ตอนที่ 1056 กังวล
“เฮ้อ…อากาศในเดือนหกนี่จริง ๆ เลยเชียว”
“เมื่อครู่อากาศยังแจ่มใสอยู่เลย ทว่าอยู่ ๆ ฝนก็โปรยลงมาเสียดื้อ ๆ รั่วซิง…มาลองชุดกระโปรงให้แม่ดูหน่อยสิ”
เผิงยวี๋เยี่ยนมิได้หลับได้นอนมาทั้งคืน นางนั่งเย็บกระโปรงตัวงามให้กับบุตรสาวของตน
หยูรั่วซิงที่นอนอยู่บนโต๊ะตื่นขึ้นมาพลางนำมือขยี้ตา เมื่อนางมองเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของมารดาจึงเบ้ปากแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ามิได้จะไปเจอพี่เสี่ยวจ้วงเร็ว ๆ นี้สักหน่อย อีกอย่างต่อให้ไปพบเขาก็มิจำเป็นต้องสวมชุดกระโปรงที่งดงามเช่นนี้ ท่านแม่…ท่านจะรีบร้อนเนื่องด้วยเหตุอันใดเล่า ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนจ้องมองไปยังสายฝนนอกหน้าต่างพลางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“เมื่อคราที่แม่ตัดสินใจเดินทางออกมาจากค่ายทหารชายแดนใต้ แม่เคยให้สัญญากับพ่อของเจ้าว่าจะส่งเจ้าออกเรือนอย่างงดงาม และแต่งภรรยาให้แก่พี่ชายของเจ้าทั้งสองอย่างสมเกียรติ”
“ชุดกระโปรงนี้มิได้ให้เจ้าสวมใส่ตอนนี้หรอก มันเป็นชุดแต่งงานสีแดงสด ยามเจ้าออกเรือนจะได้ใส่มัน”
หยูรั่วซิงหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันใด นางเบะปากอีกคราแล้วเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “เช่นนั้นยิ่งมิต้องรีบ…” นางหันไปมองเผิงยวี๋เยี่ยนแล้วเอ่ยต่อว่า “ท่านแม่…ท่านรีบร้อนส่งข้าออกเรือนถึงเพียงนี้เชียวหรือ รังเกียจที่ข้าตามเกาะท่านเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนยืดตัวบิดขี้เกียจบรรเทาอาการปวดหลัง สายตายังคงมองไปที่สายฝนพรำ ก่อนจะหันหลังกลับมาเอ่ยกับหยูรั่วซิงว่า “ใช่ ! เจ้าอยู่เกะกะจนข้ารำคาญเพียงใดมิรู้หรือ ? จงรีบออกเรือนไปเสียเถิด ! ”
“รีบไปลองชุดเร็วเข้า หากมิพอดีตัวจะได้แก้ไข”
“ฮึ ! ข้ารู้ว่าท่านแม่หลอกข้า ข้าไปลองให้ก็ได้”
หยูรั่วซิงหอบชุดสีแดงสดวิ่งเข้าไปในห้องนอน รอยยิ้มบนใบหน้าของเผิงยวี๋เยี่ยนจึงค่อย ๆ จางหายไปช้า ๆ
นางมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครา ทว่ายังคงมองเห็นเพียงสายฝนที่ไหลผ่านหน้าต่างลงไปช้า ๆ
เมื่อคืนนี้นางนอนมิหลับทั้งยังรู้สึกกระสับกระส่าย ติ้งชาน… ติ้งเหอ… พวกเจ้าอยู่ที่ใดกัน ?
แม่เหลือเพียงแค่พวกเจ้าแล้ว แม่ยังอยากอุ้มหลานอยู่นะ จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับพวกเจ้ามิได้เป็นอันขาด !
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็กำลังนั่งมองสายฝนอยู่ในกระโจมเช่นกัน
แต่คนที่เขาเป็นห่วงอยู่นั้นคือเฮ้อซานเตา
เขารู้ดีว่าจดหมายที่ตนส่งไปนั้น อาจจะมิถึงมือของเฮ้อซานเตา
กองนาวิกโยธิน 20,000 นายพร้อมปืนเหมาเซ่อจะสามารถต้านทานการโจมตีของกองทัพอสนีบาตของซูฉางเซิงได้หรือไม่ ?
เขาหวังว่าหากเฮ้อซานเตาสู้มิได้ก็ให้หลบหนีไปเสีย ทว่าเขารู้สึกกังวลมากยิ่งนักว่าเจ้าหมอนั่นจะหัวดื้อ
เขาคำนวณถึงความสามารถในการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายดูแล้ว ปืนเหมาเซ่อสามารถยิงติดต่อกันได้สามนัด แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็มิอาจแน่ใจได้ว่าทหารของเฮ้อซานเตาจำนวน 20,000 นายจะสามารถเอาชนะกองทัพอสนีบาตจำนวน 450,000 นายได้หรือไม่ ?
