บทที่ 141 เลือดวิหคอมตะ
ณ ห้องอันมืดสนิท
ในห้องนั้นอบอวลเต็มไปด้วยกลิ่นของคาวเลือดและกลิ่นที่แรงของยา เนื่องจากไม่ได้ระบายอากาศจากแสงแดดนานเกินไป ทำให้มีกลิ่นเหม็นอับลอยออกมา
มีชายวันกลางคนนอนอยู่บนเตียงข้างในห้อง ใบหน้าของชายคนนั้นซีดเล็กน้อย และถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลทั่วทั้งตัว มีคราบเลือดจาง ๆ อยู่บนผ้าพันแผล
“ถ้าท่านกินยาอีกเพียงไม่กี่เม็ด ท่านก็น่าจะสามารถฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ แต่สภาพของท่านก็ยังคง… ” ชายที่แต่งกายเหมือนหมอกล่าว
ชายวัยกลางคนนั้นไอออกมา 2 ครั้ง เสียงของเขามีความแหบ “ข้ารู้”
“แล้วก็… ” หมอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เราได้รับข่าวมาว่า ลั่วอู๋และพรรคพวกของเขาเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว”
ข้อนิ้วของชายวัยกลางคนขูดกับกระดานเบา ๆ ส่งเสียงออกมาด้วยความโกรธ
ที่ผ้าพันแผลของเขา เริ่มมีเลือดไหลออกมา
“ไม่ต้องกังวลไปขอรับ อย่าขยับมาก เดี๋ยวแผลของท่านก็เปิดอีกครั้งหรอก” หมอตกใจ “ข้าจะหยุดเลือดของท่านให้เอง”
ดวงตาของชายวัยกลางคนแสดงความไม่พอใจและกระซิบออกมา “ข้าอยากให้เจ้านั่นตายไปซะ!”
“ขอรับ ขอรับ เขาต้องตาย” หมอก้มศีรษะลง และพันผ้าพันแผลให้เขาอีกครั้ง
……
……
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าลั่วอู๋ ที่ไม่เคยออกไปข้างนอก ได้แต่อยู่ในศาลาไป่หยู่อย่างสุขสบาย
หยู่เฮาต้องการกลับไปยังภูเขาแห้งแล้ง ลั่วอู๋ช่วยเขาในการติดต่อคฤหาสน์ซวนเทียน ในอีกประมาณครึ่งเดือน กลุ่มคาราวานจะข้ามพื้นที่ป่าหวงชามา พวกเขาสามารถพาหยู่เฮากลับไปด้วยได้
แม้ว่าดินแดนของราชวงศ์มังกรเร้นกายและภูเขาแห้งแล้ง จะห่างกันเพียงเล็กน้อย แต่คฤหาสน์ซวนเทียน ก็มีสถานะสูงสุดของทั้ง 2 เมือง
ไม่รู้ว่าผู้บริหารอันลึกลับของคฤหาสน์ซวนเทียนอยู่ที่เมืองไหน
ประการที่สองคือฉูจงฉวน
หลังจากพิชิตภูตทะเลทรายแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกลับไปที่หนานจุนด้วยซ้ำ แทนที่เขาจะตระเวนไปทั่วเมืองใหญ่ เขากลับอยู่เล่นตลอดทั้งวัน
ลั่วอู๋ถามด้วยความสงสัย “ท่านไม่กลับไปที่หนานจุนงั้นหรือ?”
