บทที่ 211 จิ้งจอกสะบัดหาง
บทที่ 211 จิ้งจอกสะบัดหาง
ทันทีที่ประตูปิดลง ซูโย่วอี๋ก็อ้าแขนกอดลู่เฉินและเงยหน้าขึ้นมองเขา “ฉันไม่อยากห่างจากคุณเลย”
ร่างเล็กมีสีหน้าลำบากใจ
หัวใจของลู่เฉินอ่อนยวบ หลังจากที่เขามีแฟน เขาก็ตระหนักได้ว่ามันยากมากกว่าจะทำใจได้ที่จะต้องห่างไกลกันไป
คำที่บอกว่าแยกทางกันเพื่อกลับมาพบกันใหม่ก็เป็นแค่คำปลอบใจที่พูดไปอย่างนั้น
มือของชายหนุ่มบีบใบหน้าของซูโย่วอี๋เบา ๆ มันเป็นท่าทางที่อบอุ่นมาก แต่ทันใดนั้นลู่เฉินก็ต้องขมวดคิ้ว
ดวงตาสีเข้มจับจ้องไปที่แป้งที่ติดมาที่นิ้วของเขา
จู่ ๆ ซูโย่วอี๋ก็คิดเล่นตลก เธอเอนหน้าไปบนไหล่ของลู่เฉิน และถูมันไปมา โดยจงใจให้เสื้อเชิ้ตสีขาวของลู่เฉินเปื้อนแป้งผสมรองพื้น
สีของแป้งผสมรองพื้นอมเหลืองจึงตัดไปกับเสื้อเชิ้ตสีขาว
ลู่เฉินขมวดคิ้วมุ่น เขายื่นนิ้วชี้เรียวยาวชี้ไปที่หน้าผากของซูโย่วอี๋และดันเธอออกห่างจากเขา
“สกปรก” ริมฝีปากบางของเขาเปล่งเสียงออกมา
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าเธอทำเกินไป ลู่เฉินผู้ซึ่งรักความสะอาดเป็นอย่างมากถึงกับทุบหัวของซูโย่วอี๋เบา ๆ เพราะทำให้เสื้อผ้าของเขาดูไม่เรียบร้อย!
และเขาพูดขึ้นมาว่า “คุณแกล้งผม!”
“คุณนั่นแหล่ะที่แกล้งฉัน!”
ลู่เฉินตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “คุณไม่รักผมแล้วเหรอ”
“คุณคิดว่าไงล่ะ”
ซูโย่วอี๋ชะงักไปชั่วครู่เมื่อเธอพูดคำทำร้ายจิตใจด้วยใบหน้าที่จริงจังออกไปแบบนั้น
แต่ต่อมาเธอหัวเราะอย่างหนักจนตัวงอ
“ลู่เฉิน คุณเก่งจริง ๆ”
ลู่เฉินพยายามระวังไม่ให้เธอไปกระแทกกับมุมโต๊ะ “ผมอ่านบทวิเคราะห์ทางอินเทอร์เน็ต มีบล็อกเกอร์คนหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า เมื่อแฟนคุณถามคุณแบบนั้น เจตนาคือทำตัวเหมือนเด็ก เหมือนโกรธจริง เราต้องตามให้ทัน และจะได้ควบคุมอารมณ์แฟนสาวให้อยู่หมัด”
ไม่อย่างนั้นคนที่ทุกข์ก็คือตัวเอง
ซูโย่วอี๋ตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “คุณมีเวลาดูอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”
น้ำเสียงของลู่เฉินดูเหมือนนักธุรกิจ “บางครั้งผมก็ดูตอนที่ผมมีเวลาว่าง”
ต้องศึกษาล่วงหน้าเผื่อได้ใช้
ซูโย่วอี๋หยิบทิชชู่ออกมาเพื่อช่วยลู่เฉินเช็ดรอยบนไหล่ของเขา แม้มันไม่สะอาดหมดจดแต่ก็ไม่ได้มองเห็นชัดหากไม่ได้ดูอย่างตั้งใจ
และในตอนนี้หัวทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก
เมื่อสวีโหมวเข้ามา เขาคิดว่าทั้งสองกำลังจูบกัน แต่ผู้กำกับสวีไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน เขาจึงเอาบุหรี่เข้าปากและเอื้อมมือไปเพื่อหยิบหม่าล่าเซียงกัวมากิน “ต่อเลย”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันกลับมา “โย่วอี๋ คุณอยากหยุดสักวันไหม”
