บทที่ 153 จุดเริ่มต้นของสงคราม
ท้องฟ้าเริ่มมีฝนตกปรอยๆ
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติกับท้องฟ้าที่มืดมนเช่นนี้ ซึ่งทุกคนก็คิดว่าอีกไม่นานฝนก็คงน่าจะเทลงมา
ทันใดนั้นเงากระดูกสีขาวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ ที่ประตูเมืองไมมู่
“ตูมม”
มีแท่งกระดูกตกลงมา
กำแพงเมืองไมมู่พังทลายลงในพริบตา
คงฉินลอยขึ้นไปในอากาศอย่างช้า ๆ ด้านหลังเขามีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกัน ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงมากกว่าสิบคน ผู้ใช้พลังวิญญาณนับร้อยและสัตว์วิญญาณนับไม่ถ้วน
ฝ่ายคงฉินแห่งพรรคหวงชามาถึงที่นี่แล้ว
ขณะนี้ไม่มีผู้ใดเป็นกลาง ตราบใดที่อยู่ในพรรคหวงชาก็ต้องเลือกฝ่ายที่จะเข้าร่วม
มิฉะนั้นเมื่อสงครามจะยุติลง คนที่เป็นกลางจะถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน
“ไปกันเถอะ” เมื่อประตูเมืองพังทลายลงทหารจำนวนมากถูกทับไว้ใต้ก้อนหินและในไม่ช้าประตูไมมู่ก็กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสียงโหยหวน
ทหารต่างล่าถอยและประชาชนต่างก็วิ่งหนีเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขา
ทว่าในเมืองไมมู่กลุ่มผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงเองก็กำลังรอการมาถึงของพวกเขาอยู่
ลมปราณของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงแผ่ออกมาร่างกายของพวกเขา ทุกคนต่างยืดอกขึ้นเตรียมพร้อมต่อสู้ด้วยแววตาอันดุดัน
“เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะคงฉิน”
เสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้นราวกับฟ้าร้อง
เขาคนนี้คือเฉินหยู่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงอันดับหนึ่งของลูหยางพิงมีฉายาว่าแผลเป็น
คงฉินพูดถามเขาไป “แผลเป็นคราวนี้เจ้าไม่คิดจะพร่ำเรื่องกฎกติกาก่อนงั้นหรือ”
“กฎ กฎกติกาอะไร ?” แผลเป็นคำราม “ข้าไม่รังเกียจหรอกนะ ถ้าเจ้าต้องการจะขึ้นเป็นหัวหน้าพันธมิตร แต่เจ้าเองก็ต้องซื่อสัตย์และปฏิบัติตามกฎการเลือกตั้งหัวหน้าพันธมิตรที่กำลังจะเริ่มในไม่ช้า ถ้าเจ้ามีความสามารถในฐานะหัวหน้าจริง ๆ เจ้าก็ควรจะไปตั้งใจกับการเลือกตั้ง แทนที่จะมาจงใจก่อสงครามแยกพรรคหวงชาทำให้เกิดการต่อสู้ภายในแบบนี้ พวกผู้อาวุโสจะไม่มีทางยอมรับเจ้าแน่! ”
คงฉินไม่แยแสกับคำพูดนั้น
อย่างไรก็ตามเงาหยิงหลิงกระดูกขาวที่อยู่ด้านหลังของเขาก็เริ่มแข็งตัวขึ้นเรื่อย ๆ
แท่งกระดูกขนาดใหญ่แตกกระจายไปในอากาศ
“ปฏิบัติตามกฎงั้นเหรอ เมื่อก่อนพรรคหวงชานั้นเป็นองค์กรอันยืดหยุ่นของขุนนางจาก 23 มณฑลที่ได้มาลงคะแนนร่วมกันเพื่อตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในพื้นที่ป่าหวงชา แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นที่พูดคุยของคนสนิทของผู้นำกลุ่ม กฎบ้ากฎบออะไรก็มีแต่สนองความต้องการของผู้นำอย่างเดียวไม่ใช่รึไง?”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ลูหยางพิงเป็นผู้นำของพันธมิตรสี่สมัยติดต่อกัน หากไม่เกิดหยุดไว้ละก็เขาคงจะเป็นผู้นำของกลุ่มพันธมิตรอีกรอบ จากนั้นพื้นที่ของพรรคหวงชาทั้งหมดมีหวังได้กลายเป็นพระราชวังของลูหยางพิง สรรเสริญให้เขาเป็นดั่งจักรพรรดิของที่นี่เป็นแน่ ”
“ ข้ามาเข้าร่วมพรรคหวงชานี้เมื่อ 5 ปีก่อน ข้าได้เห็นพื้นที่อันรกร้างและห่างไกลเหล่านี้พร้อมจะเต็มไปด้วยเสรีภาพและกลายเป็นจักรวรรดิแห่งประชาธิปไตย เจ้าคิดว่าข้ารวบรวมคนมากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกันเล่า?”
