ตอนที่ 748 ลงมือโดยตรง หัวหน้าตระกูล!
“คุณโมเชี่ยนมีความตระหนักรู้สูงมากครับ” พอได้ยินแบบนี้คนดูแลก็พูดขึ้น “ท่านจักรพรรดินีตั้งใจปกป้องดูแลเมืองแห่งโลกอย่างเต็มที่ หาเวลาให้คุณเข้าพบได้ คุณห้ามพูดไร้สาระเด็ดขาดครับ”
โมเชี่ยนพยักหน้าอีกครั้ง
เลือดสีทองที่ปรากฏในเมืองแห่งโลกเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
โมเชี่ยนตามคนดูแลขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุด
เนื่องจากมาเป็นครั้งแรก เขาก็เลยทำตัวไม่ค่อยถูก
ห้องโถงที่อยู่ชั้นบนสุดนี้โอ่อ่ามาก แม้แต่ตระกูลเรนเกลก็ยังเทียบไม่ได้
“ท่านจักรพรรดินีอยู่ด้านหลังประตูบานนี้ครับ” คนดูแลพูดเสียงเบา “พอเข้าไปแล้วต้องทำความเคารพ ถ้าท่านจักรพรรดินีไม่สั่งให้เงยหน้าก็ห้ามเงยเด็ดขาดนะครับ!”
โมเชี่ยนมองประตูทรงโบราณที่แสนงดงามตรงหน้า
บนประตูมีขีดตั้งสามขีดและรูปผู้หญิงสวมมงกุฎ
โมเชี่ยนรู้ว่ารูปนี้ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของซาโรห์ วิคตอเรีย เป็นเพียงสัญลักษณ์แทนตัว
เฉกเช่นเดียวกัน บนไพ่ทาโรต์ใบที่สี่ก็มีรูปและเลขสัญลักษณ์แบบนี้
โมเชี่ยนมองประตูบานแรกด้วยความระมัดระวัง บนนั้นเป็นเลขศูนย์
หมายถึงผู้วิเศษผู้โง่เขลา
จุดแรกเริ่ม
เขาจดจำคำที่คนดูแลกำชับไว้ กำลังจะเคาะประตูเดินเข้าไป
แต่ทันใดนั้นก็มีลมเย็นพัดมา โมเชี่ยนตัวสั่น
เขาหันไปมองทันที เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเกินไป
ชายหนุ่มมีผมสีดอกเลา สะดุดตาเป็นพิเศษ
คนดูแลตะลึง รีบทำความเคารพ “ท่านอัศวินรถม้า”
นอร์ตันกวาดตามอง
โมเชี่ยนตกใจจนรีบคุกเข่าลง “โมเชี่ยน เรนเกล คารวะท่านอัศวินรถม้า”
นอกจากผู้วิเศษทั้งห้าคนอย่างผู้วิเศษจักรพรรดินี สังฆราช นักมายากล ผู้พิพากษา และนักพรต ผู้วิเศษคนอื่นๆ ก็ล้วนแปลกหน้าสำหรับชาวเมืองแห่งโลก
แม้แต่โมเชี่ยนที่เป็นสมาชิกสายตรงของตระกูลเรนเกลก็เคยได้ยินฉายาของผู้วิเศษคนอื่นๆ แต่ในหนังสือ เช่น อัศวินรถม้า วงล้อแห่งโชคชะตา คู่รัก คนห้อยหัว พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว เป็นต้น
เหมือนตามที่บันทึกบอกไว้จริงๆ
ผู้วิเศษมีอายุที่ยืนยาว รูปลักษณ์ถาวร
อีกฝ่ายบุคลิกน่าเกรงขามมาก โมเชี่ยนถูกข่มจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
เขาตัวสั่น กลัวตัวเองจะทำอะไรไม่ถูกใจจนท่านอัศวินรถม้าไม่พอใจ
ในที่สุดนอร์ตันก็พูดขึ้น “คนของตระกูลเรนเกลเหรอ”
“คะครับ” โมเชี่ยนเหงื่อแตก “ผมมีเรื่องสำคัญต้องการมาเรียนให้ท่านจักรพรรดินีทราบครับ”
เขายังไม่ทันพูดจบ ทันใดนั้นตัวก็ลอยขึ้น
สีหน้าของโมเชี่ยนแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก “ท่านอัศวินรถม้า”
