ตอนที่ 737 คุณแม่ คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว
เมื่อยี่สิบปีก่อนชื่อซู่เวิ่นโด่งดังไปทั่วเมืองแห่งโลก
ยี่สิบปีต่อมา ความโด่งดังของเธอก็ไม่ได้ลดลง
พวกนักศึกษาจำได้ตั้งแต่แรกเห็น
“คุณนายซู่เวิ่น!”
“นี่มันคุณนายซู่เวิ่นไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณนายซู่เวิ่นมาที่สำนักวิจัยแต่เช้าเลยล่ะ”
เสียงตะโกนเหล่านี้ก็ทำพวกนักศึกษาคนอื่นที่กำลังหลับอยู่ตกใจตื่น
อิ๋งจื่อจินก็อึ้งเหมือนกัน
รีบขนาดนี้เลยเหรอ
ตอนนี้เพิ่งจะตีห้าครึ่ง
พอเธอกลับมาซู่เวิ่นก็มาพอดี
นี่ก็แสดงว่าซู่เวิ่นรออยู่แถวสำนักวิจัยตลอด
อิ๋งจื่อจินพูด “คุณป้า เรื่องเมื่อวาน…”
ยังไม่ทันพูดจบ วินาทีถัดมาเธอก็ถูกซู่เวิ่นสวมกอด
เสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความรักของแม่ในช่วงหลายปีกับความรู้สึกโชคดีที่สูญเสียแล้วได้กลับคืน “ถานถาน ลูกแม่…”
คำพูดนี้ราวกับคลื่นที่ถาโถมเข้าหาเยื่อแก้วหูของอิ๋งจื่อจินระลอกแล้วระลอกเล่า
เจือไปด้วยความหวาดกลัว ทำให้หัวใจของเธอเต้นเร็วมากในเวลานี้ คุ้มคลั่งแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
แม้อิ๋งจื่อจินที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดก็ยังต้องตะลึง
ซู่เวิ่นเรียกเธอว่าอะไรนะ
ถานถานเหรอ
นั่นไม่ใช่…
ชั่วขณะนั้นเรื่องราวทั้งหมดร้อยเรียงต่อกันจนในสุดท้าย
“ตุบ” โทรศัพท์มือถือของอิ๋งจื่อจินหลุดจากมือ
ร่างกายของเธอก็หดเกร็ง มือสั่นเล็กน้อย
ร่างกายของเธอเพิ่งเคยตอบสนองแบบนี้เป็นครั้งแรก
ถึงแม้พวกนักศึกษาที่อยู่แถวนั้นจะไม่ได้ยินว่าซู่เวิ่นพูดอะไร แต่ต่างก็ตะลึงการกระทำของซู่เวิ่น
รุ่นน้องอิ๋งเป็นอะไรกับคุณนายซู่เวิ่น
ซู่เวิ่นกอดเธออยู่สิบกว่าวินาทีถึงปล่อย
ใบหน้าของสตรีที่รูปโฉมงดงามเต็มไปด้วยน้ำตา แต่กลับยังคงงดงามชวนสะกดใจ
ซู่เวิ่นจับมืออิ๋งจื่อจิน พูดเสียงเบา หยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “ถานถาน ไปที่หอพักของลูกก่อนดีไหม”
อิ๋งจื่อจินยังไม่ได้สติกลับมา เธอตอบไปอัตโนมัติ “ค่ะ”
เธอหันไปลูบไหล่ตัวเอง ตรงนั้นเปียกชื้นไปหมด
มันคือน้ำตาอุ่นๆ หยดแล้วหยดเล่าของผู้หญิง
อิ๋งจื่อจินรู้สึกอุ่นๆ ที่ปลายนิ้ว ถูกซู่เวิ่นพาเข้าไปในหอพักแล้ว
หอพักตึกนี้เป็นแบบอยู่อาศัยหกคน แต่ตอนนี้อิ๋งจื่อจินอยู่แค่คนเดียว
คณบดีนอร์แมนยังได้ดัดแปลงให้เธอโดยเฉพาะ
ทั้งสองคนขึ้นไปแล้ว เยี่ยซือชิงกับพวกนักศึกษาคนอื่นยังไม่ได้สติกลับมา ยืนกันอยู่ที่เดิม
หลายนาทีต่อมาก็มีนักศึกษาคนอื่นวิ่งหอบมาจากหอพักตึกอื่น
แต่กลับไม่เห็นรถหรู
“คุณนายซู่เวิ่นล่ะ ทำไมไม่เห็นแล้ว”
“เอ๊า! ฉันตัดสินใจละ ต่อไปจะตื่นตีห้า ไม่แน่เผื่อคุณนายซู่เวิ่นเห็นฉันขยันจะได้รับฉันเข้าตระกูลเรนเกลเป็นกรณีพิเศษ!”