เนื่องจากกองนาวิกโยธินคุ้นเคยกับการต่อสู้ด้วยปืนเป็นระยะเวลาสั้น ๆ และเนื่องจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในสนามรบ สิ่งนี้จะนำไปสู่การสูญเสียความแม่นยำ เป็นไปมิได้เลยที่จะกำจัดศัตรูด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว
“พวกเราล้วนเป็นพ่อค้าที่ดิน สมองของเจ้าจะไหลลื่นสักหน่อยมิได้หรือเยี่ยงไร ! ”
“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? ” ซูซูเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มออกมาเบา ๆ พลางส่ายหน้าพรืด “ข้าเพียงนึกถึงเศรษฐีที่ดินคนหนึ่งขึ้นมาได้ หวังว่าการค้าในครานี้เขาจะมิขาดทุน”
“อ้อ… ! ” ซูซูเชื่อคำเอ่ยของเขาทันที ทว่าสวี่หยุนชิงและสวี่ซินเหยียนกลับจ้องมองมาทางฟู่เสี่ยวกวนอย่างมีความหมาย
“ลูกแม่…หากเจ้ามีเรื่องที่ต้องจัดการก็จงไปเถิด แม่จะอยู่ชมดอกไม้เป็นเพื่อนพวกเขาเอง”
“หาได้มีเรื่องใหญ่โตอันใดไม่ ท่านแม่…ท่านดูนี่สิ ดอกไม้เหล่านี้ตลอดชีวิตของมันมิรู้ว่าต้องเจอกับพายุฝนมาแล้วกี่ครา พายุเหล่านั้นได้กำจัดดอกไม้บางส่วนทิ้งไป ทว่าถึงเยี่ยงไรก็ยังมีดอกไม้บางส่วนที่เติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม ออกดอกผลิบานสดใส”
“ดอกไม้ในเรือนกระจกมิอาจทนทานต่อแรงลมได้ ดังนั้นการปลูกดอกไม้มิควรถนุถนอมมันจนเกินไป… มนุษย์เราก็เช่นนั้น หากมิผ่านพายุ จะพบกับสายรุ้งได้เยี่ยงไร ? ”
“หนทางของต้าเซี่ย ข้าได้วาดมันไว้แล้ว เป็นไปมิได้ที่ข้าจะประคองมันไปตลอด”
“หากใช้เท้าทั้งสองข้างเดินไปตามถนนที่ค่อนข้างราบเรียบ ทว่าก็ยังมิอาจเดินให้ดีได้…เช่นนั้นคงเป็นเท้าของตนเองแล้วล่ะที่มีปัญหา”
ซูซูเบิกตากว้าง นางรู้สึกว่าประโยคนี้มีความหมายที่ลึกซึ้ง
สวี่หยุนชิงมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก ส่วนสวี่ซินเหยียนได้ละสายตาไปย่างเนื้อแพะต่อ
เยี่ยนเป่ยซีที่กำลังสนทนากับฉินปิ่งจงซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยได้ยินคำเอ่ยเหล่านี้ชัดเจนเต็มสองรูหู เขามองย้อนกลับไปที่ฟู่เสี่ยวกวน ทว่ามิได้เอ่ยอันใดออกมาเช่นกัน เขาสูดหายใจเข้าลึก เนื่องจากตนเองเข้าใจความหมายที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ย
เขาสามารถปล่อยวางอำนาจอันยั่วยวนจิตใจเหล่านั้นได้จริงหรือ ?
หากเขาวางมันลง จะมีคนสักกี่คนในต้าเซี่ยที่สามารถเดินไปตามเส้นทางที่เขาวางเอาไว้ได้ ?
ผู้ที่เข้ามาแทนที่เขาหากปฏิเสธเส้นทางนี้…จะต่างอันใดกับว่อเฟิงเต้าในตอนนั้นกัน ?
