒนารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จนการแสดงของซูโย่วอี๋น่าทึ่งมาก!
คนที่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุดก็คือป๋ายลิ่น
แต่เพราะเขากำลังแสดงอยู่จึงไม่ได้แสดงความชื่นชมออกมา ความชอบที่มีต่อซูโย่วอี๋ในใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“คัต ดีมาก ๆ!”
สวีโหมวหยุดยิ้มไม่ได้ “ผ่านแล้ว”
ซูโย่วอี๋พึ่งเข้าบทบาทได้ไม่นานก็สามารถทำให้ตัวเองกลายเป็นฮั่วเสวียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ และป๋ายลิ่นก็เป็นคนป่าเถื่อนแห่งหร่งตี๋ที่เธอเกลียดชังเป็นอย่างมาก
เธอใช้พละกำลังฟาดฟันดาบลงไปอย่างมาก เลยรีบขอโทษเขาอย่างรู้สึกผิด
เธอเดินเข้าไปจิ้ม ๆ ที่ไหล่ของป๋ายลิ่น “ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ ขอโทษนะคะ เมื่อครู่นี้ฉันควบคุมแรงไม่ดี”
“ไม่เป็นไร ลูกผู้ชายตัวจริงอย่างผมทนไหวอยู่แล้วครับ”
ป๋ายลิ่นไม่คิดว่าซูโย่วอี๋ใส่ใจเขาขนาดนี้ เขาดีใจจนเกินจะบรรยายได้ ดวงตาเขาเป็นประกาย
เดิมทีซูโย่วอี๋ยังอยากพูดกับเขาต่อ แต่พอนึกถึงคำพูดของฮันเจ๋อหยางเลยรีบหยุดปากตัวเอง และหันหลังกลับเดินจากมา
ส่วนป๋ายลิ่นมองแผ่นหลังที่จากไปของซูโย่วอี๋อย่างหลงใหล จนกระทั่งมีคนตบลงที่ตัวเขา พอหันกลับไปมอง คนคนนั้นก็คือผู้จัดการของเขาเอง
“ป๋ายลิ่น เธอไม่ได้คิดอะไรกับคุณ”
ผู้จัดการพูดความจริงออกมาอย่างไร้อารมณ์
แต่ป๋ายลิ่นกลับไม่รู้สึกอะไรเลย “ผมรู้ ตอนนี้ไม่ชอบไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่ชอบนี่”
ผู้จัดการมองดูสายตาของเขาและแนะนำขึ้น “เธอเป็นแฟนของลู่เฉิน ถ้าคุณไม่หักห้ามใจสักนิด ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เกินสองวัน ทั้งทีมละครคงดูออกกันหมดแน่”
ป๋ายลิ่นยิ่งสนใจมากขึ้น “ครับ ต่อไปผมจะระวัง”
เขาเป็นบุคคลสาธารณะ หากมีข่าวลือกระจายออกไปจะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของทั้งสองฝ่าย
แต่เขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้
…
หลังจากตอนที่สองได้ออกอากาศไปแล้ว ชาวเน็ตต่างก็ชื่นชมและหลงรักฮั่วเสวียนเป็นอย่างมาก
[ซูโย่วอี๋แสดงละครได้เท่มาก ทุกคนต้องไปดู!]
[ฉันดูจนฉันจะลงไปหมอบกับพื้นแล้ว ผู้หญิงเท่ได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ หรือฉันเริ่มเบี่ยงเบนแล้ว]
[เหล่าพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาวทั้งหลาย เหมือนฉันจะลืมไปแล้วว่าฮั่วเสวียนไม่ใช่นางเอก]
[ฉันก็ด้วย เมื่อก่อนรู้สึกว่ากู้ชิงเฉิงกับหลี่จื้อนั้นเหมาะสมกันมาก แต่ตอนนี้… ฉันว่าเมื่อก่อนฉันคงจะตาบอด ฮั่วเสวียนดีมากเลย]
[กู้ชิงเฉิงในนิยายต้นฉบับก็ดี แต่บอกได้เลยว่าซูโย่วอี๋คนนี้แสดงได้โดดเด่นมาก]
[ฉันอยากแต่งงานกับฮั่วเสวียน ฉันจะมีลูกให้เขา]
[หัวเราะจนน้ำตาไหล สาว ๆ มีสติหน่อย ไม่ว่าจะในหรือนอกบท ฮั่วเสวียนก็ยังเป็นผู้หญิงนะ]
[ซูโย่วอี๋สวยมาก ชาติหน้าให้ฉันเป็นแบบนี้บ้างได้มั้ย]
หลังจากดูตอนออกอากาศรวมกันในห้องประชุมแล้ว ซูโย่วอี๋ตามหาสวีโหมวจนเจอ
“ผู้กำกับสวี ฉันลองดูตารางถ่ายทำแล้ว อาทิตย์ต่อไปบทของฉันมีไม่มาก ฉันอยากจะขอลาพักสักหนึ่งวันได้ไหมคะ?”
สวีโหมวถือบุหรี่อยู่พูดขึ้น “มีธุระเหรอ?”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า เธออยากกลับปักกิ่งเพื่อไปเซอร์ไพรส์ลู่เฉิน
หลังรู้จักกันมากว่าครึ่งเดือน สวีโหมวรู้จักบุคลิกและนิสัยของซูโย่วอี๋ดี เขารู้ว่าเธอทุ่มเทให้งานมากและคงจะไม่โดดงานง่าย ๆ
“ก็ได้ แต่วันมะรืนนี้จะต้องกลับมานะ เรตติ้งรักในฝันอยู่อันดับหนึ่ง พวกเราจะต้องรักษาเรตติ้งเอาไว้”