ตอนที่ 237 ยังมีผู้อาวุโสเย่อยู่มิใช่หรือ ?
“เจ้าเด็กคนนี้มิว่าจะคุณสมบัติหรือจิตใจล้วนเหนือกว่าอู๋ซวง แต่กลับมิมีไหวพริบเอาเสียเลย ให้ตายเถอะ”
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่เดินจากไปของหลี่ฉางหมิง นักพรตฉางเสวียนก็ต้องทอดถอนใจอย่างห้ามมิได้
จากนั้นนักพรตฉางเสวียนก็มิรีรอใด ๆ อีก รีบเดินไปยังค่ายกลห้วงเวลาทันที
เพราะหลังจากการประชุมผู้นำสำนักต่าง ๆ ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัว พวกเขาล้วนต้องการที่จะพบท่านบรรพจารย์เย่สักครั้ง
ตอนนี้ใกล้ถึงพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดหญิง ตัวแทนของสำนักต่าง ๆ คงจะรีบมากันตั้งแต่วันนี้อย่างแน่นอน
แล้วก็จริงตามคาด เมื่อผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป
ขณะที่นักพรตฉางเสวียนมาถึงจัตุรัสหินสีเขียว อันเป็นที่ตั้งของค่ายกลห้วงเวลา
“เปรี้ยงงงงงง ! ”
ทันใดนั้น ด้านบนของค่ายกลห้วงเวลาทั้งห้าค่ายที่ถูกตั้งไว้โดยรอบจัตุรัสแห่งนี้ พลันก็เกิดลำแสงระยิบระยับมากมายพุ่งขึ้น
ขณะเดียวกันก็เกิดระลอกคลื่นรุนแรงขึ้นกลางอากาศโดยรอบ สัญลักษณ์โบราณส่องแสงลางเลือน ราวกับฝนดาวตกก็มิปาน ช่างเป็นภาพที่ตระการตายิ่งนัก
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
ผู้เฒ่าสวมอาภรณ์สีขาวดำหลายคน ก็ทยอยปรากฏตัวขึ้นที่ค่ายกลห้วงเวลาค่ายที่หนึ่ง
“ให้ตายเถอะ ! ข้ามิได้มาเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมิกี่สิบปี ปราณวิญญาณที่นี่กลับดูเหมือนจะบริสุทธิ์และหนาแน่นขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกหรือนี่”
“ใช่แล้ว ท่านเจ้าสำนัก”
“พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ ในอากาศเหมือนจะมีไอพลังแผ่ออกมาด้วย”
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนในตอนนี้ ช่างเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ในการบำเพ็ญเพียรที่หาได้ยากจริง ๆ ”
“ชมพอหอมปากหอมคอก็พอ มิเช่นนั้นตาเฒ่าแซ่เหอคงกระหยิ่มยิ้มย่องจนเหลิงเป็นแน่”
คนพวกนี้คือตัวแทนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยาง
ส่วนผู้ที่เป็นหัวหน้าก็คือเจ้าสำนักหยินหยาง ต้วนฉางเต๋อ นั่นเอง
“พี่ต้วน ลำบากแล้ว”
นักพรตชิงเย่ที่เฝ้าประจำอยู่หน้าค่ายกลห้วงเวลาบานนี้ ประสานมือพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ต้วนฉางเต๋อกวาดสายตามองนักพรตชิงเย่เล็กน้อย ก่อนจะประสานมือให้พร้อมรอยยิ้ม “พี่ชิงเย่ มิพบกันหลายปี คิดมิถึงว่าตบะบารมีของท่านจะก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว”
นักพรตชิงเย่หัวเราะออกมา “พี่ต้วนกล่าวเกินไปแล้ว ตบะบารมีเล็กน้อยของข้าจะเทียบอะไรกับพี่ต้วนได้เล่า”
ต้วนฉางเต๋อหัวเราะออกมา จากนั้นจึงชำเลืองมองไปรอบ ๆ แล้วถามเสียงเบาว่า “พี่ชิงเย่ ท่านบรรพจารย์เย่ท่านนั้นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมาแล้วหรือยัง ? ”
นักพรตชิงเย่ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ท่านบรรพจารย์เย่มาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว บัดนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่ยอดเขาฉางหมิง”
ต้วนฉางเต๋อหรี่ตาลง “ก่อนหน้านี้พี่เหอบอกว่า ท่านบรรพจารย์เย่ท่านนี้ของพวกเจ้าเป็นผู้สูงส่งไร้เทียมทาน ครานี้มาถึงที่นี่แล้ว ข้าหวังจะได้เห็นเป็นบุญตาเสียหน่อย”