ซูโย่วอี๋รีบยืนออกห่างจากลู่เฉินเล็กน้อย “ไม่ค่ะ ฉันจะไปถึงกองถ่ายให้ตรงเวลา”
พวกเขายังคงต้องจากกัน หลังจากที่ลู่เฉินเข้าไปในรถ ซูโย่วอี๋ก็ปิดประตูให้เขาด้วยตัวเอง
กระจกหน้าต่างดำสนิทให้ความเป็นส่วนตัวสูงจนมองไม่เห็นภายในรถ
ซูโย่วอี๋จึงกดใบหน้าของเธอไปที่กระจกรถ มองไปที่ลู่เฉินด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด “อีกครึ่งเดือนเลยกว่าฉันจะถ่ายทำเสร็จ”
ลู่เฉินเลื่อนกระจกรถลงเบา ๆ
ซูโย่วอี๋กลอกตาและสบตากับคนขับ จึงได้เห็นความงงงวยในดวงตาของอีกฝ่าย
เขาคงกำลังคิดว่าใครจะเอาหน้าไปแนบกับกระจกรถเหมือนเด็กแบบนี้กัน
อา
โง่จริง ๆ
น่าขายหน้าชะมัด
ซูโย่วอี๋ถอยหลังไปสองก้าวแสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม พยายามสร้างภาพลักษณ์ของเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ไว้เจอกันนะคะ ลู่เฉิน”
ลู่เฉินดูการแสดงออกที่ไม่เป็นธรรมชาติของเธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ “ไว้เจอกัน เจ้าแมวน้อยจอมขี้เกียจ”
“รีบไปเถอะค่ะ”
จากนั้นคนขับค่อย ๆ ขับรถออกไปหลังจากได้รับคำสั่งจากเจ้านาย
ตอนนี้ซูโย่วอี๋ยืนตรงเหมือนกับเคารพธงชาติ จนกระทั่งรถของลู่เฉินอยู่ไกลไปกว่าสายตา เธอถึงหันหลังและเดินไปที่รถของตัวเอง
เหมยเหมยไม่รู้ว่าลู่เฉินจะมาค้างคืน จนกระทั่งเธอเห็นลู่เฉินในตอนเช้า เธอรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นข้อความที่เขาส่งมาขอบคุณ
หนึ่ง นี่แสดงให้เห็นว่าประธานลู่ให้ความสำคัญกับคุณซูมากแค่ไหน
สอง ดูเหมือนสภาพจิตใจของซูโย่วอี๋จะฟื้นตัวเต็มที่แล้ว
ซูโย่วอี๋เอนกายลงบนที่นั่งและพูดสิ่งที่เธออยากจะพูดมาเสมอว่า “ขอบคุณนะ เหมยเหมย”
ในตอนที่เธอรู้สึกไม่สบายใจที่สุด เหมยเหมยก็คอยปกป้องเธออย่างเงียบ ๆ ด้วยวิธีของตัวเอง
สิ่งที่เหมยเหมยทำนั้นเกินขอบเขตของงานผู้ช่วยไปแล้ว นี่ไม่ใช่เพื่องานเพียงอย่างเดียว แต่เพราะเธอหวังว่าศิลปินของเธอจะทำได้ดี
เหมยเหมยได้ยินคำพูดนั้นก็ยิ้มอย่างยินดี “นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำค่ะ หากคุณรู้สึกเกรงใจ ก็แค่ขอให้ประธานลู่เพิ่มเงินเดือนให้ฉัน และให้ฉันลาพักร้อนประจำปีได้ก็พอ”
“ตกลง”
แม้เหมยเหมยจะล้อเล่น แต่ซูโย่วอี๋จะจำมันไว้ในใจ
หลังจากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไป
จิ้งจอกเน่าวิ่งไปมาในพื้นที่ของระบบตั้งแต่เริ่มต้น มันมีอาการหงุดหงิดเล็กน้อย
[ซู่จู่]
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของจิ้งจอกเน่า ซูโย่วอี๋แสร้งทำเป็นหลับตาเพื่อพักผ่อน สติของเธอเข้าสู่พื้นที่ของระบบ
“มีอะไรผิดปกติเหรอ?”
จิ้งจอกเน่าเกาหัวด้วยหางของมัน [อา พี่ไป๋เจ๋งมาก ฉันชอบเธอมาก]
?
“พี่ไป๋? ไป๋เสิ่นเฉียว?”