“ถึงข้าไม่เก่งเท่ากับลูหยางพิงในเรื่องของความแข็งแกร่งและเงินตรา แต่ข้าก็พร้อมจะสนับสนุนฝ่ายที่สามารถแข่งขันกับลูหยางพิงได้”
“ทำไมกันล่ะ?”
“เพราะข้ามีหัวใจยังไงล่ะ”
“เพื่อที่จะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้นและสูญเสียน้อยลง เจ้าจะต้องเข้าใจผู้อื่น น่าเสียดายที่ลูหยางพิงไม่มีทางได้เข้าใจความจริงง่ายๆนี้”
“ และเนื่องจากข้าไม่สามารถคว้าตำแหน่งผู้นำพันธมิตรตามกฎมาได้ ข้าจึงทำได้เพียงแค่แหกกฎเท่านั้น”
“นี่ไม่ใช่การแข่งขันแก่งแย่งชิงดี”
“แต่นี่คือการปฏิวัติ! การปฏิวัติเพื่อเสรีภาพ!”
คำพูดของคงฉินถูกแพร่กระจายไปทั่วเมือง
“ท่านคงฉินจงเจริญ!”
ข้างหลังเขามีผู้ใช้พลังวิญญาณกลุ่มใหญ่กู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
ลั่วอู๋กับคนจากศาลาไป่หยู่ของเขา ยืนอยู่ด้านหลังสุดท้ายอย่างเงียบ ๆ การออกไปรับศึกข้างหน้าแต่แรกเลยไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเท่าไหร่
แต่เมื่อได้ยินคำประกาศของคงฉินเช่นนี้ ลั่วอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะปรบมือให้กับเขา
แค่ชื่อของเขาเพียงพอที่จะทำลายความหวาดกลัวในใจของผู้คน
ยึดครองพื้นที่สู่ทางศีลธรรมและเสรีภาพ
ด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง
ไม่ว่าคงฉินจะมีความคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือไม่ อย่างน้อยคำพูดของเขาก็ชนะใจผู้คนได้
แรงผลักดันของอีกฝ่ายก็อ่อนลงอย่างมาก
สิ่งที่แปลกก็คือทำไมลูหยางพิงถึงไม่ปรากฏตัว? เขายังคิดว่าสถานการณ์ปัจจุบันสามารถควบคุมได้และไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงตัวหรือยังไง?
ลั่วอู๋กระซิบกับหลิวหูและพรรคพวกของเขาทั้งสามคนว่า “พวกเจ้าสามารถต่อสู้ได้เต็มที่เลย แต่ถ้าพวกเจ้าประสบอันตรายอย่าฝืนตัวเองเชียว ให้คิดถึงตัวเองเป็นหลัก หากขาดพวกเจ้าไปธุรกิจของศาลาไป่หยู่ก็จบสิ้นกันพอดีนะสิ”
หลิวหูรู้สึกซาบซึ้งและพร้อมจะลุย
ส่วนหยู่เฮาดูเหมือนว่าเขาคงจะไม่ตายในการต่อสู้ง่าย ๆ จึงไม่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
ฉูจงฉวนหัวเราะ “แน่นอนสิมันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะแพ้หรือชนะ ถ้าเกิดเจ้าไม่ต้องการจะทำธุรกิจที่นี่แล้ว เปลี่ยนไปที่เมืองหมิงหนานของข้าเพื่อเปิดสาขาใหม่ก็ได้”
ลั่วอู๋ยิ้ม
ความจริงแล้วเขาก็คิดถึงแผนนี้ไว้เหมือนกัน ซึ่งก็ยังอยู่ระหว่างการวางแผน
ในเมืองไมมู่แผลเป็นเริ่มโกรธจัดขึ้นมา “เจ้าพูดมากไปแล้วน่า สุดท้ายแล้วเจ้าก็แค่คนที่ทรยศพรรคหวงชาด้วยการแบ่งแยกพวกเราเท่านั้นแหละ อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระเลย จงตายลงซะที่นี่เถอะ”
เฉินหยู่นำเหล่าผู้ใช้พลังวิญญาณให้รีบวิ่งตามหลังเขามา
มีแสงไฟมากกว่าสิบดวงสว่างวาบ
เหล่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงทั้งหมดของกลุ่มลูหยางพิงได้มาถึงที่นี่แล้ว คลื่นพลังวิญญาณอันน่ากลัวกำลังพลุ่งพล่านไปทั่ว
คงฉินหัวเราะ “ดีจริงที่ได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง”
เงาขนาดใหญ่ของหยิงหลิงกระดูกขาวสั่นไหวราวกับว่ามันได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่พร้อมจะทำลายเมืองให้สิ้น แท่งกระดูกถูกฟาดลงกระทบกับเฉินหยู่อย่างรุนแรง