“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก” ฉูจงฉวน ดูเหมือนจะไม่อยากกลับบ้านเลย แต่เขากลับเดินไปตามต้นหลิวตามเส้นทางของดอกไม้ไฟ และมีความสุขที่ได้คิดถึงสาว ๆ
ลั่วอู๋ทำอะไรไม่ถูก
ในเรื่องความปลอดภัยของฉูจงฉวนเขาไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่เงินที่เจ้าเวรนี่ใช้มันเป็นเงินของศาลาไป่หยู่
ลั่วอู๋ได้แต่ปลอบใจตัวเอง ด้วยการชดใช้ให้เขาเป็นผู้คุ้มกัน
เฉินหมิงหยู่ไม่ได้ก่อปัญหาให้ลั่วอู๋ อาจเป็นเพราะศักดิ์ศรี หลังจากที่พวกเขาได้เข้ามาอยู่ พวกเขาก็ออกไปเที่ยวทุกวันเพื่อสัมผัสถึงประเพณีท้องถิ่นและลักษณะภูมิภาค แน่นอนว่ายังมีผู้ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ป่าหวงชา เพื่อช่วยเติมเต็มชีวิตของพวกเขา
เมื่อเข้าสู่ในโลกแห่งไห ลั่วอู๋ก็เจอเรื่องวุ่นวายอีกครั้ง
ด้านหน้าของเขาคือวิหคกระจกเงาอมตะ ซึ่งเฉินหมิงหยู่ใช้เวลาอย่างยาวนานกว่าจะทำให้เชื่อง ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้ทำพันธสัญญากัน มันก็ค่อนข้างฉลาด
ตรงกันข้ามกับเจ้านกโง่
ลืมมันซะ ข้าไม่ต้องการเจ้าสิ่งนั้น
เหตุผลที่ลั่วอู๋ถามเฉินหมิงหยู่เกี่ยวกับวิหคกระจกเงาอมตะนั้นง่ายมาก เพราะว่า เมื่อเฉินหมิงหยู่เรียกวิหคกระจกเงาอมตะออกมา ดักแด้ของผีเสื้อปีกมายาก็เกิดการตอบสนอง
ดักแด้เกิดอาการสั่นไหวและกระตือรือร้น
นั่นไม่ได้เกิดขึ้นกับลั่วอู๋
เพราะเมื่อดักแด้ของผีเสื้อปีกมายามาถึงมือของลั่วอู๋ มันก็เหมือนกับดักแด้ที่ทรงพลัง แต่มันกลับไม่เต็มใจที่จะกะเทาะเปลือกออกมาเลย
ราวกับมันมีความรู้สึก
ลั่วอู๋มองไปที่ดักแด้ของผีเสื้อมายา และครุ่นคิดอยู่นาน
เขายังจำสิ่งที่ราชาผีเสื้อปีกมายาพูดได้ดี ว่าลูกของมันมีลักษณะเฉพาะตัว ลูกของมันจะทรงพลังอย่างมาก แต่มันต้องการใช้พลังงานอย่างมากด้วยเช่นกัน ราชาผีเสื้อปีกมายาจึงอยู่ในถ้ำแห่งนี้ที่แม้แต่ลิงยักษ์ก็ยังต้องการ เพื่อดูดซับพลังของถ้ำ
ไม่เพียงแค่นั้น ราชาผีเสื้อปีกมายา ยังเปลี่ยนแหล่งพลังวิญญาณของตนเอง และใส่เข้าไปในดักแด้
แต่เขาก็ไม่คาดหวังว่า จะมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเกิดออกมา
“นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังจะทำ” ลั่วอู๋นึกคิด
ถ้าท่านต้องการ ข้าจะพยายามทำมัน
ลั่วอู๋หยิบมีดสั้นออกมาและทำการกรีดไปที่ร่างของวิหคกระจกเงาอมตะเล็กน้อย เลือดสีทองค่อย ๆ ไหลลงใส่ภาชนะที่เตรียมเอาไว้
จากนั้นลั่วอู๋ก็หยดเลือดของวิหคกระจกเงาอมตะลงบนดักแด้
ดักแด้เริ่มส่องประกาย
ทันทีที่เลือดสัมผัสกับดักแด้ มันก็กลายเป็นเปลวไฟสีทอง กลายเป็นดักแด้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และลึกลับ
ดักแด้ดูยินดีและพึงพอใจอย่างมาก
ไม่นานนัก เลือดก็ถูกดูดซึมเข้าไปจนหมด
พละกำลังของดักแด้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่ายังมีเวลาอีกพอสมควร ก่อนที่มันจะออกมาจากรังไหม
“คงต้องให้วิหคกระจกเงาอมตะไปพักผ่อนก่อน ถ้ามันตายจากการเสียเลือดมากเกินไป เฉินหมิงหยู่จะต้องโกรธข้าอย่างแน่นอน” ลั่วอู๋พูดกับตัวเอง
ดูเหมือนว่าเลือดของวิหคกระจกเงาอมตะจะสามารถช่วยให้ดักแด้ฟักออกมาได้นับว่าเป็นข่าวดี
วิหคกระจกเงาอมตะคือกระจกเงาฝั่งซ้ายของเทพวิหคอมตะบนโลก มันมีพลังของนกอมตะอยู่ส่วนหนึ่ง โดยปกติแล้ว เลือดนี้ก็เป็นเลือดของนกอมตะเช่นเดียวกัน แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเลือดของนกอมตะจะบริสุทธิ์แค่ไหน แต่มันก็ยังเป็นเลือดของนกอมตะอยู่ดี เมื่อพิจารณาถึงคำว่า “นกอมตะ” อยู่ในชื่อของผีเสื้อมายาปีกอมตะ ลั่วอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำอยู่ในใจ
มีเลือดของวิหคกระจกเงาอมตะ อยู่ในผีเสื้อปีกมายาตัวนี้งั้นหรือ?
