ตอนที่ 719 ซู่เวิ่นสืบตระกูลอิ๋ง
เหตุการณ์วุ่นวายในตระกูลเรนเกลเมื่อยี่สิบปีก่อนเป็นที่เลื่องลือมากในตอนนั้น
แต่ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ก็ไม่ค่อยมีคนพูดถึงแล้ว
ไม่ใช่ว่าชาวเมืองแห่งโลกทุกคนจะรู้สาเหตุที่ซู่เวิ่นหมดสติไป
ผู้จัดการเห็นใบหน้าของอิ๋งจื่อจินกับซู่เวิ่นคล้ายกันถึงได้พูดไปแบบนั้น
ถ้าไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเรนเกล ยังจะมีใครที่ควรค่าให้ซู่เวิ่นต้องพามาตัดชุดเองด้วย
คำพูดนี้ชวนสะกิดใจ
คล้ายเสียงระฆังทองแดงที่ดังเหง่งหง่างอยู่ข้างหู แม้แต่ซู่เวิ่นก็ตะลึงมากเช่นกัน
เธออึ้งอยู่กับที่ไปชั่วขณะ ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลออกมา
แววตาของอิ๋งจื่อจินวูบไหว
ผู้จัดการตกใจยิ่งกว่าเดิม “คุณนายใหญ่?”
นี่เขาพูดอะไรผิดไปเหรอ
“คุณป้าไม่ใช่คุณแม่ของฉันหรอกค่ะ” อิ๋งจื่อจินประคองซู่เวิ่นพลางอธิบาย
“คุณหนูใหญ่เสียชีวิตไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว คุณป้าได้ยินแบบนี้ก็คงอดเสียใจไม่ได้”
ผู้จัดการสีหน้าเปลี่ยน รีบคุกเข่าลงทันที พูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
“คุณนายใหญ่ ผมพูดผิดไปแล้ว ได้โปรดลงโทษด้วยครับ!”
ลูกสาวของซู่เวิ่นตายตั้งแต่เกิดเมื่อหลายปีก่อน แต่เขากลับพูดจาล่วงเกินแบบนี้ออกมา
สมควรตายจริงๆ!
“นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทำไมต้องลงโทษด้วย” ซู่เวิ่นเช็ดน้ำตา ก้มตัวประคองผู้จัดการขึ้นมาด้วยตัวเอง ยิ้มพลางพูด “อย่าว่าแต่คุณเลย ตอนนั้นที่ฉันเห็นเยาเยาก็รู้สึกว่าหน้าตาเธอคล้ายฉัน”
“ฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นแล้ว พาเธอไปตัดชุดก่อนเถอะ”
ผู้จัดการเช็ดเหงื่อ “ขอบคุณครับคุณนายใหญ่”
เขาเองก็เคยได้พูดคุยกับพวกคนตระกูลสูงศักดิ์อยู่ไม่น้อย รู้ดีว่าพวกคนแวดวงระดับสูงแบบนี้เอาใจยากขนาดไหน
เคยมีพนักงานคนหนึ่งในร้านแค่เผลอทำไวน์แดงเลอะกระเป๋าหนังของสตรีไฮโซคนหนึ่ง กลับถูกบอดี้การ์ดลากตัวออกไปทันที
ถ้าเรื่องในวันนี้เกิดกับคนมีอำนาจคนอื่น เกรงว่าชีวิตของเขาก็คงไม่รอดแล้ว
แต่ซู่เวิ่นไม่ใช่
เธอมักไปที่นั่นที่นี่แบบชาวเมืองทั่วไป ทั้งยังจัดตั้งมูลนิธิโดยเฉพาะ
มิน่าตอนนั้นซู่เวิ่นถึงได้รับการเคารพจากชาวเมืองมากมายขนาดนั้น
“เชิญทางนี้ครับคุณอิ๋ง” ผู้จัดการพูดด้วยความนอบน้อม
“นี่เป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้าชั้นยอดของพวกเราครับ คุณต้องการแบบไหนเชิญบอกเธอได้เลยครับ”
นี่เป็นเจตนาดีของซู่เวิ่น อิ๋งจื่อจินไม่มีทางปฏิเสธ เธอพยักหน้าเบาๆ “รบกวนด้วยค่ะ”
เธอตามดีไซเนอร์เข้าไปที่เครื่องสแกนร่างกายที่อยู่ภายใน สามารถสแกนสัดส่วนออกมาได้ทั้งหมด สะดวกมาก
หลังจากดีไซเนอร์บันทึกสัดส่วนของเธอเสร็จก็เชิญเธอไปเลือกผ้า
เทคโนโลยีของเมืองแห่งโลกเจริญก้าวหน้า ปัญญาประดิษฐ์กับหุ่นยนต์แทนที่แรงงานได้ไม่น้อย
แต่ร้านตัดชุดร้านนี้ยังคงใช้การออกแบบแบบดั้งเดิม
ฝีมือออกแบบและลวดลายบางอย่างที่มนุษย์ทำเองย่อมมีความงดงามที่เครื่องจักรกลไม่อาจเทียบได้
ผู้จัดการเดินเข้ามาหาอีกครั้ง “คุณนายใหญ่ครับ ผมพูดจาล่วงเกินไป นี่เป็นบัตรเอสวีไอพีสำหรับคุณอิ๋งโดยเฉพาะครับ ต่อไปถ้าคุณอิ๋งมาใช้บริการที่ร้านจะฟรีทุกอย่างโดยไม่จำกัดวงเงินครับ”
“ไม่ต้องฟรีหรอกค่ะ ลงบัญชีฉันเอาไว้” ซู่เวิ่นพูด
“พวกคุณทำธุรกิจเล็กๆ ไม่ใช่ง่ายๆ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องบอกเธอนะคะ”
ผู้จัดการรับทราบ “ผมเข้าใจครับคุณนายใหญ่”
ผ่านไปสามสิบนาทีอิ๋งจื่อจินก็ออกมา
ซู่เวิ่นกำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่โซฟา พอได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น ยิ้มพลางถาม “เป็นไงบ้างจ๊ะ”
“เลือกชุดออกงานหนึ่งชุด ชุดธรรมดาสามชุดค่ะ” อิ๋งจื่อจินหยิบบัตรออกมาหนึ่งใบ “คุณป้าคะ หนู…”
มือของเธอถูกกดไว้
ซู่เวิ่นพูดกึ่งยิ้มกึ่งดุ “เยาเยา หนูช่วยชีวิตป้าไว้ ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในชื่อป้าทั้งหมดก็ยังตอบแทนไม่พอ แค่ชุดไม่กี่ชุด ยังจะเกรงใจป้าอีก”
มือของอิ๋งจื่อจินชะงัก สุดท้ายก็เก็บกลับไป
เธอถูกชะตากับซู่เวิ่นจริงๆ มีหลายเรื่องที่คุยกันถูกคอ
ถึงขั้นที่บางครั้งซู่เวิ่นยังบังเอิญเตือนเธอในเรื่องยากๆ ที่เกี่ยวกับการทดลอง
“เยาเยา หนูบอกว่าหนูยังมีพ่อเลี้ยงกับน้องชายด้วยไม่ใช่เหรอจ๊ะ” ซู่เวิ่นให้ความสนใจ
“อยากพาพวกเขามาอยู่ที่นี่ด้วยไหม ป้าช่วยได้นะ”
“ยังไม่ดีกว่าค่ะ พวกเขาไม่ชินด้วย” อิ๋งจื่อจินส่ายหน้าเบาๆ
“คุณป้าคะ เรื่องบางอย่างมันยากกว่าที่คุณป้าคิดค่ะ”
“หนูหมายถึงผู้วิเศษเหรอ” ซู่เวิ่นเงียบไปชั่วขณะ “ป้าเองก็กำลังสงสัยว่าเรื่องที่ลูเอลหายตัวไปมีความเกี่ยวข้องกับผู้วิเศษ ไม่อย่างนั้นใครจะกล้าลงมือกับเขาได้”
แต่ปัญหามีอยู่สามข้อ
ข้อแรก พวกเขาเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อธรรมดา ไม่มีทางต้านทานผู้วิเศษที่ ‘สูงส่ง’ ได้
ข้อสอง ไม่มีร่องรอยและหลักฐานใดๆ ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือผู้วิเศษคนไหนทำ
ข้อสาม สถานะของผู้วิเศษในเมืองแห่งโลกเป็นที่นับหน้าถือตาเหลือเกิน ชาวเมืองทุกคนต่างศรัทธาในตัวผู้วิเศษ
“หนูกำลังสืบเรื่องนี้ค่ะ” แววตาของอิ๋งจื่อจินขรึมลง ยิ้มพลางพูด
“คุณป้าต้องพักผ่อนให้มากๆ เดี๋ยวหนูไปส่งกลับบ้านค่ะ”
…
เวลาห้าโมงเย็น
สำนักวิจัย
ทางด้านคณะวิศวกรรมศาสตร์
หลังจากคณบดีนอร์ตันตรวจสอบข้อมูลโปรเจ็กต์ที่เตรียมไว้ให้อิ๋งจื่อจินเรียบร้อยแล้วก็เตรียมกลับบ้านไปดูหมาแมวที่เลี้ยงไว้
คณบดีคณะพันธุศาสตร์บุกเข้ามาในเวลานี้
หน้าตาเอาเรื่อง มาถึงก็เข้าประเด็นทันที “นอร์แมน นายทำอะไรนักศึกษาของฉันใช่ไหม”
“เมอร์วินเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่ผู้วิเศษนักมายากลเลือกด้วยตัวเอง หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา คณะวิศวะของพวกนายซวยแน่ รีบเอาตัวเขาออกมา!”
“นายพูดอะไร” คณบดีนอร์แมนดันแว่นตา แสยะยิ้ม “ตอนนายทำวิจัยชีวะพันธุศาสตร์ได้เอายีนกวางโง่ใส่เข้าไปในดีเอ็นเอของตัวเองด้วยหรือไง”
คณบดีคณะพันธุศาสตร์อึ้ง จากนั้นก็เข้าใจ “ด่าฉันโง่เหรอ”
“อ้อ ผิดแล้วๆ” คณบดีนอร์แมนพับปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ “กวางโง่น่ารักกว่านายเยอะ ควรเป็นพารามีเซียมมากกว่า”
“นอร์ แมน!” คณบดีคณะพันธุศาสตร์โมโหมาก “ฉันไม่ขอเถียงกับนายแล้ว นายรีบเอาตัวเมอร์วินออกมา”
“ตลกน่า ทีคณะพันธุศาสตร์ของพวกนายลงมือกับเด็กคณะวิศวะของฉัน ฉันยังไม่เอาเรื่องพวกนายเลยนะ” คณบดีนอร์แมนพูดด้วยเสียงเย็นชา “นายมาคาดคั้นจากฉัน คิดว่าฉันทำตัวไร้ยางอายเหมือนพวกนายหรือไง”
คณบดีคณะพันธุศาสตร์โมโหยิ่งกว่าเดิม “นอร์แมน นาย…”
เขายังไม่ทันพูดจบก็เห็นคณบดีนอร์แมนยกปืนเลเซอร์ที่อยู่บนโต๊ะเล็งมาที่เขา
ปืนเลเซอร์กระบอกนี้เพิ่งคิดค้นออกมาได้ไม่นาน ยังไม่วางขายในเว็บดับบลิวอย่างเป็นทางการ
คณบดีคณะพันธุศาสตร์ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าอานุภาพของมันจะทรงพลังขนาดไหน
เขาเริ่มลนลาน หันตัวเดินออก แต่ยังไม่วายทิ้งคำพูดไว้ “นอร์แมน คอยดูเถอะ!”
“หึหึ ฉันจะรอ” คณบดีนอร์แมนเก็บปืนเลเซอร์เข้าถุงมหัศจรรย์ ดูเวลาแล้วไปหาอิ๋งจื่อจิน
เขาสร้างห้องทดลองลับไว้ให้อิ๋งจื่อจินโดยเฉพาะ
“ลูกศิษย์ อาจารย์เอาของมาส่งให้” คณบดีนอร์แมนพูดด้วยความดีใจ “เธอก้าวหน้าไปเร็วกว่าที่อาจารย์คิด ลงมือทำการทดลองระดับเอสได้แล้ว”
อิ๋งจื่อจินรับมาเปิดดู “ค่ะ”
การทดลองระดับเอสครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอวกาศเท่าไร เป็นเรื่องอาวุธ
อ่านจบเธอก็หยิบลูกอมที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งเม็ดแล้วยื่นไป “ให้ค่ะอาจารย์”
“ให้ลูกอมอาจารย์เหรอ” คณบดีนอร์แมนแกะกระดาษห่อลูกอมออกแล้วกินเข้าไป
สัมผัสรสชาติ รสสตรอเบอร์รี่
อร่อยดีนะ
คณบดีนอร์แมนเดินไปได้สองก้าวราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ หันกลับมาอีกครั้ง “เดือนกันยายนเลือกเธอไปเจอผู้วิเศษ เธอจะไปไหม”
อิ๋งจื่อจินหรี่ตาเล็กน้อย “ไปเล่นๆ ก็ได้ค่ะ”
“เล่นๆ เหรอ” คณบดีนอร์แมนสีหน้าเคร่งขรึม “ลูกศิษย์ เธอต้องระวังไว้บ้างนะ อย่าเอาแบบรุ่นพี่เธอ ตอนนั้นเกือบระเบิดสำนักผู้วิเศษแล้ว”
อิ๋งจื่อจิน “…”
เธอไม่ได้มีงานอดิเรกชอบระเบิดนั่นนี่นะ
…
ตกกลางคืน
ซู่เวิ่นออกไปที่สุสานตามลำพัง หยุดอยู่ตรงหน้าป้ายหินขนาดเล็กอีกครั้ง
เธออยู่ในท่ากึ่งคุกเข่า เอาหน้าผากแนบป้ายหินที่เย็นเฉียบแล้วพูดพึมพำ “ถานถาน วันนี้อากาศเย็นลงแล้ว ไม่รู้ว่าลูกหนาวหรือเปล่า แม่เย็บเสื้อไว้ให้ลูกเยอะเลยนะ”
ขณะพูดซู่เวิ่นก็เปิดกล่องที่อยู่ข้างตัว ในนั้นเป็นเสื้อผ้าหลากหลายขนาด
มีตั้งแต่ชุดทารกแรกเกิดไปจนถึงเด็กสาวอายุสิบเก้า ไม่มีตกหล่นสักช่วงอายุ
ช่วงหลายวันนี้ซู่เวิ่นไม่ค่อยได้นอน เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเย็บเสื้อผ้า
ซู่เวิ่นก้มหน้าเช็ดตา “ถานถาน วันนี้มีคนคิดว่าเด็กสาวคนที่คราวก่อนแม่เล่าให้ฟังเป็นลูกด้วยนะ เธอ…”
ดุจสายฟ้าฟาด คำพูดที่ผู้จัดการร้านตัดเย็บเสื้อผ้าพูดเมื่อตอนบ่ายได้วนเวียนอยู่ข้างหูซู่เวิ่นอีกครั้ง
‘คุณหนูใหญ่ยืนกับคุณนายใหญ่ เหมือนพี่น้องกันเลยครับ’
ผู้จัดการพูดโดยไม่ตั้งใจ แต่ใจของซู่เวิ่นกลับสงบลงไม่ได้อีก
เธอยืนเงียบอยู่ในสุสานที่มืดมิด มองป้ายหน้าหลุมศพ
เธอเป็นคนฝังถานถานเองกับมือ เธอไม่ควรคิดเพ้อฝัน
ความรักของแม่ที่เธอมีมายี่สิบปีได้ถูกฝังไปพร้อมกับหลุมศพนี้แล้ว
แต่ถ้า…
หลังจากเกิดความคิดเหลือเชื่อขึ้นมา ซู่เวิ่นก็ควบคุมไม่ให้คิดต่อไปไม่ได้อีก
เธอหันตัวเดินออกจากสุสาน ไปที่ห้องโถงใหญ่แล้วพูดขึ้น “พ่อบ้าน”
พ่อบ้านรีบเข้ามาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “เชิญสั่งได้ครับคุณนายใหญ่”
“ไปจัดการตามขั้นตอนแล้วออกจากเมืองตอนนี้ สืบตระกูลหนึ่งให้ฉันหน่อย” ซู่เวิ่นพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ประเทศจีน เมืองฮู่เฉิง ตระกูลอิ๋ง!”