มือข้างหนึ่งของนอร์ตันกระชากคอเสื้อเขา ยิ้มพลางพูด “ทำไมรายงานซาโรห์แค่คนเดียว ดูถูกฉันเหรอ”
“ไม่ครับไม่ใช่!” โมเชี่ยนลนลานสุดขีด เขาตัวสั่นหนักกว่าเดิม พูดอย่างยากลำบาก “ทะ ท่านอัศวินรถม้า ผะ ผมแค่ไม่รู้ว่าท่านก็อยู่ด้วย ปกติเรื่องน้อยใหญ่ก็มีแค่ท่านจักรพรรดินีที่…”
“อืม เข้าใจแล้ว” นอร์ตันยังคงยิ้ม “นายก็เลยไม่เห็นฉันในสายตางั้นสิ”
“ไม่ใช่นะครับ! ท่านอัศวินรถม้า!” โมเชี่ยนกลัวสุดขีด “ตอนนี้ผมจะบอกท่าน ตระกูลผม…”
ครั้งนี้เขาก็ยังคงไม่ทันพูดจบ คอตกเสียก่อน
นอร์ตันปล่อยมือ โมเชี่ยนไหลลงพื้น หมดลมหายใจ
เขาหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาเช็ดมืออย่างไม่ทุกข์ร้อน
คนดูแลตัวสั่น คุกเข่าไม่กล้าลุกขึ้น
เสียงดังขนาดนี้ย่อมรู้ถึงหูคนที่อยู่หลังประตู
ซาโรห์เดินออกมา มองโมเชี่ยนที่ร่างกายค่อยๆ เย็นลง อดขมวดคิ้วไม่ได้ “นอร์ตัน ทำไมถึงไม่รอให้เขาพูดจบก่อน”
“ฉันเกลียดคนตระกูลเรนเกล” นอร์ตันกอดอก “มีปัญหาเหรอ”
เขาพูดจบก็ไม่มองสีหน้าซาโรห์ หันตัวเดินออก
นอร์ตันขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาคลุกคลีกับซาโรห์มานานขนาดนี้ก็ยังไม่เคยเห็นสัญลักษณ์หัวกะโหลกสีดำที่อิ๋งจื่อจินว่า
พวกผู้วิเศษตัวจริงที่ควบคุมเรื่องทั้งหมดนี้ยังอยู่ในที่ลับ
เป็นสงครามระยะยาว
หลังจากนอร์ตันไปแล้วนักมายากลถึงออกมา
ซาโรห์กำคฑากายสิทธิ์ในมือ “ช่วงนี้เขาทำอะไรอยู่”
นักมายากลอึ้ง “ผมจะรู้ได้ยังไง”
เขาเดินหลบนอร์ตันยังจะไม่ทัน
“เขากลับมาครั้งนี้ก็เล่นแร่แปรธาตุเป็นแล้ว ไม่ใช่ว่าอยากขอคำชี้แนะจากคุณเหรอ” ซาโรห์พูด “เป็นไง ได้สอนอะไรหรือยัง”
พรสวรรค์ของนักมายากลก็คือเล่นแร่แปรธาตุ ไม่ว่าอย่างไรนักเล่นแร่แปรธาตุคนอื่นก็สู้ไม่ได้
อย่างไรเสียพลังพิเศษของนอร์ตันก็ไม่เกี่ยวกับเล่นแร่แปรธาตุ
“มาถามแล้ว” นักมายากลพูด “แถมยังเอาพวกยาตัวใหม่ของผมไปด้วย บอกว่าจะเอากลับไปศึกษาดู”
ซาโรห์ก็ไม่สนใจอีก เธอหันไปสั่งคนดูแลที่คุกเข่าอยู่ “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว อีกไม่กี่วันแจ้งไปที่ตระกูลเรนเกลได้”
“บอกไปว่าอัศวินรถม้าเกลียดพวกเขา ต้องจัดระเบียบตระกูลเรนเกลทันที”
คนดูแลปาดเหงื่อ ยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล “ครับท่านจักรพรรดินี”
…
เช้าวันต่อมา
ศาลตัดสิน
เทียนเยียนถูกขังหนึ่งคืนเต็มๆ
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถูกส่งมาขึ้นศาลตัดสิน
ห้องขังที่เธออยู่เป็นห้องขังแบบแย่ที่สุด พอเข้ามาแล้วก็ให้ขนมปังที่แม้แต่ทาสก็ยังไม่กินมาหนึ่งก้อน
การถูกปฏิบัติแบบนี้ทำให้เทียนเยียนทนไม่ไหวอีกต่อไป
เธอทุบประตู ตะโกนแหกปากสุดเสียง “ฉันรู้จักคุณหนูบิลนะ! พวกคุณให้ฉันโทรศัพท์หน่อย เธอต้องมาประกันตัวฉันแน่!”
