บทที่ 104 รับเหิงอีเจี้ยนเป็นผู้ติดตาม
บทที่ 104 รับเหิงอีเจี้ยนเป็นผู้ติดตาม
สายตาเย็นชาของลู่หยวนยังคงจับจ้องจงซื่อ พลางเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นห่วงเป็นใยเหิงอีเจี้ยนมากขนาดนี้ เจ้าเป็นสหายเก่าของเขางั้นหรือ”
หัวใจของคนฟังแข็งทื่อ ลังเลสักพัก จากนั้นถอนหายใจออกมา “เหิงอีเจี้ยนเคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เกรงว่าข้าคงตายอยู่ที่ไหนสักแห่งไปแล้ว”
“หากนายน้อยสามารถมองเห็นสถานการณ์ในพื้นที่ได้ ท่านช่วยบอกข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
บุตรศักดิ์สิทธิ์หันกลับไปจดจ้องบริเวณสนามประลองอีกครั้ง “เจ้าอยากช่วยเขาหรือ?”
จงซื่อพยักหน้า สายตาเผยความมุ่งมั่น “เขามีพระคุณต่อชีวิตข้า หากวันนี้เขาตกอยู่ในอันตราย ข้าย่อมต้องพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถ!”
ชายหนุ่มเดาะลิ้นก่อนถอนหายใจ “ข้าไม่คิดเลยว่าท่ามกลางดงอสรพิษในหมู่ผู้คุมกฎในสำนักอักขระสวรรค์ จะมีคนใจดีชอบธรรมอยู่ด้วย”
“แต่มันสายเกินไปแล้ว! เจ้าน่าจะสามารถสัมผัสถึงความโกลาหลเมื่อครู่ได้ เจตจำนงกระบี่ของเหิงอีเจี้ยนไม่ได้ดีไปกว่าเสิ่นฉง ความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้มาถึงแล้ว”
จงซื่อก้มตัว จากนั้นกำลังจะพุ่งออกไป
“ช้าก่อน!”
ลู่หยวนพลันกล่าวว่า “อย่าลืมสิว่าตอนนี้เจ้าเป็นใคร เจ้าคือผู้คุมกฎอาวุโสสามของสำนักอักขระสวรรค์ อีกทั้งยังเป็นผู้พิทักษ์ของข้าในวันนี้ เจ้ากำลังจะทิ้งข้าเพื่อไปช่วยผู้อื่นหรือ? กฎเหล็กของสำนักอักขระสวรรค์คืออะไร?!”
ผู้ฟังรู้ว่าครั้งนี้ตนทำผิด เหิงอีเจี้ยนเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ก็จริง แต่สำนักอักขระสวรรค์ก็มีพระคุณที่ช่วยเลี้ยงดูเขาเช่นกัน
วันนี้เขาไม่เพียงรับผิดชอบต่อการปกป้องนายน้อยเท่านั้น แต่ยังต้องเฝ้าดูผู้มีพระคุณถูกกดขี่ข่มเหงอีกด้วย
แต่ถ้าไม่ช่วยเหิงอีเจี้ยน เกรงว่าอีกฝ่ายจะต้องตายในวันนี้ แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกหลังจากนี้ได้อย่างไร?
แต่ถ้าเกิดช่วยใครบางคนขึ้นมา จนเกิดเรื่องไม่ดีกับนายน้อยเข้า เขาจะอธิบายต่อเจ้าสำนักอย่างไร?!
จงซื่อยังคงครุ่นคิด แววตาไหวระริก เห็นได้ชัดว่าอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ลู่หยวนเห็นดังนี้ จึงรู้ดีว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เขาใช้เจตจำนงกระบี่ฟ้าประทานไปแล้ว ถึงแม้จะยังแพ้เสิ่นฉง แต่เขาก็ไม่ตายในทันทีหรอก”
“หากเจ้าลงมือ ก็น่าจะรู้ว่าปัญหาอะไรจะตามมา”
ความหมายของคำพูดนายน้อย จงซื่อย่อมเข้าใจหลังจากสงบสติลงได้แล้ว
เขาคือสมาชิกของสำนักอักขระสวรรค์ อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของผู้คุมกฎ ตอนนี้ทุกสิ่งที่พูดและทำจึงเป็นตัวแทนของสำนักอักขระสวรรค์
ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักและตระกูลใหญ่นั้นละเอียดอ่อน หากเขาเข้าไปไกล่เกลี่ยเหตุการณ์ของตระกูลเสิ่นในครั้งนี้ อาจจะทำให้เกิดความไม่พึงพอใจต่อสำนักและตระกูลใหญ่จำนวนมาก เช่นนั้นสำนักอักขระสวรรค์จะต้องยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกองกำลังจำนวนมาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จงซื่อนิ่งงัน ความกลัวไม่มีที่สิ้นสุดเกาะกุมหัวใจ
อย่าว่าแต่เขาจะสามารถพาเหิงอีเจี้ยนออกมาด้วยพละกำลังได้หรือไม่เลย หากเมื่อครู่ลงมือขึ้นมา ไม่เพียงแค่ตนจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตระกูลเสิ่น แต่ยังเป็นการดึงสำนักอักขระสวรรค์เข้าสู่หุบเหวที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนอีกด้วย!