“ช่างเถอะๆ เจอคุณหนูบิลยังจะง่ายกว่าเจอคุณนายซู่เวิ่นเลยมั้ง เข้าหาคุณหนูบิลไว้ดีกว่า วันหน้าจะได้ใกล้ชิดกับตระกูลเรนเกล”
ตระกูลเรนเกลเป็นตระกูลชั้นแนวหน้าแบบนี้
เมื่อเทียบกันแล้ว เข้าตระกูลอวี้ยากยิ่งกว่า อย่างไรเสียที่นั่นก็วัดกันที่ความสามารถในการต่อสู้ล้วนๆ
เยี่ยซือชิงมุมปากกระตุก
ยังคิดจะเข้าตระกูลเรนเกลงั้นเหรอ
คนพวกนี้เพ้อฝันไปกันใหญ่แล้ว
…
ภายในหอพัก
“เยาเยา มันออกจะกะทันหันไปหน่อย” ซู่เวิ่นเพิ่งจะสงบสติอารมณ์ระงับความตื่นเต้นดีใจได้ เธอยื่นผลตรวจดีเอ็นเอให้ดู สายตาอ่อนโยน “แม่ก็นึกไม่ถึงว่ายังจะได้เจอลูกอีก”
มือของอิ๋งจื่อจินชะงัก จากนั้นก็รับมา
เธออ่านผลตรวจดีเอ็นเอ สายตาเลื่อนลงไปที่ผลสรุปด้านล่าง
เขียนไว้ว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
มือของอิ๋งจื่อจินสั่นอีกครั้ง
ซู่เวิ่นต่างหากที่เป็นแม่แท้ๆ ของเธอ
ไม่ใช่ตระกูลอิ๋ง ไม่ใช่จงมั่นหวา
แต่ไหนแต่ไรมาอิ๋งจื่อจินไม่ชอบหวนนึกถึงอดีต แต่บางคำพูดมันฝังใจ ลืมยังไงก็ลืมไม่ลง
ช่วงสิบกว่าปีนั้นที่ความทรงจำและพลังของเธอยังไม่กลับมา นั่นก็ยังคงเป็นเธอ
ความเจ็บปวดทั้งหมด เสียงก่นด่าดูถูกสารพัด เธอต้องแบกรับมันไว้คนเดียว
‘แค่เปียโนยังเล่นไม่ได้ ยังจะเป็นคุณหนูไฮโซอีกเหรอ’
‘ให้เลือดอาตัวเองถือเป็นเกียรติของเธอ ไม่อย่างนั้นตระกูลอิ๋งจะเลี้ยงเธอไว้ทำไม’
‘ทำตัวว่านอนสอนง่ายหน่อย มิฉะนั้นฉันกับแม่เธอจะส่งเธอกลับไปอยู่บ้านนอกเหมือนเดิม’
ประโยคแล้วประโยคเล่า บาดลึกจิตใจ ติดเป็นเงาตามตัว
ทุกครั้งที่นึกถึงก็ยังคงเจ็บปวด
เธอคิดมาตลอดว่าทำไมพ่อแม่ของเธอถึงเป็นคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์กับชื่อเสียงหน้าตา
ที่แท้ก็ไม่ใช่
อิ๋งจื่อจินเงยหน้าขึ้นอย่างอึ้งๆ สบตากับดวงตาที่เหมือนเธอ
ดวงตาคู่นี้ไม่แฝงผลประโยชน์เหมือนอิ๋งเจิ้นถิง ไม่มีความห่างเหินแบบจงมั่นหวา มีเพียงความอ่อนโยนดุจสายน้ำ
ซู่เวิ่นยกมือลูบใบหน้าของอิ๋งจื่อจิน “เยาเยาของแม่โตเป็นสาวแล้ว แต่แม่กลับไม่เคยได้อยู่เคียงข้างลูกเลย”
ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่เธออ่านข้อมูลของตระกูลอิ๋งจบจะสะเทือนใจหนักขนาดนี้
ถ้าตระกูลเรนเกลไม่เกิดเรื่องครั้งนั้น อิ๋งจื่อจินก็ไม่มีทางต้องไปถึงยุโรป ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีทางต้องไปอยู่บ้านตระกูลอิ๋ง
ลูกสาวของเธอเดิมทีควรจะเติบโตอย่างแข็งแรงและปลอดภัย
ทำไมถึงต้องทุกข์ทรมานขนาดนั้น
“แม่ขอโทษ…” ซู่เวิ่นกอดอิ๋งจื่อจินแน่น น้ำตาร่วงเผาะอีกครั้ง “แม่ขอโทษที่ทำให้ลูกต้องไปตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก แถมยังถูกคนตั้งมากขนาดนั้นรังแก ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก”
ร่างกายของอิ๋งจื่อจินสั่นอีกครั้ง เธอเรียกเสียงเบา “…คุณแม่?”
คำเรียกนี้ดูแปลกสำหรับเธอมาตลอด เธอไม่เคยพูดมันออกมา
แต่ตอนนี้เธอสามารถสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนนี้
ซู่เวิ่นดวงตาเบิกโพลง รู้สึกเหลือเชื่อ “เยาเยา ระ…เรียกแม่อีกครั้งได้ไหม”
“คุณแม่” อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง เอื้อมกอดซู่เวิ่นแล้วเรียกอีกครั้ง “คุณแม่ หนูกลับมาแล้วค่ะ”
มิน่าตอนที่เธอช่วยรักษาให้ซู่เวิ่นถึงมือสั่นตลอด
วิธีรักษาไม่ได้ยาก แต่กลับเป็นครั้งที่ยากที่สุดสำหรับเธอ กลัวจะปักเข็มผิด
นี่คือสายใยที่เชื่อมโยงของสายเลือดเดียวกัน
ซู่เวิ่นกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป พูดเสียงสะอื้น “ใช่ ใช่จ้ะ ลูกกลับมาแล้ว แถมยังช่วยชีวิตแม่ไว้ด้วย ลูกเก่งจริงๆ จ้ะ”
นี่คือลูกสาวของเธอ
ไม่ใช่สุสานที่เย็นเฉียบ ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตัวเป็นๆ
ดวงตาเหมือนเธอ ใบหน้าเหมือนลูเอล
เธอควรสังเกตเห็นนานแล้ว
ซู่เวิ่นจับข้อมืออิ๋งจื่อจิน ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสาร “ยังเจ็บอยู่ไหม”
อิ๋งจื่อจินอึ้ง “คุณแม่รู้แล้วเหรอคะ”
หยุดเล็กน้อย เธอยิ้มพลางพูด “หายเจ็บนานแล้วค่ะ”
“จะไม่เจ็บได้ยังไง” ซู่เวิ่นขอบตาแดงอีกครั้ง “ลูกถูกสูบเลือดไปตั้งหลายครั้ง มีเหรอจะไม่เจ็บ”
เธอไม่รู้ว่าอิ๋งจื่อจินไปอยู่ตระกูลอิ๋งได้ยังไง
แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะตัวล็อกพันธุกรรม ตระกูลอิ๋งเลยคิดว่าอิ๋งจื่อจินเป็นลูกสาวแท้ๆ มาตลอด
แต่พวกเขาก็ยังทำเรื่องแบบนี้ได้
จินตนาการไม่ออกเลยว่าในช่วงเวลาหนึ่งปีลูกสาวของเธอต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน
ซู่เวิ่นลูบศีรษะอิ๋งจื่อจิน “ลูกกลับมาแล้ว แม่ไม่มีทางปล่อยให้ลูกต้องลำบากอีก”
อิ๋งจื่อจินหัวเราะโดยไร้เสียง “หนูเชื่อค่ะ”
ช่วงเวลาแห่งความอบอุ่น บรรยากาศเงียบสงบ
ซู่เวิ่นยังคงกอดเธอ ครั้งนี้น้ำตาที่ไหลเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ “เยาเยาของแม่…”
“แม่คะ ตอนนั้นที่ตระกูลอิ๋งรับหนูกลับไปก็ตรวจดีเอ็นเอเหมือนกัน” อิ๋งจื่อจินเงยหน้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ต้องสอดคล้องกันแน่นอนพวกเขาถึงได้รับหนูกลับไป”
ผลตรวจดีเอ็นเอของเธอกับซู่เวิ่นออกมาสอดคล้องกัน งั้นทางตระกูลอิ๋งมันเรื่องอะไรกัน
“เป็นเพราะตัวล็อกพันธุกรรม” ซู่เวิ่นตอบ เล่าเรื่องที่ชิงหลางเขียนมาในจดหมาย “คุณพ่อของลูกเอาตัวล็อกพันธุกรรมมาให้ลูก”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปสักพักถึงพูดขึ้น “ที่แท้ก็แบบนี้”
หลังจากที่เธอตายจากโลกบำเพ็ญเพียรก็ได้มาเกิดบนโลกมนุษย์อีกครั้ง
ฤดูหนาวปีสองพันยี่สิบเธอถึงจะฟื้นความทรงจำและพลังส่วนหนึ่ง ที่แท้ก็ไม่ใช่เพราะจิตรู้สำนึกของเธอหลับใหล แต่เป็นเพราะตัวล็อกพันธุกรรม
