บทที่ 189 สิทธิพิเศษ
บทที่ 189 สิทธิพิเศษ
เขามองออก แต่เขาไม่อยากจะพูด ตราบใดที่ป๋ายลิ่นไม่ทำอะไรเกินควร ก็ไม่ต้องไปสนใจ
ช่วงเวลาการถ่ายทำนั้นค่อนข้างน่าเบื่อ ต้องถ่ายทำฉากเดิมหรือการกระทำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถึงเวลาที่กู้ชิงเฉิงต้องถ่ายทำแล้ว
ในตอนเที่ยงของวันนั้น ซูโย่วอี๋กำลังนั่งกินข้าวอยู่กับคนอื่น ๆ ส่วนอวิ๋นเหมี่ยวก็เพิ่งจะมาถึง
เธอสวมเสื้อสีขาวทับด้วยสเวตเตอร์สีชมพูบาง ๆ ดูน่ารักมาก
“ผู้กำกับสวี คุณฮัน คุณซู”
เธอทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม ผู้กำกับสวีมองเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อวิ๋นเหมี่ยว คุณกินอะไรมาหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ พอดีฉันรีบขับรถมา”
ผู้ช่วยของอวิ๋นเหมี่ยวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองศิลปินของเธอด้วยสายตางงงวย เห็น ๆ กันอยู่ว่าพวกเธอกินอะไรมาแล้วระหว่างทาง
แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะขัดอวิ๋นเหมี่ยว
ซูโย่วอี๋ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดี เธอขอให้เหมยเหมยเพิ่มชามและตะเกียบคู่หนึ่ง “ถ้าคุณอวิ๋นไม่รังเกียจ มากินด้วยกันสิคะ”
อวิ๋นเหมี่ยวรู้สึกมึนงง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ซูโย่วอี๋ถึงเรียกเธอกินข้าวด้วยกัน
แต่เธอก็เก็บซ่อนอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และนั่งลงข้าง ๆ ฮันเจ๋อหยางด้วยท่าทางเป็นมิตร “คุณฮัน ไม่ได้เจอกันแค่สองสามวัน คุณหล่อขึ้นมากเลยนะคะ”
ฮันเจ๋อหยางพยักหน้าเบา ๆ เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากนัก
สวีโหมววางตะเกียบลงและจุดบุหรี่ “อวิ๋นเหมี่ยว แม่ครัวส่วนตัวของซูโย่วอี๋ทำอาหารบนโต๊ะนี้ คุณหากินข้างนอกไม่ได้นะ”
“ห๊ะ? คุณซูมีแม่ครัวส่วนตัวเหรอคะ”
อวิ๋นเหมี่ยวยิ้มและหรี่ตาลงเล็กน้อย “ฉันเคยถ่ายทำภาพยนตร์ในฮอลลีวูด ยังไม่กล้ามีสิทธิพิเศษอะไรเลย กลัวคนอื่นจะหาว่าฉันเป็นคุณหนู”
มือของซูโย่วอี๋ที่กำลังคีบอาหารอยู่ก็หยุดนิ่งชั่วคราว
พูดแบบนี้จะสื่อว่าเธอใช้สิทธิพิเศษเหรอ?
บรรยากาศบนโต๊ะอึมครึมอยู่พักหนึ่ง
อวิ๋นเหมี่ยวดูเหมือนจะตระหนักได้ทันทีว่าสิ่งที่เธอพูดฟังดูไม่ค่อยดีนัก เธอจึงรีบเอ่ยปากขอโทษ “ฉันขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้หมายถึงคุณ แต่ฉันแค่นึกถึงอดีตเท่านั้น”
สวีโหมวรีบแก้ไขสถานการณ์ให้ราบรื่น “ฝีมือแม่ครัวคนนี้ไร้ที่ติจริง ๆ ถ้าจะบอกว่ามีสิทธิพิเศษ งั้นพวกเราก็ได้สิทธิ์นั้นกันทุกคนไม่ใช่เหรอ”
เขามองไปที่ทุกคนที่นั่งอยู่รอบ ๆ โต๊ะ “ไม่ใช่ความผิดของซูโย่วอี๋ แต่เป็นประธานลู่ผู้หลงแฟนสาวของเขามากจนต้องส่งแม่ครัวที่บ้านของเขามาที่นี่ต่างหาก คิดเสียว่าพวกเราได้อาศัยบารมีไปด้วยนะ”
อวิ๋นเหมี่ยวแทบจะชักสีหน้าไว้ไม่อยู่
ลู่เฉินเหรอ?
เขาดีกับซูโย่วอี๋มากขนาดนี้เลยเหรอ?
ย้อนกลับไปตอนที่เธอคบกับลู่เฉิน แม้ลู่เฉินจะปฏิบัติต่อเธออย่างดี แต่เขาก็ไม่เคยใส่ใจเธอถึงขนาดนี้
ไม่มีการเปิดเผยความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ แม้แต่การแนะนำเธอให้พี่ชายรู้จักก็ไม่ทำ แต่อวิ๋นเหมี่ยวเองต้องร้องขอเอาเอง
อวิ๋นเหมี่ยวต้องกระตือรือร้นมากกว่าเสมอในความสัมพันธ์ของพวกเขา
เธอรู้สึกเจ็บใจ “ประธานลู่เอาใจใส่จริง ๆ ค่ะ”
เธอกินข้าวกลางวันมาแล้ว จึงไม่รู้สึกหิวเท่าไหร่ เมื่อมองไปที่อาหารบนโต๊ะ เธอก็ยิ่งไม่อยากอาหาร
หลังจากที่เธอกินไปสองคำ เธอก็หยุดไว้แค่นั้น
“ฉันอิ่มแล้วค่ะ เชิญทุกคนตามสบายนะคะ”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมองหลังของเธอด้วยความงุนงง
มาทีหลังแต่ไปก่อน?
ฮันเจ๋อหยางคีบอาหารด้วยตะเกียบสะอาด แล้วใส่ลงในชามของเธอ “เลิกมองได้แล้ว รีบกินเร็วเข้า”
พอเห็นภาพนั้น เหล่าพนักงานที่เป็นชิปเปอร์ที่เกาะติดสถานการณ์อยู่ก็รีบรายงาน
[ประกาศ ๆ มีบุคคลที่สามปรากฏขึ้น]
[อวิ๋นเหมี่ยวพูดว่าเทพธิดาซูใช้สิทธิพิเศษ ไม่อยากจะเชื่อเลย เธอดูเป็นคนใสซื่อแท้ ๆ]
[อย่าตัดสินคนที่ภายนอก]
[ประกาศเดิมถูกยกเลิก ดูเหมือนว่านักแสดงชายยอดเยี่ยมฮันจะไม่ชอบอวิ๋นเหมี่ยวเอาเสียเลย]
[อ่า แต่ฉันเชียร์เทพธิดาซูและประธานลู่นะ]
[อย่าล้ำเส้นนะ!]
[ดีมาก ผู้กำกับสวีได้ปกป้องเทพธิดาซู ดูเหมือนว่าผู้กำกับสวีจะชอบเทพธิดาซูมากกว่า]
[เมื่อกี้ตอนที่นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมฮันคีบอาหารให้เทพธิดาซู มีใครถ่ายภาพไว้ไหม นี่เป็นข้อมูลชั้นเลิศ]
[มีสิ มีแบบวิดีโอด้วย]
…
อวิ๋นเหมี่ยวเดินตรงกลับไปที่รถผู้ช่วยของเธออย่างโกรธเกรี้ยวจนผู้ช่วยวิ่งตามหลังเธอไม่ทัน
“คุณอวิ๋น คุณเพิ่งกินข้าวมาไม่ใช่เหรอคะ”
อวิ๋นเหมี่ยวพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “อย่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด และอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม”
ท่าทางไม่พอใจและหยิ่งยโสของเธอช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เธอเพิ่งแสดงออกมา
เธอมองไปที่ผู้ช่วยอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นเธอก็หลับตาลง ผู้ช่วยคนนี้งี่เง่าจริง ๆ เธอต้องหาเวลาเลือกต้นสังกัดหรือบริษัทที่ดูแลศิลปินใหม่ให้เร็วที่สุด
แต่เท่าที่เธอเจอมาล้วนเป็นพวกหลอกลวงทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้เธอก็ขอให้ฮันเจ๋อหยางเป็นคนแนะนำเธอกับบริษัท แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไร
ไม่รู้ว่าฮันเจ๋อหยางลืมหรือตั้งใจ?
หรือลู่เฉินเป็นคนปฏิเสธ?
นึกได้ดังนั้นอารมณ์ของเธอก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
หรือว่าลู่เฉินไม่แม้แต่จะหวนคิดถึงความรักครั้งเก่าเลยแม้แต่น้อย?
ทันใดนั้นคนขับรถก็หันกลับมาถาม “คุณอวิ๋น คุณจะไปไหนครับ”
“กลับโรงแรม”
เดิมทีผู้กำกับสวีบอกว่าวันนี้เธอไม่จำเป็นต้องมา เพราะไม่มีฉากของเธอในวันนี้ แต่อวิ๋นเหมี่ยวก็มาเพื่อแสดงความทุ่มเทพยายามของเธอ
แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเสียเที่ยว เพราะหลังจากกินอาหารเสร็จเธอก็พบว่าฮันเจ๋อหยางปฏิบัติกับซูโย่วอี๋ต่างออกไป!
