ตอนที่ 1078 บ้านเมืองเจริญ ราษฏรเป็นทุกข์ บ้านเมืองสิ้นชาติ ราษฎรเป็นทุกข์
นายอำเภอซุนมิคาดคิดว่าจะพบเหตุล้มเหลวในหมู่บ้านรกร้างนี้ !
เขาถูกหนิงซือเหยียนมัด จากนั้นก็ถูกควบคุมตัวมายังเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เขาตะโกนออกไปว่า “ข้าคือขุนนางที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งจากราชสำนัก พวกเจ้าเป็นโจรจากที่ใดถึงได้กล้าก่อเรื่องกลางวันแสก ๆ เยี่ยงนี้…”
“หลิวจิ่น…เจ้าทำให้เขาหุบปากที ! ”
หลิวจิ่นเดินตรงเข้าไปหานายอำเภอซุน จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาตบหน้าของเขาอย่างแรงจนหน้าของเขาหันไปตามแรงตบ “เจ้าเป็นเพียงนายอำเภอตำแหน่งเล็ก ๆ กล้ากำเริบเสิบสานจนมิรู้จักคำว่าตายเลยหรือเยี่ยงไร ? วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้แก่เจ้าเอง ! ”
เสียงตบหน้าและบ้องหูดัง “เพี๊ยะ ๆ ” ติดต่อกันพักหนึ่ง จนมีเลือดไหลออกมาจากจมูกและปากของนายอำเภอซุน
“นำตัวมันโยนไว้บนพื้น เขาจะได้รับแดดได้เต็มที่หน่อย”
“ตงเสวี่ย เจ้าไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของท่านลุงผู้นั้นดูสักหน่อยเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองหลิวต้าเถียน “เจ้าทำได้ดีมากยิ่งนัก เจ้ามีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ กล้าที่จะชักดาบออกมาเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพลที่เที่ยวกดขี่ผู้อื่นไปทั่ว ! ไปกันเถิด… ไปนั่งสนทนากันที่บ้านของเจ้า”
หลิวต้าเถียนคิดว่าหลังจากที่เขาก้าวผ่านประตูบ้านมาแล้ว คงจะมิสามารถก้าวกลับเข้าไปในบ้านได้อีก ทว่าเขาก็คาดมิถึงเช่นกันว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ !
หลิวอีเกินถือหอกที่สนิมขึ้นเป็นจุด ๆ วิ่งตามเขามา เมื่อเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด หลี่ซิ่วไฉที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาใช้ข้อศอกชนแขนของหลิวอีเกินไปหนึ่งคราพลางกระซิบที่หูของเขาว่า “คุณชายท่านนี้…มิใช่คนธรรมดา ! ”
“แต่…แต่เขาฆ่าเจ้าหน้าที่ของทางการ ! ”
“คงมิเป็นไรหรอก เจ้ามิเห็นตอนเขาสังหารเจ้าหน้าที่เหล่านั้นหรือ ? เขาสังหารอย่างเยือกเย็นโดยมิเกรงกลัวใด ๆ เขาบอกว่าจะไปบ้านของเจ้าน่ะ รีบไปกันเถิด ! มิแน่ว่านี่อาจจะเป็นวาสนาครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ! ”
บัดนี้ชาวบ้านแต่ละคนถือจอบที่ทำด้วยไม้มารวมตัวกันที่กลางหมู่บ้านด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจ
เดิมทีพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อจะสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง วิกฤติภัยแล้ง…ในบ้านแทบจะมิมีอันใดกินอยู่แล้ว พวกมันยังจะมาเก็บภาษีก่อนล่วงหน้าอีก ถ้าหากมิมีเงินจ่าย พวกมันก็จะจับไก่และแพะแกะไป !
คงจะอยู่ที่นี่ต่อไปมิได้อีกแล้ว ดังนั้นสู้สังหารสุนัขรับใช้เหล่านี้ทิ้งเสีย แล้วพวกเขาก็หนีจากภัยพิบัติไปอยู่ที่อื่นเสียยังดีกว่า !
คาดมิถึงว่าเมื่อพวกเขามาถึงสถานที่เกิดเหตุ สถานการณ์วุ่นวายก็ได้สงบลงแล้ว และความวุ่นวายที่สงบลงไปนั้นก็เรียบง่ายและรุนแรงเกินกว่าที่พวกเขาคิดไว้เสียอีก
ทหารในชุดเกราะเงินแบกร่างไร้วิญญาณกลับหัวกลับหางของเจ้าหน้าที่เหล่านั้นไปโยนทิ้งนอกหมู่บ้าน ! ทั้งยังทุบตีนายอำเภอที่โฉดชั่วผู้นั้นอีกด้วย !