อิ๋งจื่อจินมองแขนตัวเอง
รูที่ถูกเข็มเจาะจำนวนมากหายไปนานแล้ว
วันเวลาผ่านไปแสนยาวนาน
เธอมีชีวิตอยู่มานาน ไม่เคยมีญาติหรือคนใกล้ชิดทางสายเลือด
ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้ซู่เวิ่นก็คือแม่ของเธอ
พูดถึงตระกูลอิ๋ง ซู่เวิ่นก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “เยาเยา เปลี่ยนนามสกุลไหม”
อิ๋งจื่อจินส่ายหน้าเบาๆ “แซ่อิ๋งของหนูไม่ได้มาจากตระกูลอิ๋ง ชื่อก็คุณพ่อกับเพื่อนตั้งให้ค่ะ”
“ถานซิน เรนเกล ก็เป็นชื่อของหนูเหมือนกัน คุณแม่อยากเรียกอะไรก็ได้ค่ะ”
ซู่เวิ่นรู้ว่าคุณพ่อที่อิ๋งจื่อจินพูดถึงคือพ่อบุญธรรม เวินเฟิงเหมียน
“งั้นก็ไม่เปลี่ยน” ซู่เวิ่นไม่ได้ถามมาก ยิ้มพลางพูด “เอาเป็นว่านามสกุลอะไรก็ไม่สำคัญ แค่ลูกอยู่ก็พอแล้ว”
ไม่ขอใดอื่น ขอแค่ยังอยู่ก็พอแล้ว
อิ๋งจื่อจินก้มหน้า แววตาวูบไหว
เธอไม่เคยบอกฟู่อวิ๋นเซินมาตลอด
เขาก็คือแสงสว่างของเธอเหมือนกัน
เขายินดีฉุดเธอขึ้นมาจากโคลนตมที่เธอตกลึกอยู่ในตระกูลอิ๋ง
“เยาเยา ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องร้องนะลูก” ซู่เวิ่นลนลาน “น้อยอกน้อยใจอะไรก็บอกแม่ได้นะ”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เธอยิ้ม “ไม่น้อยใจค่ะ แค่ดีใจมาก”
เนื่องจาก ‘หัวใจ’ ที่ถูกเธอทิ้งไปได้หอบเอาความรู้สึก ความทรงจำ และพลังที่พื้นฐานที่สุดของเธอไปด้วย แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่มีทางแสดงออกทางอารมณ์
ในความทรงจำมีแค่สองครั้งที่เธอร้องไห้
ครั้งล่าสุดที่เธอร้องไห้เป็นตอนที่ต้องแยกจากกับเพื่อนสนิทในโลกบำเพ็ญเพียร
เพียงแต่ตอนนั้นเธอตกลงไปในหุบเหวลึกแล้ว เพื่อนสนิทของเธอไม่เห็น
“ดีใจก็ดีแล้ว ดีใจก็ดีแล้วจ้ะ” ซู่เวิ่นยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ “เมื่อวานลูกไม่กลับมาทั้งคืน ต้องเหนื่อยมากแน่ นอนพักสักหน่อยนะ ขอแม่เฝ้าหนูก็พอแล้ว”
โทรศัพท์มือถือดังขึ้นในเวลานี้
[เซ่าอิ่ง : พี่ใหญ่ ได้เจอป้าสะใภ้หรือยัง เมื่อวานผมห้ามเธอไว้ไม่ให้ออกไป ผมออกไปพร้อมคนคุ้มกันก็หาพี่ไม่เจอ พี่ปลอดภัยดีใช่ไหม]
[ไม่เป็นไร วางใจได้]
“เซ่าอิ่งพูดถูก” อิ๋งจื่อจินเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้อง “แม่คะ เวลาแบบนั้นแม่ห้ามออกมา”
ไม่ทราบชะตากรรมของลูเอล ซู่เวิ่นห้ามเป็นอะไรไปอีกคน
แต่ซู่เวิ่นกลับรู้สึกแย่กว่าเดิม
คนเราต้องประสบความยากลำบากและทุกข์ทรมานขนาดไหนถึงเติบโตได้เร็วขนาดนี้
ทั้งที่เดิมทีอิ๋งจื่อจินไม่ควรต้องประสบอะไรแบบนั้น
โทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง
[ฟู่อวิ๋นเซิน : เยาเยา พี่ชายยังจัดการธุระไม่เสร็จ เจอกันตอนเย็นนะ]
[โอเค]
พอตอบข้อความเสร็จอิ๋งจื่อจินก็เอนตัวนอนบนเตียง “หนูขอนอนสักพักนะคะ”