ทว่าเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เทพเจ้า เขามิอาจมีอายุยืนยาวพันปีได้
ราษฎรในต้าเซี่ยบัดนี้มิได้ต่างอันใดจากทารก เดิมทีเขาได้จูงมือเดินมาตลอดทาง ทว่าบัดนี้เขาได้ลองปล่อยมือบ้างแล้ว
บางทีทารกอาจจะหกล้มลงบ้าง ทว่ามีเพียงการลุกขึ้นมาใหม่อีกคราเท่านั้น ถึงจะสามารถเรียนรู้การเดินด้วยตนเองได้
เอาเถิด ! เมื่อถึงเวลานั้นเยี่ยงไรข้าก็คงมิอยู่แล้ว อนาคตของต้าเซี่ยจะเป็นเยี่ยงไร…ก็ให้คนหนุ่มสาวร่างเส้นทางกันเอาเอง
……
……
ณ หมู่บ้านฮวงหลิน
หยูติ้งชานจ้องมองหยูติ้งเหอด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“น้องข้า…ฝนตกลงมาเช่นนี้ เกรงว่าแผนการมัดกิ่งไม้ไว้กับหางม้าจะไร้ประโยชน์เสียแล้ว”
หยูติ้งเหอเองก็ปวดหัวมากยิ่งนัก ฝนตกหนักเยี่ยงนี้จะเอาฝุ่นมาจากที่ใดได้อีกเล่า ทว่าต่อมามินาน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาววับขึ้นมาอีกครา “ท่านพี่…พวกเราสามารถใช้โอกาสที่ฝนตกหนักนี้เข้าโจมตีทางด้านหลังได้”
“พวกเรามองเยลู่ฮัวได้มิชัด และเยลู่ฮัวก็มองเห็นพวกเราได้มิชัดเช่นกัน เพียงแค่สามารถสังหารเยลู่ฮัวได้ก็พอแล้วมิใช่หรือ จากนั้นพวกเราสามร้อยคนก็รีบหนีไปเสีย จะมัวลุ่มหลงอยู่กับการต่อสู้มิได้เป็นอันขาด ! ”
“ตกลง ! แต่ว่า…สถานการณ์ในสนามรบเป็นเยี่ยงไรบ้างตอนนี้ ? ”
“เจ้าเยลู่ฮัวจะไปสู้ท่านแม่ทัพท่าป๋าเฟิงได้เยี่ยงไร ข้าเกรงว่ามันจะฉวยโอกาสที่ฝนตกเช่นนี้ทำการหลบหนีน่ะสิ”
บัดนี้เยลู่ฮัวอยากจะหลบหนีไปจริง ๆ เนื่องจากทหารเกราะแดงที่เขาปล่อยออกไปเมื่อครู่ บัดนี้หลงเหลืออยู่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
มิรู้ว่าเสียงแตรหยุดลงเมื่อใด ธงกองทัพของตนที่โบกสะบัดไปมา บัดนี้นอกจากที่รถม้าของเขา ดูเหมือนธงอันอื่น ๆ จะล้มลงระเนระนาดแล้ว
คลื่นสีเงินดูเหมือนจะดุดันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าทหารในมือของตน…เริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ เช่นกัน
แพ้แล้วหรือ ?
แพ้แล้วสินะ !
ทหารจำนวน 300,000 นายที่เขานำมา จำนวน 200,000 นายเป็นถึงทหารป๋ายหยู ! นี่พวกเขาเพิ่งจะสู้กันได้เท่าใดเอง ?
เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น !
บัดนี้เมื่อมานึกดูอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าตั้งแต่ชั่วอึดใจแรกที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ทหารเกราะแดงของเขาก็มิได้เดินหน้าบุกแม้แต่ชุ่นเดียว ในขณะที่คลื่นสีเงินของฝั่งตรงข้ามคืบคลานเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
กองทัพทหารเช่นนี้ จะมีกองทัพใดเป็นคู่มือได้อีกกัน ?
กองทัพอสนีบาตจะสู้ได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
เยลู่ฮัวเองก็มิรู้เช่นกัน เนื่องจากเขาคิดว่าตนคงมิมีโอกาสได้เห็นภาพนั้นอีกต่อไปแล้ว
ทันใดนั้น องครักษ์คนหนึ่งก็วิ่งตรงเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ…ท่านแม่ทัพใหญ่เยลู่ซาสิ้นใจในสนามรบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หัวใจของเยลู่ฮัวแทบจะหยุดเต้นทันใด หนังตาของกั้วยวี่ชานกระตุกถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
“ฝ่าบาท… ในเมื่อสู้มิได้…หากว่าภูเขายังมีต้นไม้ ก็มิต้องกังวลเรื่องถ่านไม้ พวกเราหนีไปกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ไปที่ใดได้อีกกัน ? ”
“…” กั้วยวี่ชานเองก็ตอบมิได้
ไปที่ใดดีเล่า ?
เหตุใดมิเคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ ?
จะไปที่ใดได้อีกกัน ?
นี่คือชีวิตของสุนัขจรจัดเยี่ยงนั้นหรือ ?
นี่มันคือชีวิตของสุนัขจรจัดชัด ๆ เลยนี่ !
ทว่าต่อให้ตายดี ๆ ก็ยังสู้มีชีวิตอย่างรันทดมิได้หรอก ต่อให้ต้องใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ก็ยังดีกว่ามาตกตายตรงนี้
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ พวกเราหลบซ่อนตัวไปเป็นชาวบ้านธรรมดาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
เขายังมิทันได้เอ่ยจนจบ ก็มีองครักษ์อีกนายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รายงานด้วยความรีบร้อนว่า
“ทูลฝ่าบาท ศัตรู…ศัตรูมีกำลังทหารเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งกองทัพ มองดูแล้วดุร้ายมากยิ่งนัก เกรงว่า…เกรงว่าจะมีจำนวน 100,000 นายได้ ! ”
เยลู่ฮัวใจกระตุกวูบ “ไอหยา…สวรรค์ ท่านต้องการให้ข้าจบสิ้นแล้วจริง ๆ หรือ ! ”
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ รีบใช้โอกาสตอนที่ฝนตกเช่นนี้ หลบหนีกันเถิด ! ”
“อืม…พวกเราออกเดินทางเถิด ! ”
เยลู่ฮัวพาองครักษ์จำนวน 1,000 นายมุ่งหน้าข้ามแม่น้ำเย๋ซุ่ยท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมามิขาดสาย