บทที่ 68 สนใจชิงตำแหน่งนายน้อย (ปลาย)
บทที่ 68 สนใจชิงตำแหน่งนายน้อย (ปลาย)
เมื่อลู่หยวนได้ยินเช่นนั้น คิ้วของเขากระตุกขึ้นมา
ภาพความทรงจำย้อนกลับมาในหัว ก่อนหน้านี้ทั้งสองทะเลาะกันเรื่องบุตรชาย การต่อสู้ในตอนนั้นทำเอาปฐพีสั่นสะเทือน แม้จะมีเพียงอู่หมิงเสวี่ยที่เป็นฝ่ายบดขยี้ โดยลู่เทียนเหอหาได้สวนกลับ แต่หลังจากสู้กันแล้ว ทั่วทั้งตระกูลลู่ก็ถูกทำลาย ต้องใช้เวลาสามเดือนจึงจะสร้างขึ้นมาใหม่ได้
เขาไม่ต้องการใช้ชีวิตเพื่อเห็นตำหนักตัวเองกลายเป็นซากปรักหักพังอีกแล้ว! ดังนั้นจึงรีบโน้มน้าว “ไม่ใช่เพราะเรื่องของท่านพ่อหรอก เป็นเพราะช่วงนี้ลูกออกไปข้างนอกนานเกินไป ดังนั้นน้ำหนักเลยลด”
ลู่หยวนกลัวว่ามารดาจะกล่าวอะไรอีก จึงถามทันทีว่า “ท่านแม่ ท่านเรียกลูกมาที่นี่ มีเรื่องอะไรหรือ?”
อู่หมิงเสวี่ยยิ้มก่อนพยักหน้า “แม่อยากถามว่า ลูกมาสำนักอักขระสวรรค์ในครั้งนี้ก็เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกผู้สืบทอดใช่หรือไม่?”
“ลูกตั้งใจเช่นนั้นจริง”
เจ้าสำนักยิ้มด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นลูกก็อยู่กับแม่สักสามเดือน พอครบสามเดือนแล้วลูกก็เข้าร่วมการคัดเลือกได้เลย”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ท่านแม่ แบบนั้นจะเป็นปัญหามากเกินไป ทำไมถึงต้องสามเดือนด้วย ไม่จัดในวันนี้ไปเลยล่ะ”
ผู้เป็นมารดาถามขึ้น “ลูกหมายความว่าอย่างไร?”
“มีลานประลองในสำนักอักขระสวรรค์ไม่ใช่หรือ? ท่านแม่เปิดมันในวันนี้ เพื่อใช้มันตัดสินผลลัพธ์ ผู้ที่แพ้ลูก จะมีสิทธิ์คว้าชัยชนะในอีกสามเดือนข้างหน้าได้อย่างไร?”
อู่หมิงเสวี่ยครุ่นคิดสักพัก “ในสำนักอักขระสวรรค์ ผู้สามารถทัดเทียมกับลูกก็มีเพียงกู่หงเฟย เขาเข้าสู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ระดับกลางแล้ว พลังนับว่าไม่เลว หากพยายามในการแข่งขันอย่างสุดความสามารถ แม้กระทั่งผู้ที่เข้าสู่ขั้นเทียมเซียนยังต้องหลีกทางให้”
นางพลันเงยหน้าขึ้น “ลูกไปถึงขั้นไหนกันแล้ว?”
เอ่ยจบนางก็วางมือบนข้อมือของลู่หยวน ผ่านไปหลายอึดใจ อู่หมิงเสวี่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยว่า “แค่ไม่กี่เดือน ลูกก็ทำลายพันธนาการของแก่นโลหิตมารได้ จนก้าวเข้าสู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ระดับสูงงั้นหรือ?”