จิ้งจอกเน่าพยักหน้าอย่างลนลาน [แล้วมีพี่ไป๋คนอื่นอีกไหม ทำไมคุณไม่เล่นกับเธอให้บ่อยกว่านี้ล่ะ]
จิ้งจอกเน่าอยากเจอเธอเหรอ หรือมันหมายความว่ายังไง
แต่มันเป็นแค่สุนัขจิ้งจอกไม่ใช่หรือไง?
“ความชอบในโลกของสัตว์มีความหมายเหมือนกับความชอบในโลกของมนุษย์ของเราหรือเปล่า”
[ใช่!]
[แล้วอย่าพูดถึงโลกของสัตว์เลย สุนัขจิ้งจอกเป็นเพียงภาพลวงตาของฉัน ตราบใดที่พี่ไป๋ชอบมัน ฉันก็สามารถกลายเป็นผู้ชายได้]
จิ้งจอกเน่าจำสายตาที่ไป๋เสิ่นเฉียวมองซูโย่วอี๋ได้ [อืม หรือจะเป็นผู้หญิงก็ได้ ฉันไม่ถือสา]
ซูโย่วอี๋เดินไปรอบ ๆ จิ้งจอกเน่าสองครั้งด้วยสีหน้าเสียใจ “ชอบก็ไม่ได้หรอก เพราะยังไงนายก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าเธอไม่ได้ นายจะสื่อสารกันยังไง คุยแบบไม่ต้องเห็นหน้าเหรอ”
ดูเหมือนจิ้งจอกเน่าจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็พูดว่า [ฉันจะอัปเกรด บางทีสักวันหนึ่งฉันอาจจะสามารถอยู่ในโลกมนุษย์ได้เป็นเวลาสั้น ๆ ก็ได้]
“เหมือนซินเดอเรลล่าวิ่งหนีตอนตีสองน่ะเหรอ”
จิ้งจอกเน่าหันกลับมาและหันหลังให้ซูโย่วอี๋ราวกับว่ามันกำลังโกรธ โดยที่อุ้งเท้าหน้าวางอยู่บนหน้าผาก มันดูเศร้ามาก
เหมือนเด็กสองขวบที่กำลังมีความรัก
ซูโย่วอี๋ทนไม่ได้ เธอจึงสะกิดหลังสุนัขจิ้งจอกตัวเหม็น “เอาล่ะ ฉันสัญญาว่าคราวหน้าจะไปเล่นกับเธอบ่อย ๆ”
“เรื่องแค่นี้เล็กน้อย”
[จริงนะ?]
จิ้งจอกเน่าพุ่งขึ้นไปในอากาศทันที หมุนตัวหลายครั้งติดต่อกัน และบินไปทั่วท้องฟ้าด้วยหางทั้งเก้าของมัน
พร้อมกับส่งเสียงดีใจ
ซูโย่วอี๋เลิกคิ้ว มันดีใจจนเนื้อเต้นและสะบัดหางของมันไปมาเลยเหรอ!
“จิ้งจอกเน่า ฉันเข้าใจนะว่ามันเป็นธรรมดาที่นายจะชอบคนที่หน้าตา แต่ว่าห้ามมีความรักก่อนวัยอันควรเด็ดขาด ฉันจะพิจารณาอีกทีเมื่อนายอายุสิบแปดปี และจะบอกเสิ่นเฉียวให้ว่ามีคนแอบชอบเธอ”
จิ้งจอกเน่ากระโดดโลดเต้นอยู่หน้าเธอ [พูดแล้วห้ามคืนคำนะ]
ซูโย่วอี๋เลิกคิ้วขึ้น “แน่นอน”
เสียงของเหมยเหมยดังขึ้นบอกให้เธอลงจากรถ ซูโย่วอี๋ไม่รอช้าและกลับเข้าร่างของเธอทันที
วันนี้แปลกที่สวีโหมวมาสาย ทีมงานในกองถ่ายต่างกระจัดกระจายและนั่งอยู่รอบ ๆ พร้อมกับกลุ่มตัวประกอบสาว
ในบางครั้งมีการแจกถุงสีแดงราวกับว่าพวกเขากำลังแจกจ่ายอะไรบางอย่าง
“นั่นอวิ๋นเหมี่ยว” น้ำเสียงของเหมยเหมยยืนยัน
ถัดจากอวิ๋นเหมี่ยวมีชายคนหนึ่งสูงประมาณ 178 เซนติเมตร รูปร่างสมส่วน และมีหน้าตาหล่อเหลา
ทันทีที่ซูโย่วอี๋เห็นชายคนนั้น ใบหน้าของเธอก็ชาวาบ
“คุณซู คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นเหรอ”