ตอนที่ 431 แย่งชิง
“สามแสน!”
ตอนที่เหลียงจื้อหาวกำลังได้ใจ พิธีกรประมูลกำลังพูดอะไรไม่ออก ทั้งห้องจัดเลี้ยงเงียบสงัด เสียงกระจ่างใสเสียงหนึ่งดังผ่านความเงียบขึ้น
ตอนนี้สายตาทุกคู่หันไปมองที่ต้นตอของเสียง
หญิงสาวสวยในชุดกระโปรงยาวสีครีมกำลังยกป้ายขึ้น เธอนั่งอมยิ้มอยู่ข้างโต๊ะราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจสายตาทุกคู่ที่จับจ้อง แล้วกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “ฉันให้สามแสนค่ะ!”
ทั้งห้องจัดงานราวกับบ่อน้ำลึกที่ถูกก้อนหินตกกระทบ เกิดแรงกระเพื่อมสั่นไหวไม่หยุด
“คนนั้นใครกัน”
“ฉันรู้จักเธอ เป็นลูกสาวคนหนึ่งของตระกูลสวี่”
“ตระกูลสวี่ไหน”
“ยังมีตระกูลสวี่ไหน ก็ตระกูลสวี่นั่นไง!”
“มีเงินก็ไม่ใช่ว่าจะซี้ซั้วใช้ เงินตั้งสามแสนซื้อเพลงเพลงเดียว เพลงของโอวหยางเต๋อหรงยังขายไม่ได้เท่านี้เลย ลู่เฉินคนนี้เป็นใครกัน”
“เหอะๆ สวี่ฮุ่ยเป็นรุ่นน้องของซูจิ้งนี่นา เธออาจจะช่วยรุ่นพี่ของเธอทำให้งานผ่านพ้นไปก็ได้นะ”
“อ๋อ งั้นก็ธรรมดา”
หลายคนจำหญิงสาวที่ยกป้ายได้ พากันวิจารณ์สนั่น
รอยยิ้มของเหลียงจื้อหาวค้างอยู่บนใบหน้า เขารู้จักสวี่ฮุ่ยเช่นกัน และก็ได้ยินเสียงวิจารณ์รอบด้าน
“เจ้าหนุ่มหน้ามนคนนี้โชคดีมีแม่ยก”
คุณชายน้อยเหลียงแอบก่นด่าในใจที่ลู่เฉินโชคดี
เขาไม่กล้าโกรธสวี่ฮุ่ย เพราะต่อให้มีตัวเขารวมกันสิบคนก็ยังไม่กล้ามีปัญหากับคนตระกูลสวี่ แม้เธอจะเป็นลูกสาวที่ขึ้นชื่อว่าทรยศตระกูลจนเข้าหน้ากับคนในบ้านไม่ค่อยติดก็ตาม
บวกลุงของเขาเพิ่มเข้าไปอีกคนก็ยังไม่ไหว
ในเซียงเจียง ตระกูลใหญ่มีอำนาจล้นฟ้า คนที่มีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในตระกูลใหญ่ไม่มีใครไม่มีรากฐาน ล้วนแล้วแต่มีผู้หนุนหลังและมีเส้นสายกว้างไกล เป็นตระกูลที่มีฐานอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง
ตระกูลสวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
พอสวี่ฮุ่ยยกป้าย ความกระอักกระอ่วนของลู่เฉินถูกสลายลงไปทันที หน้าตาของซูจิ้งยังคงรักษาไว้ได้
ลู่เฉินอึ้ง เขาไม่เคยคิดว่าหญิงสาวที่เพิ่งได้คุยกันไม่กี่ประโยคคนนี้จะช่วยเขาให้รอดหวุดหวิด ทั้งยังฉีกราคาออกไปจนสูงถึงสามแสนหยวน
เมื่อครู่ลู่เฉินคิดว่าจะให้หลีเจินยกป้ายประมูลเอง แม้จะดูไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไร
แต่ความคิดของซูจิ้งซับซ้อนกว่านั้นมาก
มีเพียงเธอที่รู้ดีที่สุดว่า สวี่ฮุ่ยยกป้ายประมูลเพลงของลู่เฉินไม่ใช่เพราะช่วยเธอประคองเวที
ลูกสาวที่ทรยศตระกูลสวี่คนนี้ไม่ทำลายงานก็โชคดีมากแล้ว!
“ทำไมเหรอ ยังไม่เคาะประมูลอีก”
สวี่ฮุ่ยโบกป้ายในมือ พร้อมกับเค้นถามพิธีกรประมูล
พิธีกรสะดุ้งเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน แล้วตะโกนเสียงดังว่า “สามแสน คุณสวี่ให้สามแสนหยวน มีใครให้ราคาสูงกว่านี้ไหมครับ”
แม้จะต้องทำตามขั้นตอน แต่พิธีกรประมูลไม่คิดว่าจะมีใครให้ราคาสูงกว่านี้แล้ว จึงยกค้อนเตรียมเคาะตัดสิน
งานประมูลการกุศลไม่ได้มีกฎเกณฑ์มากมายเหมือนงานประมูลสินค้า ให้ความสำคัญกับความเร็วและการประมูลสำเร็จมากกว่า
“สามแสนห้า!”
ตอนที่ทุกคนคิดว่าเสียงเคาะจะดังขึ้น จู่ๆ ก็มีเสียงแทรกขึ้นมา
มีคนแย่งประมูลกับสวี่ฮุ่ยด้วย!
สายตาทุกคู่หันไปมองอีกครั้ง ดูว่าใครกันนะที่กล้าล้มประมูลของสวี่ฮุ่ย
คนที่เสนอราคาคือผู้หญิงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบถึงห้าสิบปีผู้ทรงเสน่ห์คนหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาทุกคู่กำลังมองมา เธอยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เสี่ยวเตี๋ยของฉันจะเดบิวต์เดือนหน้า กำลังมองหาเพลงหลักอยู่ ดังนั้นต้องขอโทษคุณสวี่ด้วยค่ะ”
ทุกคนไม่เข้าใจ
หญิงวัยกลางคนผู้สง่างามคนนี้ แขกทุกคนที่นี่รู้จักเป็นอย่างดี เธอเป็นเจ้าของบริษัทเอเจนซี่ศิลปะการแสดงชื่อดังแห่งเซียงเจียง…จินหมิงซิ่ว ประธานบริษัทเลดี้จินเอนเตอร์เทนเมนต์
จินหมิงซิ่วมาจากตระกูลดัง ได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเองเมื่ออายุยี่สิบกว่าปี ทำทั้งด้านการผลิตรายการบันเทิง ละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์ ทั้งการฝึกศิลปินดารานักร้อง หลายสิบปีมานี้เธอได้ส่งศิลปินที่มีความสามารถเข้าสู่วงการบันเทิงมากมาย
นักแสดงชื่อดังอย่างหลิวเจียเอิน กู่หรง นักร้องอย่างเกาหมิงเฟิง หลี่ลี่ เป็นต้น ล้วนออกมาจากบริษัทของเธอ
สวี่ฮุ่ยเป็นคนตระกูลสวี่ก็จริง แต่ยังไม่กล้าแข็งพอจะชนกับคุณนายจินคนนี้
และคุณนายจินกับซูจิ้งก็สนิทสนมกันดี
สิ่งที่ทุกคนไม่เข้าใจก็คือ ถ้าเพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ซูจิ้ง สวี่ฮุ่ยแค่เสนอราคาประมูลไปก็พอแล้ว คุณนายจินยื่นมือเข้ามาเป็นเพราะเหตุใด?
คงไม่ใช่เพราะจะขัดแย้งกับสวี่ฮุ่ยหรอกนะ? คุณนายจินไม่ได้งี่เง่าอย่างนั้น!
คนที่งี่เง่าคือสวี่ฮุ่ยต่างหาก เธอกล่าวอย่างเย็นชาว่า “การประมูลดูที่ราคาใครให้มากให้น้อย ไม่ต้องขอโทษกันหรอกค่ะ ฉันให้ห้าแสน!”