“พักผ่อนเถอะจ้ะ” ซู่เวิ่นนั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มพลางพูด “ต่อไปไม่ต้องลำบากแล้วนะ”
อิ๋งจื่อจินค่อยๆ หลับตาลง
ครั้งนี้เธอหลับสบายมาก
ซู่เวิ่นก็นึกถึงฟู่อวิ๋นเซิน อดปวดหัวไม่ได้
เธอเพิ่งจะได้ลูกสาวกลับมา ยังไม่ทันได้กอดให้หนำใจ อีกเดี๋ยวก็ต้องแต่งออกไปแล้ว
ซู่เวิ่นถอนหายใจ
ช่างเถอะ เตรียมเก็บของรอเป็นพยานวันแต่งงานแล้วกัน
…
ทางด้านตระกูลเรนเกล
เวลาเช้าตรู่ พ่อบ้านกำลังสั่งงานคนรับใช้ที่ห้องครัวและสวนหย่อม สีหน้ายิ้มแย้มแบบที่ปิดบังไม่มิด
ไม่มีใครคาดคิดว่า คุณหนูใหญ่ที่เดิมทีถูกยืนยันว่าตายตั้งแต่เกิดแล้ว กลับมาอยู่ที่เมืองแห่งโลกอีกครั้งหลังจากผ่านไปยี่สิบปี แถมยังเป็นหมอเทวดาที่ช่วยชีวิตคุณนายใหญ่ไว้
สายใยระหว่างแม่ลูกเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ
พ่อบ้านไม่เคยรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเท่านี้มาก่อน รู้สึกเหมือนตัวเองหนุ่มขึ้นหลายปี
เขาเดินเอามือไพล่หลังขึ้นไปชั้นบน
นี่คือห้องนอนที่ใหญ่ที่สุด เดิมทีก็เป็นของอิ๋งจื่อจินอยู่แล้ว ช่วงหลายปีมานี้ไม่เคยถูกเปิดใช้
ตอนนี้กำลังตกแต่งใหม่อีกรอบ
คนรับใช้คนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียง แขวนม่านสีชมพูที่บนหน้าต่าง
พ่อบ้านเดินเข้าไปยืนตรงระเบียงแล้วตบหัวคนรับใช้หนึ่งที “เจ้าบ้าเอ๊ย คุณหนูใหญ่ไม่ชอบสีชมพู นายจะประดับห้องด้วยสีชมพูทำไม”
คนรับใช้ “…”
“รีบเปลี่ยนสี” พ่อบ้านพูด “เปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือน้ำเงิน เข้าใจไหม”
เขาพูดจบก็ไปที่สวนหย่อมอีกรอบ
“ตรงนี้ๆ ไม่เห็นเหรอว่าหญ้ามันขึ้นสูง เกิดพันคุณหนูใหญ่สะดุดล้มจะทำไง”
“ตรงนี้อีก เด็ดพวกแอปเปิ้ลออกให้หมด เกิดตกใส่หัวคุณหนูใหญ่จะทำไง”
พวกคนสวน “…”
เห็นพวกเขาโง่กันหมดหรือไง
“เอี๊ยดดด”
มีเสียงรถเบรกดังขึ้นที่หน้าบ้าน
ประตูรถเปิดออก บิลลงมา ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทุกครั้งที่เธอกลับมาจะมีคนออกมารับเธอ
ทำไมครั้งนี้ไม่มีคนรับใช้เลยสักคน
บิลสแกนม่านตาเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไป
ถึงได้พบว่าทุกคนกำลังยุ่งอยู่ ต่างไม่มีเวลาสนใจเธอ
พ่อบ้านก็ไม่เห็นเธอ ยังคงสั่งงานอยู่ สีหน้าท่าทางดูมีความสุขมาก
“ทำอะไรกัน” บิลถอดแว่นกันแดด ขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น “ที่นี่ครึกครื้นตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ขยันขันแข็งกันขนาดนี้ ต่อให้เป็นการเชิญหัวหน้าตระกูลอวี้มางานเลี้ยง นี่ก็ออกจะเล่นใหญ่กระตือรือร้นเกินไป
หรือว่าจะมีคนจากสำนักผู้วิเศษมา
พ่อบ้านไม่หันไป ขานรับอย่างอารมณ์ดี “อ๋อ คือ คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วครับ”