นักพรตชิงเย่ปรายตามองต้วนฉางเต๋อเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาเงียบ ๆ
ในตอนนั้นเองภายในค่ายกลห้วงเวลาบานอื่น ๆ ก็มีกลุ่มคนทยอยเดินออกมา
แบ่งเป็น
เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัว หลัวชุนเฟิง พร้อมเหล่าผู้อาวุโส
เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง สวีฉิงเทียน พร้อมเหล่าผู้อาวุโส
เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัว นักพรตไท่หัว พร้อมเหล่าผู้อาวุโส
พวกเขาแต่ละคนต่างมีไอพลังรุนแรง ทั้งยังมีอำนาจน่าเกรงขามแผ่ออกมาจากกายอีกด้วย
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนงงงวยก็คือคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวและเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัวต่างก็กำลังขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
มินานทุกคนก็ได้มารวมตัวยังใจกลางจตุรัส
“พี่ไท่หัว พี่หลัว เกิดเรื่องอะไรขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
นักพรตฉางเสวียนมองหลัวชุนเฟิงและนักพรตไท่หัว ก่อนถามออกมาพลางขมวดคิ้วน้อย ๆ
“เวลานี้จะเกิดเรื่องอะไรได้”
ต้วนฉางเต๋อเจ้าสำนักหยินหยางหัวเราะเยาะ แล้วเอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนว่า
“บัดนี้ท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอยู่ที่แดนเหนือ ต่อให้จักรพรรดิมารตนนั้นมาก็หาได้หวั่นเกรงไม่ ส่วนพวกมารทางเทือกเขาแดนใต้นั้น จะเยี่ยงไรพวกเขาก็มิกล้าบุ่มบ่ามเข้ามาหรอก”
“พี่ฉางเสวียน พวกเราไปหาที่คุยกันเถอะ”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
หลัวชุนเฟิงมองนักพรตฉางเสวียน ก่อนจะถอนใจออกมา
“ทุกท่าน เชิญตามข้ามา”
มินานนักพรตฉางเสวียนก็เดินนำ เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าของจงหยวนมายังตำหนักไท่เสวียน
“พี่ไท่หัว พี่หลัว มิใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นทางซีม่อหรอกนะ?”
เมื่อมาถึงตำหนักไท่เสวียน หลังจากที่รอให้ทุกคนนั่งลงแล้ว
สวี๋ชิ๋งเทียนก็เอ่ยถามขึ้นตรง ๆ เป็นคนแรก
ทันใดนั้นต้วนฉางเต๋อและนักพรตฉางเสวียน ที่มิรู้เรื่องอะไรก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเผ่าปีศาจเทือกเขาแดนใต้ รวมทั้งฝ่ายมารในแดนรกร้างทางเหนือนั้น ถือเป็นความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์
ทว่าศาสนาพุทธที่ซีม่อและจงหยวนแม้มิได้มีการแบ่งแยกทางเผ่าพันธุ์ แต่ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋ากับมีความขัดแย้งทางความคิด ที่มิสามารถเข้ากันได้
เช่นนั้นการที่ศาสนาพุทธต้องการที่จะเผยแผ่เข้ามาในดินแดนจงหยวน เหล่าสำนักลัทธิเต๋าทั้งน้อยใหญ่ย่อมมิอาจนิ่งดูดายได้
หลังจากเงียบไปพักใหญ่
นักพรตไท่หัวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามเสียงเรียบว่า “ทุกท่าน พวกท่านเคยได้ยินชื่อหลวงจีนเสวียนเต๋อหรือไม่ ? ”
“เสวียนเต๋อ ? ”
ต้วนฉางเต๋อแค่นหัวเราะออกมา “ผูฝ่า ผูจือ เจ้าหัวล้านพวกนี้ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ส่วนเสวียนเต๋อผู้นี้เกรงว่าคงเป็นเด็กน้อยที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งกระมัง”