เธอต้องจับตามองให้ดีอีกครั้ง
ในตอนบ่ายเป็นฉากของฮั่วเสวียนและอูซือม่าน เป็นฉากที่ทั้งสองต้องนำทัพต่อสู้ ซึ่งฉากต่อสู้มีทั้งหมด 3 ฉาก ถ่ายทำทั้งหมด 3 ตอน
พวกเขาเซ็ตฉากขึ้นมาเพื่อทำการถ่ายทำเลยทีเดียว
อูซือม่านเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ เขามีกระดูกเป็นเลิศ นับตั้งแต่เขาเอาชนะนักสู้มือหนึ่งของหร่งตี๋ตอนอายุสิบห้าได้ ก็ไม่มีใครในหร่งตี๋ที่สามารถสู้เขาได้อีกเลย
ตอนอายุ 21 ปี เขาขึ้นรับตำแหน่งผู้นำของหร่งตี๋จนอายุ 25 ตั้งแต่เด็กจนโต เขาอยู่เหนือคนอื่นมาโดยตลอด
ตั้งแต่ที่เขาถูกฮั่วเสวียนทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ครั้งที่แล้ว อูซือม่านก็เอาแต่ครุ่นคิดอยู่เสมอ แต่เขาก็ชื่นชมฮั่วเสวียนอยู่ไม่น้อย
ครั้งล่าสุดที่ทั้งสองเผชิญหน้ากัน นอกจากต้องการล้างแค้นให้อีกฝ่ายอับอายแล้ว เขายังต้องการประลองกับฮั่วเสวียนด้วย
ดังนั้นเขาจึงบุกรุกต้าเซี่ยครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้ฮั่วเสวียนลงสนาม
เดิมทีฮั่วเสวียนเกลียดพวกป่าเถื่อนหร่งตี๋ แต่ต่อมารู้สึกว่าอูซือม่านเองก็ถือว่ามีพรสวรรค์เช่นกัน
“อูซือม่าน ถอยทัพไปเสีย เจ้าไม่สามารถเอาชนะข้าได้ด้วยศิลปะการต่อสู้เพียงอย่างเดียวหรอก”
ดวงตาของอูซือม่านเป็นประกาย “ใครบอก ข้าคือหร่งตี๋ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่าย ๆ เด็ดขาด”
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะโจมตีข้าจนสาแก่ใจ ข้าก็ไม่มีวันยอมแพ้ให้กับคู่ต่อสู่อย่างเจ้า”
ฮั่วเสวียนรู้สึกเหมือนกำลังสีซอให้ควายฟัง
“วันนี้ข้าจะขับไล่เจ้าออกจากต้าเซี่ยให้จงได้!”
นี่เป็นการสู้รบครั้งใหญ่ แต่ก็ยากที่จะบอกว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ
แต่ในท้ายที่สุด อูซือม่านก็ต้องถอยกองทัพหร่งตี๋ห่างออกไปสิบลี้เพื่อกลับไปตั้งหลัก
กองไฟถูกจุดขึ้น อูซือม่านนั่งล้อมวงอยู่กับนายทหารชั้นสูงเพื่อนั่งดื่มและกินเนื้อสัตว์กันบนพื้น
“ผู้นำอู ฮั่วเสวียนตัวน้อยนี้รับมือยากเสียจริง ในความคิดของข้า จะเป็นการดีกว่าที่เราจะแอบเข้าไปในค่ายทหารต้าเซี่ย เพื่อลอบสังหารหรือวางยาพิษพวกเขา เราต้องฆ่าผู้นำของพวกมันก่อน หลังจากนั้น กองทัพต้าเซี่ยก็จะถูกควบคุมโดยง่าย”
การลอบสังหารมักเกิดขึ้นในการต่อสู้ของผู้นำหร่งตี๋ ทุกคนคุ้นเคยกับมันดี
เดิมทีเขาคิดว่าอูซือม่านต้องเห็นด้วย เขาเลยพูดออกมาต่อหน้าผู้นำตามตรง
“ฮั่วเสวียนเป็นของข้า ห้ามใครแตะต้องเขา ถ้าข้ารู้ว่าใครคิดเล่นสกปรกล่ะก็ ข้าจะทำให้ชีวิตของผู้นั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความตายแน่นอน”
นายทหารข้างกายเขาหน้าซีดเผือด รีบคุกเข่าลงเพื่อรับปาก
ดวงตาที่เย็นชาของอูซือม่านมองไปที่ชายคนนั้น แล้วตะคอกเสียงดัง “ลุกขึ้นและกลับไปที่กระโจมซะ”
เมื่ออยู่ห่างออกมาจากเขา เหล่าทหารต่างก็สับสนเล็กน้อย
“ท่านผู้นำเป็นอะไรไป เขาสนใจแม่ทัพต้าเซี่ยหรือ?”
“สนใจอย่างนั้นหรือ?” คนหนึ่งแค่นหัวเราะออกมา “ฮั่วเสวียนเป็นผู้ชาย ไม่ว่าเขาจะหน้าตาดีเพียงใด เขาก็ยังเป็นชาย ไม่สามารถมีลูกหรือร่วมหลับนอนได้ จริงหรือไม่?”
“แม่ทัพจ้าน ใครบอกว่าผู้ชาย… หลับนอนด้วยไม่ได้”
แววตาของผู้พูดฉายแววสกปรก “ข้าจะบอกท่านให้ แม้ว่าฮั่วเสวียนจะเป็นผู้ชาย แต่รูปร่างหน้าตาของเขาเทียบได้กับสาวงาม แม้ข้าจะไม่ชำนาญนัก แต่ข้าบอกได้เลยว่าที่ป้อมต้าเซี่ยก็มีไม่น้อย”