“ข้าสามารถช่วยเขาได้”
ลู่หยวนกล่าวเสียงต่ำ จงซื่อชำเลืองมอง พร้อมบังเกิดความสงสัย
เขาผู้อยู่ขั้นเซียนยุทธ์ยังไม่กล้าพูดเลยว่าสามารถช่วยเหิงอีเจี้ยนได้ แล้วนายน้อยผู้อยู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์จะทำได้อย่างไร?!
บุตรศักดิ์สิทธิ์ยังคงกล่าวต่อว่า “ข้าคือคุณชายตระกูลลู่… คือนายน้อยของสำนักอักขระสวรรค์ เป็นธรรมดาที่จะมีเคล็ดวิชามากมายในการหลบหนี ในเมื่อข้ากล้าพูดแล้ว ก็ย่อมต้องสามารถพาเหิงอีเจี้ยนรอดชีวิตออกมาได้”
เมื่อได้ยินดังนี้ จงซื่อเริ่มเชื่อ ด้วยสถานะของลู่หยวนย่อมต้องมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำหรับเอาตัวรอดในสถานการณ์ไม่คาดฝัน!
แต่ผู้คุ้มกันคนนี้ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน เขารู้ว่านายน้อยหาใช่คนดีแต่อย่างใด อีกฝ่ายไม่มีทางทำสิ่งที่ต้องเสียผลประโยชน์แน่นอน
ตอนนี้ชายหนุ่มเสนอตัว แสดงว่าปรารถนาบางสิ่งเป็นการแลกเปลี่ยน ผู้คุมกฎอาวุโสสามจึงก้มศีรษะคารวะ “เชิญบุตรศักดิ์สิทธิ์บอกสิ่งที่ต้องการมาได้เลย!”
ลู่หยวนหยิบยันต์สีม่วงออกมา อักขระสีดำเข้มจำนวนมากปกคลุมรอบข้าง ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
“ติดตั้งยันต์นี้ไว้แล้วไปทำบางสิ่งเพื่อข้า หลังจากภารกิจลุล่วงแล้ว เจ้าจะได้เป็นอิสระ”
จงซื่อเพียงปรายตามองก็จำยันต์นี้ได้ มันคือยันต์วิญญาณสัมบูรณ์เจ็ดดารา
ถึงแม้มันจะไม่ใช่ยันต์วิเศษที่ถูกจัดว่าเป็นเคล็ดวิชาต้องห้าม แต่มันก็มีความชั่วร้ายอยู่
คนที่ถูกติดตั้งยันต์ใบนี้จะเหมือนกับศพเดินได้ช่วงเวลาหนึ่ง ถูกสั่งให้ทำสิ่งต่าง ๆ และเมื่อหมดเวลา ยันต์จะคลายออกเอง อีกทั้งความทรงจำในช่วงเวลาที่ได้รับคำสั่งทั้งหมดจะหายไป!
ลู่หยวนอยากติดตั้งยันต์เช่นนั้นให้จงซื่อ เพราะมีบางสิ่งที่อยากให้บริวารผู้นี้ลงมือทำโดยไม่อยากให้ล่วงรู้ พูดให้ถูกก็คือ นายน้อยไม่อยากให้ลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยรู้!
ทว่า… หากติดตั้งยันต์นี้ เขาจะต้องเสี่ยงชีวิต!
ในช่วงเวลาที่เหมือนกับเป็นศพเดิน ผู้คุมกฎอาวุโสสามอาจตายด้วยวิธีที่ยากจะอธิบาย!