ผู้ใช้พลังวิญญาณหลายร้อยคนวิ่งขึ้นไปพร้อมกับโล่คริสตัลลงตราธาตุ
ตาต่อตาฟันต่อฟัน
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงของทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันและกัน
อย่างไรก็ตามจำนวนของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงในฝั่งของคงฉินยังคงด้อยกว่า
ฉูจงฉวนและหยู่เฮา ต่างก็ต้องรับมือกับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงด้วยกันทั้งคู่
“ ฮึ่ม ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับกลางอย่างเจ้ากล้าท้าทายข้างั้นหรือ” ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง ดูถูกดูฉูจงฉวน
เปลวไฟสีเขียวแล่บขึ้นมาบนปลายนิ้วของฉูจงฉวน จากนั้นเขาก็กระโจนเข้าใส่พร้อมหัวเราะ “จากการสังเกตโดยรอบของข้าแล้วเจ้าดูอ่อนแอที่สุด หากข้าเลือกเจ้าก่อนข้าจะได้ไม่ต้องเสียแรงมากด้วย”
“ อยากตายรึไง” ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงคนนั้นเปิดใช้งานสายพันธสัญญาของมนุษย์และสัตว์วิญญาณในทันที
อย่างไรก็ตามกลับมีเพียงแค่เงาของสัตว์วิญญาณเพียงแค่สองตัวอยู่ข้างหลังเขา
เห็นได้ชัดว่าแม้เขาจะมาถึงระดับทองแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้มีสัตว์วิญญาณตัวที่สาม
ส่วนทางด้านของหยู่เฮานั้นเรียบง่ายกว่ามาก
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงที่โจมตีเขาเองก็เป็นพวกบ้าบิ่นเช่นกัน เมื่อเปิดใช้พันธสัญญาของมนุษย์และสัตว์วิญญาณก็มีเงาหมีสามตัวปรากฏขึ้นด้านหลังเขา
สัตว์วิญญาณทั้งสามตัวเป็นสัตว์วิญญาณหมีทั้งหมด
ผู้ใช้พลังวิญญาณแบบนี้นี่แหละที่น่ากลัวที่สุด
ทว่าหยู่เฮากลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกระตือรือร้นที่จะลองฝีมือของตน “ในที่สุดก็ได้พบคู่ต่อสู้ที่ดีพอ เข้ามาเซ่ มาลิ้มรสขวานของข้า!”
ศัตรูที่ไม่อาศัยลูกเล่นนั้นเป็นที่ชื่นชอบของเขา
ขณะเดียวกันลั่วอู๋ก็หยิบธนูออกมา
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ยังไม่มีตราวิญญาณธาตุสลักอยู่กับคันธนูเจียวหลง เนื่องจากตอนนี้ลั่วอู๋ต้องใช้พลังอย่างมากในการดึงคันธนูให้พร้อมยิง หากลงตราธาตุเข้าไปอีกลั่วอู๋คงจะไม่สามารถใช้มันได้
อย่างไรก็ตามตัวลูกศรนั้นยังคงมีตราธาตุลมสลักไว้อยู่
ลูกศรนี้จะอยู่นอกระยะการมองเห็นของศัตรู
ลั่วอู๋สามารถยิงธนูได้มากที่สุดได้เพียงแค่สิบดอก เพราะหลังจากยิงลูกศรออกไปสิบดอกไหล่ของเขาจะเจ็บมาก เขาจึงต้องการพักผ่อนทันที
เพราะหากดึงคันธนูให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้แบบนี้ไปมากกว่านั้น เขากลัวไหล่ของเขาจะพัง
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ลูกศรที่ลงตราธาตุลมสามารถทะลวงการป้องกันของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงและยิงโดนที่ตัวได้ตรง ๆ
อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าแค่นี้มันยังไม่เพียงพอ
ความแข็งแกร่งของฝ่ายคงฉินนั้นยังอ่อนแอกว่าจริงๆ
“ไปได้”
ลั่วอู๋ปล่อยนกหน้าโง่ออกจากไหปีศาจเช่นเดียวกับกลุ่มพรรคพวกน้องชายของมัน
ผลก็คือมีแร้งทรายและเหยี่ยวหยกขาวปรากฏขึ้นทั่วท้องฟ้า
“แกว๊ก!”
นกหน้าโง่บินขึ้นไปในอากาศพร้อมกับแสงสีฟ้าบนร่างกายมัน ราวกับนกศักดิ์สิทธิ์
ออกคำสั่งให้แร้งทรายจำนวนมากและเหยี่ยวลมหยกขาว เริ่มก่อกวนผู้คนของฝ่ายลูหยางพิง