เธอยกป้ายอีกครั้ง
คุณนายจินยังยิ้มแย้มเหมือนเดิม “ที่พูดก็ถูกนะคะ งั้นฉันให้หกแสนค่ะ”
พริบตาเดียวจากหนึ่งหมื่นถูกเพิ่มเป็นหกแสน อีกทั้งดูท่าทางแล้วไม่มีแนวโน้มว่าจะจบลงง่ายๆ
ตามปกติแล้ว สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้น้อยมากในการประมูลการกุศล เป้าหมายที่ทุกคนมาไม่ใช่การนำของมีค่ากลับบ้าน อันดับแรกคือการเข้าสังคม ถัดมาคือการทำบุญ
ดังนั้นแม้จะเจอของประมูลที่ชอบ หากมีหลายคนต้องการแย่งชิง ทุกคนก็จะพูดคุยกัน ใครหน้าใหญ่ที่สุดคนนั้นได้ไป ความสัมพันธ์ก็จะไม่บาดหมาง เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย
คุณนายจินกับสวี่ฮุ่ยมาถึงขั้นที่ไม่มีใครยอมใคร เหมือนกับเป็นศัตรูคู่แค้นก็ไม่ปาน
แต่ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคนมีบุญคุณความแค้นอะไรกันมา
ส่วนคนที่รู้เรื่องในวงการกลับหุบปากเอาไว้ เพราะถ้าคุณนายจินประมูลเพลงนี้ไปเป็นเพลงหลักให้กับศิลปินใหม่ในค่ายจริง เงินหกแสนนี้สูงเกินกว่าราคามาตรฐานทั่วไป
ในวงการเพลงป็อบของเซียงเจียง เพลงเพลงหนึ่งทั้งเนื้อร้องและทำนองอย่างมากขายกันในราคาสามแสนไม่เกินสี่แสน ด้วยสถานะและตำแหน่งของคุณนายจินในวงการ ทางเลือกของเธอมีมากเหลือเกิน ไม่จำเป็นต้องมาแย่งกับสวี่ฮุ่ย
คุณนายจินไม่ได้ตื้นเขินขนาดนั้น อย่างนั้นก็มีคำถามแล้วละ…นั่นก็คืออะไรทำให้เธอทำแบบนี้?
คุณนายจินน่าจะตระหนักได้ถึงความสงสัยของคนอื่น เธออธิบายว่า “คุณลู่เฉินเป็นนักแต่งเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ ผลงานของเขาโด่งดังทุกเพลง!”
คำพูดแบบนี้เมื่อครู่พิธีกรเพิ่งกล่าวไป ไม่มีใครคิดว่าจริง แต่เมื่อออกมาจากปากของคุณนายจินกลับให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป
“เท่าที่ฉันรู้ เพลงของเขาเพลงหนึ่งราคาประมาณหนึ่งล้าน เขาทำอัลบั้ม ‘บุปผานารี’ ให้คุณเฉินเฟยเอ๋อร์แฟนสาวของเขา ตอนนี้ยอดขายทะลุห้าล้านไปแล้ว”
ยอดขายทะลุห้าล้าน!
เพื่อนร่วมวงการหลายคนได้ยินแทบกลั้นหายใจ ตลาดอันใหญ่โตของจีนแผ่นดินใหญ่ อัลบั้มหนึ่งขายได้ตั้งห้าล้านเชียว เป็นจำนวนที่มากจนน่าตกใจ
ชื่อของเฉินเฟยเอ๋อร์ มีคนรู้จักมากหน่อย
แฟนหนุ่มของเฉินเฟยเอ๋อร์ เพลงหนึ่งขายได้เป็นล้าน ยอดขายทะลุเป้า… ทุกเหตุผลที่กล่าวมา คุณนายจินยอมประมูลเพลงนี้ถึงหกแสนก็สมควรแล้ว
แขกเหรื่อพากันชะเง้อคอมองหาเงาของลู่เฉิน พวกเขาต่างอยากรู้ว่าคนคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร!
มีเพียงหัวของเหลียงจื้อหาวเท่านั้นที่แทบจะหดกลับเข้าไปอยู่ในกางเกง
คำชมเชยที่คุณนายจินมีต่อลู่เฉินนั้นเหมือนตบเข้าบ้องหูเขาให้หลาบจำ ตบเข้าที่หน้าของเขาฉาดใหญ่
เขารู้สึกถึงสายตาที่มองเขาแบบแปลกๆ และสายตายิ้มเยาะจากรอบข้าง
…………………………………………