ชาวบ้านมองดูทหารหลายสิบนายที่ยืนเรียงกันอยู่กลางหมู่บ้านด้วยท่าทีเคร่งขรึมราวกับเป็นเกณฑ์มาตรฐาน จากนั้นก็ได้ยินบุรุษที่สวมอาภรณ์สีขาวเอ่ยขึ้นมาว่า
“พวกเจ้าจงวางใจเถิด ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
“จ่งตูหนิงได้ประกาศนโยบายยกเว้นภาษีให้แก่เกษตรกรก่อนหน้านี้แล้ว… เจ้าหมอนี่มีตาแต่หามีแววไม่ เขาคงคิดที่จะถือโอกาสนี้คว้าเอาผลประโยชน์ส่วนตน เพราะสถานที่แห่งนี้อยู่บนภูเขาสูงซึ่งอยู่ห่างไกลจากองค์จักรพรรดิ”
“ทุกคนจงกลับไปเถิด มีอันใดทำก็ไปทำเสีย หรือมีผู้ใดอยากตามข้าไปร่วมวงสนทนาที่บ้านของเขา”
ผู้คนในหมู่บ้านมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความตื่นตาตื่นใจ จากนั้นก็เพิ่งจะตระหนักขึ้นมาได้ว่าคำเอ่ยของหลี่ซิ่วไฉนั้นเป็นความจริง
พวกเขาต่างก็ตกตะลึงมากยิ่งนัก ทำได้เพียงหันไปมองหน้ากันไปมา
“เช่นนั้นเอ่ยได้ว่าขุนนางใหม่ท่านนั้นทำเพื่อราษฎรเยี่ยงพวกเราหรือ ? ”
“อาจจะเป็นไปได้ ผู้ใดจะไปรับรู้ได้เล่า เช่นนั้นก็รอดูสถานการณ์ไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวก็จะรู้เอง”
“เจ้าเอ่ยแบบนั้นก็มิถูก หากเป็นเช่นนั้น คุณชายท่านนี้จะกล้าสังหารเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้หรือ ? พวกเจ้าดูคุณชายท่านนี้สิ เขาอายุราว 20 ปีเท่านั้น ทั้งยังนำทหารติดตามมาด้วย เขาจะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่รู้เกี่ยวกับนโยบายของหยวนเป่ยเต้าเป็นแน่”
“คำเอ่ยของเหล่าถานมีเหตุผล เขาเชิญพวกเราไปนั่งเล่นที่บ้านของเหล่าหลิว พวกเจ้ากล้าไปหรือไม่ ? ”
“ข้าจะไปเอาไก่ของข้ากลับคืนมา ! ”
“ข้าต้องไปไล่ต้อนฝูงแกะ ! ”
……
……
ในที่สุดชาวบ้านก็คลายความสงสัยและลดความกังวลลงพวกเขาเกิดความคลางแคลงใจกับคำเอ่ยนั้นของฟู่เสี่ยวกวน เพราะพวกเขาถูกกดขี่จากขุนนางของราชวงศ์เหลียวเป็นเวลานาน พวกเขาล้วนคิดว่าใต้หล้านี้ช่างมืดมนมากยิ่งนัก
สิ่งที่พวกเขากังวลคือคุณชายผู้นี้ฆ่าเจ้าหน้าที่ไปทั้งหมด 6 คน ทั้งยังใช้เชือกคล้องคอนายอำเภอพร้อมกับมัดแขนทั้งสองข้างของเขาไพล่หลังเอาไว้แล้ว ปล่อยทิ้งไว้ท่ามกลางแสงสุริยาแผดเผา… หากเบื้องบนรู้เข้า พวกเขาจะนำทหารมาล้างบางผู้คนในหมู่บ้านหรือไม่ ?
คุณชายผู้นั้นจะไปจากที่นี่ไปในมิช้าก็เร็ว พอถึงเวลานั้นจะทำเยี่ยงไรดี ?
