ตอนที่ 446 ปลาเค็มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เดินลากขาที่หนักอึ้ง หม่าหรงเจินเดินออกมาจากหน้าประตูใหญ่ของโรงถ่ายไลออนร็อก (ยอดเขาสิงโต) อย่างช้าๆ เตรียมขึ้นรถบัสเล็กกลับบ้านที่ทินชุ่ยเหว่ยของตัวเอง
โรงถ่ายไลออนร็อกเป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของฮ่องกง มีพื้นที่เกิน 3,333 ตารางเมตร ถึงแม้ขนาดจะไม่อาจเทียบกับโรงถ่ายทำขนาดใหญ่ทั้งสามแห่งของประเทศจีนได้ก็ตาม แต่สำหรับฮ่องกงที่มีพื้นที่เล็กและแคบแห่งนี้ ถือว่าเป็นพื้นที่ก่อสร้างขนาดใหญ่แล้ว
โรงถ่ายภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งนี้สร้างขึ้นในยุคที่ภาพยนตร์ฮ่องกงกำลังรุ่งเรื่อง ผ่านการก่อสร้างหลายครั้งมีขนาดใหญ่จนกระทั่งทุกวันนี้ ครอบคลุมจุดชมวิวทั้งแบบโบราณและปัจจุบันหลายแห่ง ทุกๆ วันนอกจากรับทีมงานถ่ายทำภาพยนต์โทรทัศน์แล้ว ก็ยังเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมอีกด้วย
ผลงานภาพยนตร์โทรทัศน์ของฮ่องกงหลายชิ้น ล้วนถ่ายทำเสร็จที่โรงถ่ายหนังที่อยู่ใต้ยอดเขาสิงโตแห่งนี้ และยังสร้างฉากที่สอดคล้องกับเอกลักษณ์พิเศษของฮ่องกงได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันยึดครองตำแหน่งสำคัญในอุตสาหกรรมภาพยนตร์โทรทัศน์ท้องถิ่นเป็นที่เรียบร้อย
หม่าหรงเจินจำไม่ได้ว่าตัวเองเข้าออกโรงถ่ายไลออนร็อกกี่ครั้งแล้ว
เขาเป็นนักแสดงจากคลาสเรียนการแสดงรุ่นที่เจ็ดของสถานีโทรทัศน์เอทีวีในยุค 80 หลังจากเรียนจบและเซ็นสัญญากับสถานีโทรทัศน์เอทีวีแล้วก็วิ่งเข้าสู่เส้นทางเดิมๆ และน่าเบื่อของสายงานอาชีพ พอหมดสัญญาก็เข้าสู่วงการภาพยนตร์
ตอนนั้นภาพยนตร์แนวภูตผีปีศาจเป็นที่นิยมมาก ด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่เลวของหม่าหรงเจิน จึงเข้าตาผู้กำกับสายตาดีได้รับบทนักพรตแห่งภูเขาเหมาซานในภาพยนตร์ผีดิบเรื่องหนึ่ง เป็นผลทำให้ดังอย่างรวดเร็ว มีหน้ามีตาอยู่ช่วงหนึ่ง
ทว่าภาพยนตร์แนวผีสางก็ถดถอยอย่างรวดเร็ว จนถึงต้นศตวรรษใหม่ก็ถูกผู้ชมทอดทิ้งเป็นส่วนมาก หม่าหรงเจินในฐานะที่เป็นนักแสดงที่ถนัดแสดงแต่บทบาทนี้จึงเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หน้าที่การงานลดลงอย่างฮวบฮาบ
ลงทุนทำธุรกิจก็ล้มเหลว ภรรยาและลูกก็จากเขาไป เดิมทีหม่าหรงเจินก็อาศัยอยู่ในเกาลูน แต่จำเป็นต้องขายบ้านทิ้งเพื่อชดใช้หนี้สิน แล้วย้ายไปอยู่ที่ทินชุ่ยเหว่ยเป็นสิบปี
เขตคนรวยของฮ่องกงหลักๆ แล้วรวมอยู่ที่เขตรีพัลส์เบย์ ไซกุง เชคอู ปูนซ้าน เป็นต้น เกาลูนถือว่าเป็นสถานที่พักอาศัยของชนชั้นกลาง ส่วนเขตคนจนนั้น ก็คือทินชุ่ยเหว่ยและตึกแถวอาคารสงเคราะห์
ความแตกต่างที่ใหญ่หลวงของชีวิตกับแรงกดดันที่หนักอึ้งของความเป็นจริง กดทับจนกระดูกสันหลังของหม่าหรงเจินโค้งงอ เขาที่เพิ่งอายุห้าสิบปีเต็มกลับดูเหมือนคนอายุหกสิบปี เพราะผมหงอกสีขาวกับใบหน้าที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
‘พี่หม่า’ ‘ลุงหม่า’ ที่เคยมีหน้ามีตาในตอนนั้น วันนี้เป็นแค่ ‘เฒ่าหม่า’ เท่านั้น