ลู่หยวนพยักหน้า เล่าถึงเรื่องในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาให้ฟังคร่าว ๆ
“เพราะงั้นท่านแม่โปรดวางใจ กู่หงเฟยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลูกอย่างแน่นอน”
สายตาของผู้ฟังเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “หยวนเอ๋อร์โตขึ้นแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ แม่จะแจ้งให้ทางสำนักทราบภายหลัง จากนั้นค่อยเปิดลานประลอง เพื่อตัดสินหาผู้ดำรงตำแหน่งผู้สืบทอด”
“แต่ว่า การประลองจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ ลูกรับเหรียญตราของแม่ไปก่อน แล้วไปดูที่ยอดเขาบาปสวรรค์ ถึงอย่างไร แม่ก็รู้สึกละอายใจต่อสตรีผู้นั้น”
“แค่ไปบอกนางว่า พรุ่งนี้ทางสำนักจะมีการต่อสู้ในลานประลอง หากนางเต็มใจ ย่อมสามารถเข้ามาชมการต่อสู้ได้”
หลังจากอู่หมิงเสวี่ยกล่าวจบ นางก็ส่งเหรียญตราให้กับลู่หยวน
บุตรศักดิ์สิทธิ์รู้ว่าคนที่มารดาพูดถึงนั้นคืออดีตศิษย์พี่แห่งสำนักอักขระสวรรค์นามว่าฉินอี่หาน
ผู้หญิงคนนี้รู้จักในฐานะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักอักขระสวรรค์ นางเกิดมาพร้อมยันต์สีทองอยู่ในมือ การศึกษายันต์ค่ายกลของนางดีกว่าคนอื่นหลายเท่านัก
ต่อให้เป็นยันต์ค่ายกลที่ซับซ้อนเพียงใด ให้เวลาเพียงสามวัน นางก็สามารถถอดค่ายกลแล้วสร้างขึ้นใหม่ได้
แม้กระทั่งค่ายกลเก้ามังกรเทียนอู่ที่ล้ำค่าที่สุดของสำนักอักขระสวรรค์ยังถูกนางทำความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ ขอเพียงนางยังเติบโตเช่นนี้ต่อไป ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งในรุ่นอย่างแน่นอน ตำแหน่งเจ้าสำนักอักขระสวรรค์ในวันข้างหน้า ย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนาง
แต่น่าเสียดาย เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน ซึ่งมันได้พรากทุกสิ่งจากอัจฉริยะไร้เทียมทานผู้นี้ไป
เมื่อพูดถึงตรงนี้… มันคือเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับลู่หยวน
บุตรศักดิ์สิทธิ์ตอบรับ เขาหยิบเหรียญตรามา ก่อนออกจากห้องโถงหลักไป
ลู่หยวนขี่หมู่เมฆ มุ่งตรงสู่ยอดเขาบาปสวรรค์ มันถูกรายล้อมด้วยค่ายกลทรงพลังจนยากจะไปต่อ
เขาหยิบเหรียญตราออกมา มันส่งเสียงครวญอย่างแผ่วเบา ก่อนมุมหนึ่งของค่ายกลจะหายไป เผยให้เห็นภูเขาที่ถูกปกคลุมด้วยชั้นวงแสง ณ ยอดเขาบาปสวรรค์ ขั้นบันไดสีทองทอดลงมาอยู่แทบเท้าของชายหนุ่ม
บุตรศักดิ์สิทธิ์ก้าวไปตามขั้นบันได มุ่งหน้าสู่ยอด
ผ่านไปสักพัก เขาก็มาถึงยอดเขาบาปสวรรค์
เมื่อกวาดตามองไป สถานที่แห่งนี้แตกต่างจากยอดเขาแห่งอื่น ไม่มีหญ้าวิญญาณหรือโอสถเซียนที่นี่ พลังวิญญาณที่รายล้อมเบาบาง ต่อให้ลู่หยวนอยู่ที่นี่ เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าความเร็วของค่ายกลถูกจำกัดไว้มาก
บุตรศักดิ์สิทธิ์ยกเท้าขึ้น ก้าวเดินไปที่กระท่อมมุงจากเพียงหลังเดียวบนยอดเขา
เสาไม้ไผ่บางส่วนถูกค้ำไว้ใกล้กับกระท่อมมุงจาก ผ้านวม เสื้อผ้าและของต่าง ๆ ถูกตากให้แห้งบนเสาไม้ไผ่ ดูมีชีวิตชีวา
ข้างกระท่อมมุงจากเป็นกอไผ่ ชายหนุ่มเพิ่งปรากฏตัวขึ้น และได้ยินเสียงกระบี่ฉวัดเฉวียนในป่าไผ่
ลู่หยวนค้นหาต้นเสียง ก่อนพบสตรีร่างผอมบางกำลังฝึกกระบี่อยู่ในป่า
[ระบบแจ้งเตือน พบตัวฉินอี่หานผู้เป็นธิดาแห่งโชคชะตาแล้ว ค่าชะตาในตอนนี้คือ 12,000 แต้ม!]
[ขอแจ้งเตือนว่าฉินอี่หานแบกรับโชคชะตาแห่งราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ สถานะปัจจุบันไม่อาจถูกสังหารได้!]