“จงซื่อ…”
ลู่หยวนส่งเสียง ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนกับรอยยิ้ม “เจ้าต้องรีบตัดสินใจ เหิงอีเจี้ยนอยู่ได้ไม่นานหรอกนะ”
ทันทีที่สิ้นคำพูด ปราณกระบี่ของเสิ่นฉงก็พุ่งทะยาน กระบี่หลอมปราณของเหิงอีเจี้ยนมีขนาดเล็กลงอีกครั้ง
จงซื่อละทิ้งความลังเลทันใด เขาหยิบยันต์วิญญาณสัมบูรณ์เจ็ดดารามาติดตั้งในจิตเทวะ
บนยันต์ดังกล่าวเปล่งประกายแสงสว่างวูบไหว หลายอึดใจต่อมา จงซื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาหมองหม่น เขายืนนิ่งอยู่ข้างนายน้อยโดยไม่ไหวติง
ลู่หยวนหัวเราะชั่วร้าย ใครบางคนมุ่งหน้าไปสำรวจหุบเขาบูรพาแล้วไม่ใช่หรือ?
แต่จะต้องมีอันตรายอยู่ในเขตต้องห้ามของหุบเขาบูรพาเป็นแน่ ส่วนจงซื่ออยู่ขั้นเซียนยุทธ์ หากเผชิญหน้ากับบางสิ่งเข้า อาจไม่กลับมาตลอดกาลก็เป็นได้
ถึงตอนนั้น สิ่งที่เขาจะทำในวันนี้ก็ไม่แตกต่างจากการส่งใครบางคนออกไปนับพันลี้อย่างไร้ความหมาย
ลู่หยวนกลับมาชำเลืองมองในสนามประลองอีกครั้ง… หากมีเหิงอีเจี้ยนเพิ่มอีกคน การเดินทางอาจจะราบรื่นขึ้น!
เหิงอีเจี้ยนฝืนชูปราณกระบี่ฟ้าประทานขึ้นในลานประลอง แต่ปราณกระบี่ที่เสิ่นฉงปลดปล่อยออกมายังคงพุ่งทะยาน เหงื่อเย็นบนหน้าผากของเขายังผุดขึ้นมา เจตจำนงกระบี่หาใดเปรียบถูกสะกดไว้ ทำให้หน้าอกบีบรัด
หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ความพ่ายแพ้จะต้องมาเยือน!
เมื่อเหิงอีเจี้ยนกำลังเค้นปราณกระบี่ที่เหลือออกมา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แห่งความเป็นความตายครั้งสุดท้าย เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นในหูของปรมาจารย์กระบี่ยักษ์
“ข้าสามารถช่วยให้เจ้ากับเซียวเทียนรอดได้”
เหิงอีเจี้ยนลดอาวุธวิเศษทันที ปัดป้องปราณกระบี่มหาศาลของเสิ่นฉงออกไป จึงจะสามารถพักหายใจได้
แต่อาวุธวิเศษนี้ให้เวลาเขาปรับลมหายใจเท่านั้น ไม่สามารถต้านการโจมตีจำนวนมากของคู่ต่อสู้!
เมื่ออาวุธวิเศษพังทลาย เขายังต้องสู้กับเสิ่นฉงด้วยกระบี่อีกครั้ง
เหิงอีเจี้ยนนึกถึงเสียงเมื่อครู่ เขาจำเสียงนี้ได้ คนผู้นี้คือบุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ นามว่าลู่หยวน!
ปรมาจารย์กระบี่ยักษ์ทอดสายตาออกไป จ้องมองร่างเลือนรางผู้ยืนกลางอากาศ
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าสามารถใช้ค่ายกลส่งพวกเจ้าทั้งสองออกไปได้ แต่เจ้าต้องทำบางสิ่งเพื่อข้า”
ตูม! ตูม! ตูม!
ปราณกระบี่ของเสิ่นฉงยังคงปะทะกับอาวุธวิเศษ พร้อมแผดเสียงกึกก้องออกมา “เหิงอีเจี้ยน เจ้าคิดว่าจะสามารถหนีจากหายนะได้ด้วยการซ่อนอยู่ในนั้นงั้นหรือ?!”
“ข้าอยากรู้นัก ว่าเจ้าจะสามารถทนรับกระบี่ด้วยขยะพรรค์นี้ได้อีกสักกี่น้ำ!”
เหิงอีเจี้ยนมองลูกศิษย์ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติอยู่ด้านหลัง ก่อนตัดสินใจทันที “ข้าให้สัญญา!”