มีนักแสดงตัวประกอบหลายคนที่วิ่งไปมาระหว่างโรงถ่ายไลออนร็อกกับทินชุ่ยเหว่ย ดังนั้นจึงมีรถบัสเล็กวิ่งสัญจรไปมาบริเวณใกล้เคียงนี้ ยามพลบค่ำใกล้เข้ามา รถบัสเล็กคันหนึ่งมีคนนั่งเต็มหมดแล้ว
หม่าหรงเจินเห็นดังนั้นจึงรีบก้าวขาขึ้นรถ หากพลาดรถรอบนี้ รถเที่ยวต่อไปจะดึกมาก
ในรถไม่มีที่นั่งแล้ว คนนั่งเต็มตลอดทาง และก็ไม่มีใครให้ที่นั่งสำหรับ ‘คนชรา’ ที่เหงื่อไหลท่วมตัวอย่างหม่าหรงเจิน ทุกคนก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ด้วยความเฉยเมย หรือไม่ก็นั่งหลับตา
หม่าหรงเจินเห็นจนชินตา เขาไม่ใช่ ‘นักพรตหม่า’ ที่มีชื่อเสียงเหมือนตอนนั้น ที่นี่มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่ดูถูกเขา
ในฮ่องกง นักแสดงอาวุโสอย่างหม่าหรงเจินจริงๆ แล้วมีเยอะมาก
“ลุงหม่า…”
ขณะที่หม่าหรงเจินเตรียมพร้อมจะยืนไปตลอดทาง เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่แถวหน้าลุกขึ้นยืนโบกมือทักทาย “นั่งที่ผมก็ได้ครับ ลุงหม่ามานั่งสิ”
ทุกคนมองเขาด้วยสายตาที่เอาไว้มองคนโง่เขลา
หม่าหรงเจินก็เห็นเขา จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักแสดงตัวประกอบที่ตัวเองรู้จัก จึงยิ้มทันทีและเอ่ยว่า “เสี่ยวอู๋บังเอิญจัง นายนั่งเถอะ ลุงหม่ายังไม่แก่ขนาดนั้น ยืนได้สบาย”
เสี่ยวอู๋คนนี้เขารู้จักเมื่อครึ่งปีก่อน ได้ชื่อว่าดูภาพยนตร์ของเขามาไม่น้อย และเป็นแฟนคลับของเขา
เสี่ยวอู๋เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่มาจากชนบท เป็นเด็กหนุ่มที่มีความกระตือรือร้นและเรียบง่าย คนอื่นเรียกหม่าหรงเจินว่า ‘เฒ่าหม่า’ มีเขาเพียงคนเดียวที่เรียกอย่างให้เกียรติว่า ‘ลุงหม่า’ และยังช่วยเหลือหม่าหรงเจินไม่น้อย
เมื่อเห็นอีกฝ่าย ความอบอุ่นก็พรั่งพรูออกมาจากในหัวใจของหม่าหรงเจิน
กริ๊ง~
และในยามนี้ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าของหม่าหรงเจินพลันดังขึ้น
เขาโบกมือให้เสี่ยวอู๋ แล้วรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา
น่าจะเป็นภรรยาเก่าโทรมาทวงเงินค่าเลี้ยงดูอีกละสิ
หม่าหรงเจินครุ่นคิด แล้วเอาโทรศัพท์รุ่นเก่าแนบหู พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ฮัลโหล”
“ใช่พี่หม่าหรงเจินหรือเปล่าครับ”
เสียงที่ดังมาจากโทรศัพท์แปลกมาก
เมื่อครู่เสี่ยวอู๋เรียกเขาว่า ‘ลุงหม่า’ ตอนนี้มีคนเรียกเขาว่า ‘พี่หม่า’ หม่าหรงเจินรู้สึกพูดไม่ออก
เขารีบตอบทันที “ใช่ครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ?”
อีกฝ่ายยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ผมคือเฉินเหวินเฉียง คุณอาจจะจำผมไม่ได้แล้ว เมื่อสามปีก่อนพวกเราเคยนั่งกินข้าวด้วยกันที่เกาลูนตง ตอนนั้นมีพี่เปียวกับพี่หู่จื่ออยู่ด้วย”
“อ้อๆ สวัสดีๆ”
หม่าหรงเจินพอจะจำการกินข้าวครั้งนั้นได้ แต่จำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ทว่าฟังแล้วก็คุ้นหูอยู่บ้าง
ยังดีที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้อยากรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ มากนัก ถามตรงประเด็นทันที “พี่หม่า ช่วงนี้พี่ว่างไหมครับ”
ว่างไหม?