การสืบทอดสายเลือดของสัตว์วิญญาณนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่วิธีการผสมพันธุ์และการสืบพันธุ์เท่านั้น แต่มันก็ยังเป็นวิธีพื้นฐานที่สุดด้วย
“เอาล่ะ ปล่อยดักแด้ไว้ตามลำพังก่อน” ลั่วอู๋ไม่ได้อยู่ดูแลดักแด้
เขาเดินออกมาจากบ้าน มาที่สระน้ำพุใสซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก
มีปลาคาร์พตัวอ้วนคู่หนึ่งว่ายไปมาอยู่ในสระน้ำ แน่นอนว่าปลาตัวนี้ไม่ใช่ปลาธรรมดา แต่เป็นปลาทารก ที่มีความสามารถในการช่วยปรับแต่งเป็นสัตว์วิญญาณได้
“อืม ข้าไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงมานานแล้ว ไม่ใช่ว่ามันมีหญิงหนึ่งชายหนึ่งอย่างงั้นหรือ? นี่มันแย่มาก” ลั่วอู๋ถอนหายใจ
ขณะนั้นได้มีหนูอูชิง สัตว์วิญญาณระดับทองแดง บังเอิญล่วงลงมาบนหิน และตกลงไปที่ขอบของสระน้ำ มันพยายามที่จะปีนขึ้นจากการหล่นลงไป
“คลื่น!”
ทันใดนั้น ปลาคาร์พก็ทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ กลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ ที่มีหน้าตาดุร้าย พุ่งกระโดดขึ้นจากผิวน้ำไปยังขอบสระ เพื่อกลืนกินหนูอูชิงในทีเดียว
จากนั้น มันก็ว่ายกลับลงไปในสระน้ำและขนาดตัวของมันก็เล็กลงอีกครั้ง
และมันก็ปล่อยไข่ปลาคริสตัลออกมา ปลาทารกอีกตัวว่ายไปมารอบ ๆ ไข่ โดยไม่รู้จะทำยังไงดี
“วางไข่งั้นหรือ?” ลั่วอู๋ตกตะลึง ทันใดนั้นเอง “ใช่แล้วล่ะ ปลาต้องการอาหาร แม้ว่าพวกมันกำลังหิวแต่พวกมันก็ไม่มีแรงพอที่จะสืบพันธุ์”
ดูเหมือนว่าเราสามารถใช้สัตว์วิญญาณระดับทองแดงราคาถูก มาเป็นอาหารได้
ลั่วอู๋เดินออกจากสระและไปตรวจสอบเกล็ดของงู เกล็ดนั่นมีคุณภาพดีมาก
เกล็ดของงูที่มีขนาดใหญ่เท่าโล่ขนาดเล็ก เกล็ดงูจำนวน 1 โหล สามารถสร้างเกราะหนักได้ แน่นอนว่ามันสามารถนำมาหลอมรวมกันได้
แต่เมื่อเขาเห็นหนังงูนั้น ลั่วอู๋ตกตะลึงทันที
แปลกมากแล้วเลือดกับเนื้อบนหนังงูล่ะ?
มันหายไปไหน
ควรรู้ว่าเลือดและเนื้อบนหนังของงูนั้นเป็นแหล่งพลังงานที่อุดมสมบูรณ์มาก ซึ่งเป็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างมาก
“ฝีมือเจ้านกโง่นั่นงั้นหรือ? ไม่ได้ มันเพียงพอแล้วที่กินเลือดเนื้อที่มีพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มันคงไม่โง่พอที่จะกินเป็นชิ้นที่ 2 แน่นอน”
หลังจากนั้น ใบหน้าของลั่วอู๋ก็เปลี่ยนไป “ต้าหวง!”