ปัญหานี้ก็อยู่ในความกังวลของหลี่ซิ่วไฉเช่นกัน
เขาเดินตามฟู่เสี่ยวกวนมาจนถึงที่บ้านของหลิวอีเกิน
หลิวอีเกินวางหอกยาวลง สมองของเขายังคงนึกถึงเหตุการณ์นองเลือดเมื่อครู่อยู่
ในทางตรงกันข้าม หลิวต้าเถียนบุตรชายของเขารู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันใด เขาทราบดีว่าคุณชายท่านนี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขามิใช่บุคคลธรรมดา
ในห้องโถงมีที่นั่งวางเรียงเป็นทางยาว คนกลุ่มหนึ่งเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ที่จัดเตรียมเอาไว้ ทำให้บรรยากาศในบ้านร้อนอบอ้าวขึ้นมาทันใด จากนั้นหลิวต้าเถียนก็ขอให้ท่านแม่ของเขาไปนำน้ำที่ต้มจนเดือดแล้วมา
ซูซูเป็นคนที่สามารถทำให้อารมณ์ของฟู่เสี่ยวกวนเย็นลงได้
วรยุทธ์ที่นางฝึกฝนเย็นจนปวดกระดูก ดังนั้นอุณหภูมิในห้องจึงลดลงเมื่อปะทะเข้ากับสายตาของนาง หลี่ซิ่วไฉและคนอื่น ๆ ตื่นตระหนกตกใจขึ้นมาทันใด
“ท่านลุง ข้าขอทราบแซ่ของท่านได้หรือไม่ ? ”
“อ่า…คนชราเยี่ยงข้าแซ่หลิว นามว่าอีเกิน นี่คือหลิวต้าเถียนบุตรชายของข้า”
“อ่า…ดูเหมือนว่าทางการจะทำเรื่องเช่นนี้บ่อยใช่หรือไม่ ? ”
หลิวอีเกินจุดยาสูบแล้วสูบเข้าไปสองที “ข้าจะขอเอ่ยตามตรงกับคุณชายว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นทุก ๆ ปี แต่ชาวบ้านเยี่ยงพวกเราจะทำอันใดได้เล่า ? มันกลายเป็นเรื่องปกติของสถานที่บ้า ๆ นี่ไปแล้ว ที่ถูกพวกมันขู่รีดทรัพย์ ในอดีตมีหลายคนที่ขายบุตรชายและบุตรสาวเพื่อที่จะจ่ายค่าภาษี”
“ด้วยเหตุนี้หมู่บ้านฮวงหลินของพวกเราถึงมีประชากรลดน้อยลงเรื่อย ๆ และมิมีเด็ก ๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เกรงว่าในอีกมิกี่ปีข้างหน้านี้…หมู่บ้านฮวงหลินคงจะไร้ซึ่งผู้คนอาศัยอยู่เป็นแน่”
“ผู้ใดจะอยากพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนกัน ? แต่จะให้ทำเยี่ยงไรได้ ในเมื่ออยู่ต่อไปมิได้แล้ว หากจ่งตูคนใหม่ออกนโยบายยกเว้นการเรียกเก็บภาษีของเกษตรเยี่ยงพวกเราจริง ๆ ล่ะก็ เกรงว่าจะมีความหวังในการใช้ชีวิตต่อ ทว่าว่า…”
หลิวอีเกินสูบยาสูบเข้าไปอีกหนึ่งครา เขาส่ายหัวเบา ๆ แล้วยกยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “คุณชายเป็นผู้มีจิตใจเมตตา ข้าดูออกว่าคุณชายเกิดในวงศ์ตระกูลขุนนางที่ร่ำรวยและมีอิทธิพล ทว่าข้าน้อยขอเอ่ยคำที่มิเหมาะสมว่า ขุนนางเหล่านั้นล้วนทำเพื่อหมวกผ้าแพรที่ค้ำเอาไว้บนศีรษะทั้งสิ้น ! ”
“พวกเขาต้องการยศที่สูงขึ้นโดยการพยายามมุมานะบากบั่นหาความก้าวหน้าให้ตนเอง ทว่าสำหรับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรกลับ… จะมีขุนนางสักกี่คนกันที่ใส่ใจราษฎรจริง ๆ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าโดยมิได้โต้เถียงอันใดออกไป “สิ่งที่ท่านลุงเอ่ยออกมามีเหตุผล ดังนั้นภายใต้การปกครองของต้าเซี่ยและจ่งตูคนใหม่หยวนเป่ยเต้าจะเป็นเยี่ยงไรต่อไป ? ก็ต้องรอสังเกตการณ์กันต่อไป”
ราษฎรเป็นปัจจัยหลักที่สร้างประเทศชาติขึ้นมา ! ทว่าขุนนางที่โง่เขลาเบาปัญญามากมายก็มิได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ พวกเขามักใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกราษฎรโดยการก่อกรรมทำชั่วเที่ยวขูดรีดภาษีราษฎร พวกเขามิรู้ด้วยซ้ำว่ากำลังขุดหลุมฝังศพให้กับตนเองอยู่ !
ฟูเสี่ยวกวนถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยออกมาว่า
“ดังนั้น… บ้านเมืองเจริญ ราษฏรเป็นทุกข์ บ้านเมืองสิ้นชาติ ราษฎรเป็นทุกข์”
“หนทางยังอีกยาวไกลนัก ! ”