แน่นอนว่าว่างอยู่แล้ว! หม่าหรงเจินช่วงนี้ไม่ใช่แค่ว่างเฉยๆ แต่ว่างมากจนจนรอไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้เขาเข้าไปทำงานที่โรงถ่ายไลออนร็อก ซึ่งไม่ต่างจากนักแสดงตัวประกอบทั่วไปมากนัก อย่างมากก็เล่นแค่บทตัวประกอบวิ่งผ่านกล้อง
ทำงานหนึ่งวันใช้ชีวิตไปอีกหนึ่งวัน เงินที่หามาได้ก็แค่ทำให้อิ่มท้องเท่านั้น
“ว่างสิ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรครับ”
“เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ…”
เฉินเหวินเฉียงกล่าวว่า “พวกเรามีหนังเรื่องใหม่กำลังเตรียมถ่ายทำ ในนี้มีบทสำคัญมากที่เหมาะสมกับคุณ ดังนั้นผมจึงแนะนำคุณให้เถ้าแก่ คุณลองมาเทสต์หน้ากล้องได้ไหมครับ”
บทใหม่ ภาพยนตร์เรื่องใหม่! บทบาทสำคัญ!
หม่าหรงเจินตัวสั่นขึ้นมาทันที รีบเอ่ยอย่างอดใจไม่ไหว “เทสต์หน้ากล้อง ไม่มีปัญหา ผมจะไปตอนนี้เลยครับ!”
ขณะที่เขากำลังพูดสายกับเฉินเหวินเฉียง หลายคนที่นั่งอยู่ในรถบัสเล็กคันนี้ต่างเงี่ยหูฟัง พอได้ยินหม่าหรงเจินพูดว่า ‘เทสต์หน้ากล้อง’ สองสามคำนี้ ทุกคนต่างรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ
มีคนอยากให้หม่าหรงเจินไปเทสต์หน้ากล้องจริงเรอะ
การเทสต์หน้ากล้องไม่ใช่พูดกันมั่วๆ และไม่ใช่ว่าใครที่ไหนก็มีสิทธิ์ที่จะมาเทสต์หน้ากล้องได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นบทบาทที่มีความสำคัญพอสำควรในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ ถึงต้องการให้นักแสดงไปเทสต์หน้ากล้อง
หม่าหรงเจินเป็นปลาเค็มนับหมื่นปี ที่กำลังจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหรือ
คนที่อยู่ในรถบัสเล็กอายุเท่าไรแล้ว ต่างรู้เรื่องในอดีตของเขา ดังนั้นถึงได้รู้สึกประหลาดใจ
ตอนนี้ยังจะมีบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ที่ไหนอยากให้ตาเฒ่าคนนี้ไปเทสต์หน้ากล้อง
เฉินเหวินเฉียงก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน เขาคาดไม่ถึงว่าหม่าหรงเจินจะรีบร้อนจนอดรนทนไม่ไหวขนาดนี้
จึงได้แต่หันหน้าไปถามลู่เฉินสองประโยค จากนั้นจึงพูดกับหม่าหรงเจินว่า “งั้นเอาอย่างนี้ครับ คุณมาที่ร้านอาหารซุ่นกี่ที่เกาลูนตง พวกเราจะรอคุณอยู่ที่นั่น ถึงแล้วก็โทรหาผมนะครับ”
“ได้ ได้ครับ!”
หม่าหรงเจินยืดตัวขึ้น มีความกระฉับกระเฉงขึ้นมา ราวกับว่าอายุเด็กลงไปสิบปี เสียงก็ดังขึ้นไม่น้อย “ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ!”
พอจบการสนทนา หม่าหรงเจินกวาดตามองแล้วจึงเห็นสายตาของคนที่อยู่ในรถมองตัวเองด้วยความซับซ้อนสับสน
ทั้งดูถูก สงสัย อยากรู้อยากเห็น และอิจฉา…
ทันใดนั้นเขารู้สึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ
จากนั้นหม่าหรงเจินก็เห็นเสี่ยวอู๋ที่ให้ที่นั่งกับเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของเสี่ยวอู๋เห็นได้ชัดว่าดีใจแทนเขามาก
เลือดอันรุ่มร้อนพุ่งพรวดขึ้นมา หม่าหรงเจินยื่นมือไปจับแขนของเสี่ยวอู๋ แล้วเอ่ยว่า “ไปกับฉัน ฉันจะพานายไปเจอเถ้าแก่ที่ถ่ายทำหนัง ไม่แน่อาจจะได้เล่นสักบท!”
เสี่ยวอู๋ถูกเขาลากลงจากรถด้วยความงุนงง
เสียงก่นด่าเบาๆ ดังขึ้นในรถ “ถุย ยังไม่รู้ว่าจะผ่านหรือเปล่า จะดีใจอะไรนักหนา!”
หม่าหรงเจินไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ
เวลานี้ในหัวของเขาคิดอยู่อย่างเดียว ‘ฉันจะได้เล่นหนังแล้ว!’
…………………………………………………………………………