เขากล่าวตอบอย่างไร้สติ “อยู่นี่…พวกเราเผ่าวิญญาณร้ายอยู่นี่…”
ยังไม่ทันที่จะกล่าวออกมาจากปากจนจบ พลังอันน่าสะพรึงก็ได้ระเบิดออกมาจากในหัวของเขาทันที มันกัดทำลายสมองเขาจนไม่เหลือชิ้นดี จากนั้นพลังอันดำมืดก็ได้ม้วนตัวเข้าไปทางมู่เฉียนซี
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอันชั่วร้าย “ตายไปด้วยกันเสียเถอะ!”
พลังนี้สามารถทำลายมนุษย์ทั้งหมดได้
การใหญ่ยังไม่สำเร็จเผ่าวิญญาณร้ายจะเผยตัวไม่ได้เป็นอันขาด
แสงสีฟ้าอ่อนได้หยุดยั้งพลังกัดทำลายอันชั่วร้ายนั้นเอาไว้ ทำให้เขาไม่อาจที่จะทำร้ายมู่เฉียนซีได้เลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของมู่เฉียนซีเคร่งขรึม “มันกลับถูกควบคุมเอาไว้ได้ดีเช่นนี้ ยังไม่ทันที่จะถามได้ความอะไรมาบ้างเลย! แต่ทว่าเผ่าเช่นนี้จะไม่ระวังตัวเอาไว้มิได้!”
คนเหล่านั้นของเผ่าวิญญาณร้ายได้ตายไปหมดแล้ว และแม้ว่าคนเหล่านั้นของสำนักโอสถฯ จะหนีการทำลายตัวเองได้แล้ว แต่ก็ยังหนีไม่พ้นพิษหนาวเย็น
“มีผลจิ่วหยางซวนแล้ว ดูซิว่าจะสามารถหาสมุนไพรวิญญาณอย่างอื่นได้พบหรือไม่ หากรวมสมุนไพรทั้งหมดได้ครบก็สามารถที่จะเริ่มปรุงยาได้แล้ว
เงาร่างสีม่วงได้พุ่งออกไปแล้วกวาดเอาสมุนไพรวิญญาณชนิดต่าง ๆ มาจนสิ้น
แน่นอนว่านางจะไม่ยอมอ่อนข้อกับเหล่าศิษย์ของสำนักโอสถฯที่มาท้าทาย
ส่วนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็ไม่กล้าที่จะตามไล่ฆ่าพวกนางอีกต่อไป เพราะว่าบนตัวของนางนั้นมีกลิ่นอายของกิ้งก่าน้ำแข็งซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดติดอยู่อย่างเข้มข้น นั่นทำให้นางสามารถเก็บสมุนไพรวิญญาณในที่แห่งนี้ได้โดยราบรื่นเป็นอย่างมาก!
ยังเหลือเวลาวันสุดท้ายอีกวันหนึ่ง มู่เฉียนซีเพิ่งจะพบว่าสมุนไพรวิญญาณล้ำค่านานาชนิดนั้นได้ถูกนางเก็บไปแล้วไม่น้อย
ทว่านางยังขาดสมุนไพรวิญญาณที่เป็นที่ต้องการในการแข่งกันครั้งนี้ไปอีกชนิดหนึ่ง
“ที่นี่ไม่มีสมุนไพรวิญญาณชนิดธรรมดานั้น ดูทีคงจะต้องไปเสียแล้ว” มู่เฉียนซีบ่นพึมกับตนเอง และอดไม่ได้ที่จะออกจากส่วนใจกลางของแดนโอสถไป
ที่ด้านนอกได้พบเจอคนอยู่จำนวนไม่น้อย
เมื่อพวกเขาเห็นเงาร่างสีม่วงนั้นก็ถึงกับตะลึงงัน
“ปรมาจารย์มู่!”
“เป็นปรมาจารย์มู่เอง”
คนที่ตะโกนเรียกเหล่านั้นเป็นนักปรุงยากลุ่มหนึ่งของโลกทั้งสี่ทิศ มู่เฉียนซีได้ลงมือตบหน้าสำนักโอสถฯ ให้ได้เห็นดีกันบ้างแล้ว นั่นทำให้พวกเขามีความรู้สึกที่ดีต่อมู่เฉียนซีเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นปรมาจารย์มู่เหมาะสมกับหมอปีศาจในตำนาน มีความสัมพันธ์กันที่ไม่ธรรมดา
“ปรมาจารย์มู่ พวกเรายังขาดสมุนไพรวิญญาณอีกสองสามชนิด แต่เวลาเหลือแค่เพียงหนึ่งวันเท่านั้น ครั้นจะหาเพิ่มอีกก็ไม่ทันแล้ว ได้ยินมาว่าที่ราบทางตะวันออกนั้นมีคนทำการแลกเปลี่ยนอยู่ ถ้าหากว่าโชคดีละก็อาจจะสามารถแลกสมุนไพรวิญญาณที่ต้องการกับพวกเขาได้
“เห็นว่าปรมาจารย์มู่ก็กำลังหาสมุนไพรวิญญาณ ยังหาไม่ครบใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นทำไมพวกเราไม่ไปด้วยกันล่ะ!”
“การแลกเปลี่ยนเหรอ! มันก็สะดวกอยู่ไม่น้อย เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
ในตอนนี้การแลกเปลี่ยนได้เกิดขึ้นอย่างคึกคัก คนจำนวนไม่น้อยตื่นเต้นที่จะนำสมุนไพรวิญญาณมาแลกเปลี่ยน
คนส่วนมากได้เขียนรายชื่อสมุนไพรที่ตนเองมีและสมุนไพรที่ตนอยากได้ไว้เพื่อให้เกิดสะดวกแก่การหาคนแลกเปลี่ยน
มู่เฉียนซีเดินไป ไม่นานนักก็ได้เห็นสมุนไพรวิญญาณที่นางอยากจะได้ มู่เฉียนซีเดินเข้าไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าต้องการดอกซานซวน ข้ามี! ข้าต้องการที่จะแลกผลโม่หลิน”
คนผู้นั้นกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ปรมาจารย์มู่ ท่านมีดอกซานซวนช่างดียิ่งนัก! ข้าจะแลกกับท่าน!”
ในตอนที่มู่เฉียนซีจะนำดอกซานซวนให้แก่คนผู้นั้นก็ได้มีเงาร่างสีขาวเงาหนึ่งเดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าสามารถให้ดอกซานซวนกับเจ้าได้ถึงสามดอก เอาผลโม่หลินให้ข้า”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มอันอบอุ่นแขวนเอาไว้ ทำให้อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกดีต่อนาง
หญิงนางนี้ช่างไม่ยอมเลิกราเสียจริง! สายตาของมู่เฉียนซีสาดประกายอันเย็นยะเยือกออกมา น่ารำคาญนัก!
นางไม่มีดอกซานซวนเป็นดอกที่สอง แต่ถ้าเป็นสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์ละก็นางมีอยู่เป็นกอง หากเพิ่มสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์เข้าไปสักอันหนึ่ง ให้ไป๋เหยียนเอ๋อร์เพิ่มดอกซานซวนไปอีกสองสามดอกก็ยังไม่เป็นไร
แต่ยังไม่ทันให้มู่เฉียนซีได้ใช้สมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์อย่างมือเติบ นักปรุงยาผู้นี้ก็ทำเหมือนผู้โง่เขลาก็มิปานและมองไปยังไป๋เหยียนเอ๋อร์พร้อมกล่าว “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ ข้อกำหนดของการแข่งขันในครั้งนี้คือหาดอกซานซวนให้ได้ดอกหนึ่งก็พอแล้ว จะสามดอกหรือหนึ่งดอกผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ตะลึงค้าง “เจ้า…เจ้ากล่าวเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร?”
นักปรุงยาผู้นี้ได้กล่าวต่อ “ปรมาจารย์มู่ ข้านับถือท่านเป็นอย่างมากมาโดยตลอด! และยิ่งนับถือหมอปีศาจมากขึ้นไปอีก ดอกโม่หลินนี้ข้ายินดีที่จะแลกเปลี่ยนกับท่าน”
และนั่นก็ทำให้มู่เฉียนซีได้แลกเปลี่ยนสมุนไพรวิญญาณได้สำเร็จ นางยิ้มแล้วกล่าว “ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน!”
“มู่เฉียนซี…” ไป๋เหยียนเอ๋อร์กัดฟันแน่นพลางกล่าวอย่างโกรธเคือง
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าว “ทำไมเล่า? รึว่าเจ้าอยากจะประมือกับข้า? ดูทีแล้วการสั่งสอนในครั้งก่อนเจ้าคงยังได้รับไม่พอ!”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ถอยหลังไปอยู่หลายก้าว นางมองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ข้ากำลังจะไปจากแดนโอสถ ข้าเองก็ไม่อยากเกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้า พวกเราจงอยู่กันอย่างสงบเถอะ!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน “นั่นต้องดูอารมณ์ของข้า เจ้าจงอย่าได้มายั่วโมโหข้า”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์โกรธเสียจนแทบกระอักเลือด!