เรียวปากของลู่หยวนในตอนนี้กระตุก กลายเป็นว่าศิษย์พี่ฉินเองก็เป็นตัวตนแห่งโชคชะตาเช่นกัน
โชคชะตาแห่งราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่!
ในความทรงจำของลู่หยวน อู่หมิงเสวี่ยเคยกล่าวไว้ว่าฉินอี่หานผู้นี้ถูกทิ้งอยู่ริมทาง หลังจากผู้อาวุโสในสำนักไปพบเข้าจึงเกิดความรู้สึกเวทนา ก่อนจะพานางกลับมาด้วย แล้วรับเป็นศิษย์ของสำนัก
เขาคิดว่าฉินอี่หานอาจจะกำพร้า แต่เมื่อได้ยินระบบกล่าวเช่นนั้น นางผู้นี้น่าจะเป็นลูกหลานของราชวงศ์หนึ่ง
ราชวงศ์ยิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือ?
ในด้านขุมกำลังทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหง มีราชวงศ์ที่ทรงพลังหลายสิบแห่ง ลู่หยวนไม่อาจบอกได้ว่าฉินอี่หานเป็นลูกหลานของราชวงศ์ไหน
“ใครน่ะ?”
ร่างในป่าไผ่พลันหันมาหา พร้อมกระบี่ไม้และสายตาเย็นชาทิ่มแทง
บุตรศักดิ์สิทธิ์เดินเข้าหาอย่างสงบ ก่อนขานชื่อออกไปว่า “ลู่หยวน”
ฉินอี่หานนิ่งสักพัก จากนั้นเดินออกจากระหว่างป่าไผ่
ดวงหน้าผุดผาดราวกับดวงจันทร์ปรากฏตรงหน้า รูปโฉมของนางทำให้ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ แม้กระทั่งองค์หญิงหางจิ้งจอกก็หาได้ทำให้เขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ หลังจากผ่านการฝึกฝนอย่างหนักมาห้าปี รูปลักษณ์ของศิษย์พี่ฉินไม่ได้ด้อยลงไปแม้แต่น้อย และยังมีกลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่ที่ทรงเสน่ห์และแข็งแกร่งอีกด้วย
เมื่อฉินอี่หานเห็นลู่หยวน นัยน์ตางดงามไร้วี่แววสั่นไหว ราวกับไม่สนใจการมาถึงของเขา
นางวางกระบี่ไม้ ก่อนนั่งลงบนตอไม้ต้นหนึ่งและยกมือขึ้นปาดเหงื่อ โดยไม่คิดทักทายผู้มาเยือน
บุตรศักดิ์สิทธิ์ยกมุมปาก ศิษย์พี่ฉินเป็นแบบนี้มาโดยตลอด
สิ่งที่นางไม่สนใจ มักถูกสายตาคู่งามเมินเฉยเสมอ
ลู่หยวนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ชายหนุ่มยกเท้าก้าวเดินไปยังตอไม้ที่อยู่ตรงข้ามกับฉินอี่หาน ก่อนจะนั่งลงและหยิบน้ำเต้าออกมาส่งให้ “ทำไมศิษย์พี่ถึงไม่พูดอะไรเลย หรือรู้อยู่แล้วว่าในการมาที่นี่ ข้ามีจุดประสงค์อะไร?”
หญิงสาวรับน้ำเต้ามายกขึ้น เทน้ำใส่ปากด้วยท่าทีทะมัดทะแมงกว่าหญิงใด
หลังจากดื่มหมดน้ำเต้า ฉินอี่หานตอบว่า “เวลาผ่านมาห้าปี การคัดเลือกผู้สืบทอดกำลังจะเริ่มแล้ว เจ้ามาหาข้าเพื่อให้ไปดูพิธีคัดเลือกใช่หรือไม่”
“การคาดการณ์ของศิษย์พี่ช่างเหมือนเทพเจ้านัก”
ชายหนุ่มยื่นเหรียญตราให้กับนาง “พรุ่งนี้จะเริ่มการต่อสู้ในลานประลอง ศิษย์พี่จะมาหรือไม่?”
“การต่อสู้ในลานประลองหรือ?”
ศิษย์พี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาดูประหลาดใจนัก “เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองหรือ?”
“ใช่!”
หากคนธรรมดามาได้ยินประโยคนี้เข้า พวกเขาต้องหัวเราะในความอวดดีของลู่หยวนเป็นแน่