พอเทียนเยียนตะโกนจบ ทันใดนั้นก็มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
ช็อตจนเธอทรุดไปบนพื้น ชักไม่หยุด
ในเวลานี้เองหัวหน้าผู้คุมก็เดินเข้ามา สแกนนิ้วเปิดประตู พูดอย่างใจเย็น “ตระกูลเรนเกลต้องการพบเธอ ออกไปสิ”
บิลต้องมาแล้วแน่!
เทียนเยียนดีใจมาก
เธอทนความเจ็บ ล้มลุกคลุกคลานออกไป
จนกระทั่งไปถึงห้องเยี่ยมที่หัวหน้าผู้คุมบอก
แต่เทียนเยียนไม่เห็นบิล เห็นแต่พ่อบ้านที่ตอนนั้นจับเธอมัดไว้ เธอสีหน้าเปลี่ยน “ทะ…ทำไมพวกคุณต้องจับฉัน ไม่รู้เหรอว่าฉันรู้จักคุณหนูบิล!”
บิลมีสถานะสูงมากในแวดวงไฮโซ อีกทั้งยังเป็นคุณหนูสายตรงของตระกูลเรนเกล
เธอก็ย่อมได้พึ่งใบบุญไปด้วย
“รู้จักกับคุณหนูบิลงั้นเหรอ” พ่อบ้านมองด้วยสายตาดูถูก “นักศึกษาระดับสูงคนนี้เก่งจริงๆ เลยนะ”
เขาจงใจเน้นคำว่า ‘ระดับสูง’ ทั้งยังตบมือ “กล้าแม้กระทั่งกุข่าวลือใส่ร้ายคุณหนูใหญ่ของเรา ไปเอาความกล้ามาจากไหนเหรอ”
พอได้ยินแบบนี้เทียนเยียนก็อึ้งก่อน จากนั้นก็โวยวายต่อ “ฉันไม่ได้กุข่าวใส่ร้ายคุณหนูบิลนะ!”
เธอก็แค่เล่นงานพลเมืองระดับล่างอย่างอิ๋งจื่อจิน
ประตูห้องเยี่ยมถูกเปิดออกอีกครั้งในเวลานี้
เทียนเยียนเงยหน้าก็เห็นซู่เวิ่นกับอิ๋งจื่อจินยืนอยู่ด้วยกัน
พ่อบ้านยืนขึ้นทันที ทำความเคารพอย่างนอบน้อม “คุณนายใหญ่ คุณหนูใหญ่”
คำเรียกที่สองราวกับสายฟ้าที่ผ่ากลางศีรษะของเทียนเยียน ดังเปรี้ยงปร้าง
เธอมองอิ๋งจื่อจินด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ริมฝีปากเริ่มสั่น “เธอ เธอ…”
คุณหนูใหญ่ที่พ่อบ้านว่าคืออิ๋งจื่อจินเหรอ
ไม่สิ เธอกำลังฝันแน่นอน ใช่แน่ๆ!
“คนนี้เหรอที่เจตนาใส่ร้ายเยาเยา” ซู่เวิ่นมองเทียนเยียนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ครับคุณนายใหญ่” พ่อบ้านพูดเสียงเย็นชา “ถ้าคุณหนูใหญ่กลับมาไม่ทันเวลา ‘หลักฐาน’ ของผู้หญิงคนนี้อาจทำให้สำนักผู้วิเศษสั่งประหารคุณหนูใหญ่ได้เลยครับ”
คำพูดนี้ทำให้ซู่เวิ่นสีหน้าเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง
ทั่วทั้งเมืองแห่งโลก หรืออาจเรียกได้ว่าทั่วทั้งโลก มีตัวล็อกพันธุกรรมอยู่แค่ชิ้นเดียว
พอแหลกสลายไปแล้วก็ใช้ไม่ได้อีก
อิ๋งจื่อจินคือขีดความอดทนของซู่เวิ่น
ซู่เวิ่นแสยะยิ้ม “คิดว่าเป็นใคร กล้ามาแตะต้องลูกสาวฉัน”
เทียนเยียนแน่นิ่งจนพูดไม่ออกแล้ว
สีหน้าของเธอเริ่มซีดลงทีละนิด แข้งขาอ่อนแรง ทรุดลงไปกองบนพื้นในทันที
เธอคำนับอย่างบ้าคลั่ง “คุณนายใหญ่โปรดไว้ชีวิต คุณหนูใหญ่โปรดไว้ชีวิต ฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่จริงๆ!”
ถ้าเธอรู้ว่าอิ๋งจื่อจินเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเรนเกล มีเหรอจะกล้าทำแบบนั้น
มีแต่จะไปประจบเข้าหาอิ๋งจื่อจิน หาโอกาสเบียดเข้าแวดวงไฮโซ
“ไปขอให้ศาลตัดสินลงโทษขั้นหนัก” ซู่เวิ่นไม่สงสาร “คนแบบนี้ อย่าให้มาเกะกะสายตาฉันกับเยาเยา”
เทียนเยียนสติแตก “คุณนายใหญ่!”
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ดิ้นก็มีเจ้าหน้าที่เข้าไปล็อกตัวเธอไว้ เอาไปขึ้นศาลตัดสิน
พ่อบ้านหันไป “คุณนายใหญ่ แล้วตอนนี้?”
“ฉันจะไปจัดการเรื่องที่เหลือของตระกูลไลน์เจอร์” ซู่เวิ่นพูด “พรุ่งนี้ต้องจัดงานเลี้ยงให้เยาเยา”
เธอลูบศีรษะอิ๋งจื่อจิน “แม่ไปก่อนนะจ๊ะ”
อิ๋งจื่อจินวางพวกอาวุธกับยาหนึ่งขวดบนมือซู่เวิ่น “เดินทางปลอดภัยค่ะแม่”
ซู่เวิ่นยิ้ม “แม่รู้ แม่จะไม่มีทางทำให้ตัวเองกลายเป็นจุดอ่อนที่คนอื่นมาเล่นงานหนูได้”
หลังจากซู่เวิ่นไปแล้ว พ่อบ้านก็ทำความเคารพอีกครั้ง “ผมจะไปส่งคุณหนูใหญ่กลับบ้านครับ”
“นี่เพื่อนฉันค่ะ” อิ๋งจื่อจินชี้ตี้อู่เย่ว์ พยักหน้าพลางพูด “รบกวนคุณอาพ่อบ้านช่วยจัดห้องพักให้เธออยู่ข้างห้องฉันด้วยนะคะ”
“ได้ครับ” พ่อบ้านพยักหน้าต่อเนื่อง รู้สึกดีใจมาก “คุณหนูใหญ่มีเพื่อนเยอะเป็นเรื่องที่ดีครับ”
ตี้อู่เย่ว์มองอิ๋งจื่อจินตาปริบๆ “เอ๊ะ อาจารย์บอกแล้วนะว่าวันนี้เที่ยงจะพาฉันไปเจอทองคำ”
เธออยากลงมือจัดหนักแบบที่แทบทนรอไม่ไหวแล้ว
ไว้เธอได้ทองคำมากพอเมื่อไรก็จะนอนขี้เกียจได้แล้ว
“อืม พาไป” อิ๋งจื่อจินดึงปีกหมวกลง พูดเสียงเนือย “ไปตอนนี้เลยแล้วกัน”
พ่อบ้านสีหน้าเปลี่ยนทันที พูดเสียงดัง “ว่าไงนะ”
อิ๋งจื่อจินหันไปมอง “มีอะไรเหรอคะ”
“เกิดเรื่องแล้วครับคุณหนูใหญ่” มือของพ่อบ้านจับโทรศัพท์มือถืออยู่ พูดด้วยเสียงร้อนรน “เมื่อสักครู่ทางสำนักผู้วิเศษได้มีคำสั่ง บอกว่าท่านหัวหน้าตระกูลตายไปแล้ว ต้องทำการคัดเลือกหัวหน้าตระกูลทันทีครับ!”