กำลังจะจบสิ้นการแข่งขันในรอบนี้แล้ว มู่เฉียนซีเองก็ไม่อยากที่จะมีปัญหาเพิ่มอีก ต้องรู้เอาไว้ว่าชิงอิ่งนั้นเพิ่งจะหลับไหลไป แต่ฝ่ายตรงข้ามนั้นกลับมียอดฝีมือขั้นสูงเต็มขั้นอยู่
อยู่ด้วยกันอย่างสงบในวันสุดท้ายที่แดนโอสถ เมื่อถึงเวลาแล้วพวกเขาก็จะถูกไล่ออกไป
พวกเขามาถึงที่ริมทะเลสาบ คนที่ออกมาจากในนั้นน้อยกว่าจำนวนผู้ที่เข้าไปอยู่บางส่วน แต่มันก็ไม่ได้น้อยลงไปมากนัก
อย่างไรเสียสัตว์วิญญาณในแดนโอสถก็มิได้โหดร้ายมากนัก
ผู้อาวุโสหูกล่าวขึ้น “ยินดีกับทุกท่านด้วยที่ผ่านการทดสอบในรอบแรกไปได้แล้ว ตอนนี้พวกเราเดินทางกลับไปเมืองเป่ยหานกัน เตรียมตัวกับการแข่งกันในรอบต่อไปเถอะ!”
เมื่อถึงบนเรือบิน กลุ่มกำลังและสำนักโอสถฯ ต่างก็นับจำนวนคนของตน ที่มีการบาดเจ็บล้มตายไปนั้นพวกเขาก็ปวดใจ
สถานการณ์ของทางสำนักโอสถฯ ไม่ค่อยสู้ดีนัก “อะไรกัน? พวกศิษย์พี่หวงกับพวกศิษย์พี่จ้าวไม่ได้ออกมารึ?”
“เป็นไปได้อย่างไร? พลังความสามารถของพวกเขาแข็งแกร่งเช่นนั้น มันเกิดอะไรขึ้น?”
“……”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์เองก็กำลังหาข่าวอยู่ นางพบว่าศิษย์พี่หวงมิได้ออกมา
เช่นนั้นมันก็มีแค่เพียงเหตุผลเดียว นั่นก็คือถูกมู่เฉียนซีฆ่าเสียแล้ว
ดวงตาของไป๋เหยียนเอ๋อร์เย็นยะเยือก มู่เฉียนซีเจ้ารนหาที่ตายเองนะ เจ้ากลับกล้าฆ่าคนของสำนักโอสถฯ ข้าจะต้องให้เจ้าได้เห็นดี
บนเรือบินนั้นไม่สะดวกที่จะเคลื่อนไหว รอให้ถึงตำหนักเป่ยหานเสียก่อนนางจะต้องเอาข่าวนี้ไปบอกอย่างแน่นอน บอกแก่คนของตำหนักโอสถฯ
ไม่นานนักก็มีข่าวมาจากสำนักโอสถฯ หลังจากนี้อีกเจ็ดวันจะทำการทดสอบในรอบต่อไป
กู้ไป๋อีมารับมู่เฉียนซีด้วยตัวเอง เขากล่าวถามขึ้น “ซีเอ๋อร์ ไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง!”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “กลับไปที่ในตำหนักก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญจะต้องพูดกับเจ้า”
“ได้!” ส่วนอีกด้านหนึ่งไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ได้ไปหาผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักโอสถฯ
“ผู้อาวุโสหู มีสตรีผู้หนึ่งที่อ้างว่าตนเองเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักตงจี๋ต้องการที่จะพบผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักโอสถฯ ของเรา”
“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อย ๆ ของกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามผู้หนึ่ง คาดว่าคงจะไม่อาจสู้ได้แม้แต่ศิษย์นอกสำนักของพวกเรา ไม่มีอะไรน่าพบนักหรอก ให้นางกลับไปเสียเถอะ!”
“แต่นางบอกว่านางรู้ว่าทำไมศิษย์เหล่านั้นของสำนักโอสถฯ ถึงไม่ได้ออกมา และยังบอกอีกว่ามีผู้ฆ่าพวกเขา”
ผู้อาวุโสหูตะลึงค้าง “เช่นนั้นก็ให้นางเข้ามาเถอะ!”
การเริ่มต้นในครั้งนี้อยู่เพียงแค่ชั้นที่หนึ่งของแดนโอสถ มันแทบไม่มีอันตรายใดให้กล่าวถึง สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงที่สุดก็คงจะมีแค่เพียงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่หกเท่านั้น
แต่ทว่ากลับมีลูกศิษย์ที่เก่งกาจตายไปเสียหลายคนเช่นนั้น นั่นทำให้พวกเขาเองก็ไม่เข้าใจเป็นอย่างมากเช่นกัน
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักโอสถฯ ได้มองหญิงสาวผู้อ่อนแอสวมอาภรณ์สีขาวเดินเข้ามา เขากล่าวถามขึ้น “เจ้าบอกว่ามีผู้ฆ่าศิษย์ของพวกเราสำนักโอสถฯ คนผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน?”
.