ต้วนฉางเต๋อพูดแล้วก็กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะกลั้นหัวเราะเอาไว้มิไหว “พี่ไท่หัว พี่หลัว พวกท่านคงมิได้กังวลเจ้าเด็กไร้ชื่อเสียงผู้นี้หรอกกระมัง ? ”
หลัวชุนเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น แล้วก็เอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนต้องแตกตื่นขึ้น “ในศาสนาพุทธของซีม่อ คำว่า เสวียน อยู่เหนือคำว่า จือ อีกทั้งจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ผู้ที่ใช้คำว่า เสวียน ในวัดเหลยอินของซีม่อเหลือน้อยยิ่งนัก และล้วนแต่เป็นพระที่มีสมณศักดิ์สูง”
“นี่มัน…”
ต้วนฉางเต๋อมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางราวกับมีบางอย่างจุกที่คอ
ตอนนั้นเอง
“มิเพียงเท่านั้น”
นักพรตไท่หัวเอ่ยต่ออีกว่า “ตามที่ข้ารู้มาเสวียนเต๋อผู้นี้มิเพียงเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง แต่ยังมีตบะบารมีที่สูงส่ง มีเคล็ดวิชาลับของศาสนาพุทธมากมายอีกด้วย”
นักพรตฉางเสวียนขมวดคิ้วแน่น แล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “จากที่พี่ไท่หัวและพี่หลัวกล่าวมา หรือว่านักบวชเสวียนเต๋อผู้นี้จะเข้ามาในจงหยวน และไปเทศน์ตามสำนักบำเพ็ญเพียรต่าง ๆ เพื่อหวังที่จะเผยแพร่ศาสนาพุทธเข้าสู่จงหยวนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ! ”
หลัวชุนเฟิงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ทอดถอนใจออกมา “คิดถึงปีนั้นที่ผูฝ่าและผูจือจากซีม่อเข้ามายังจงหยวนและได้ไปเทศน์ตามสำนักต่าง ๆ เกือบทุกที่ล้วนแต่เลื่อมใสศรัทธาพวกเขา”
“หากมิใช่เพราะในช่วงเวลาสำคัญได้พี่ไท่หยวนแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัวออกหน้า เกรงว่าบัดนี้ศาสนาพุทธคงจะรุ่งเรือง ส่วนลัทธิเต๋าคงตกอยู่ในวิกฤติเป็นแน่”
“น่าเสียดาย ที่สองร้อยปีก่อนพี่ไท่หยวนมิสามารถเข้าใจจิตแท้แห่งเต๋าได้ สุดท้ายเมื่อถึงแก่เวลาก็ได้ละสังขารไป”
นักพรตไท่หัวลูบหนวดตัวเอง พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “บัดนี้เสวียนเต๋อผู้นี้จะต้องเตรียมตัวมาอย่างดี หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ ความแตกฉานในศาสนาพุทธอาจจะอยู่เหนือกว่าสองคนนั้นเสียอีก”
หลังจากสิ้นเสียง ตำหนักไท่เสวียนก็เงียบสงัดลงทันที เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าต่างก็มีท่าทางเคร่งขรึม คิ้วขมวดมุ่นไปตามกัน
มิกี่อึดใจต่อมา ดวงตาของต้วนฉางเต๋อพลันเกิดประกายเย็นเยียบแวบผ่าน ก่อนจะตบต้นขาของตัวเองฉาดใหญ่ ก่อนลุกขึ้นยืนในทันที
“ในเมื่อลัทธิเต๋าในจงหยวนมิอาจเทศน์ชนะได้ เช่นนั้นก็ทำให้เจ้าหัวโล้นผู้นี้มิอาจก้าวเข้ามาในจงหยวนได้แม้เพียงครึ่งก้าว”
ต้วนฉางเต๋อเอ่ยเสียงเข้ม พร้อมดวงตาวาวโรจน์
“ไร้สาระ ! ”
นักพรตไท่หัวเอ่ยขึ้น มุมปากกระตุกเล็กน้อย
“หากขวางเสวียนเต๋อเอาไว้ที่ชายแดนจงหยวน นั่นมิเท่ากับเป็นการประกาศบอกคนทั่วทั้งใต้หล้าว่าลัทธิเต๋าของเราสู้ศาสนาพุทธมิได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ตอนนั้นเองสวีฉิงเทียนก็เงยหน้าขึ้นมองนักพรตฉางเสวียน ก่อนจะหันไปมองพวกต้วนฉางเต๋อ
“ใครบอกว่าลัทธิเต๋าถึงกาลอวสานเล่า เรายังมีผู้อาวุโสเย่อยู่มิใช่หรือเยี่ยงไร ? ”
สวีฉิงเทียนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง