บทที่ 163
ทุบ
ในศาลาไป่หยู่
เสี่ยวเซียงรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของลั่วอู๋ “มันก็เป็นเพียงคำอ้างไร้สาระของพวกเจ้า ศาลาไป่หยู่นั้นเป็นดั่งตัวแทนของตระกูลลั่ว มันเป็นดั่งป้ายประกาศด้วยตัวอักษรสีทอง เป็นการรับประกันยิ่งกว่าแบบปากต่อปาก หากไม่มีชื่อนี้เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถทำให้ศาลาไป่หยู่พัฒนาได้ถึงระดับนี้งั้นหรือ นี่คือการสนับสนุนจากตระกูลที่ดีที่สุด ข้าไม่คาดหวังว่าเจ้าจะรู้จักถึงความกตัญญูหรอกนะ เจ้ามันโลภมาก! เจ้าแค่พยายามที่จะกลืนผลประโยชน์ทั้งหมดไว้กับตัว ”
ถ้าเป็นที่อื่นละก็มันอาจจะได้ผลแบบนั้นจริง ๆ
เนื่องจากชื่อร้านคือศาลาไป่หยู่ จึงน่ามีลูกค้าจำนวนมากให้ความไว้วางใจและตัดสินใจมาอุดหนุนศาลาไป่หยู่เหมือนในสาขาอื่น ๆ ที่มณฑลต่างๆ
ใช่แล้วที่เขาพูดมามันก็เป็นจริงอยู่บ้าง
แต่เสี่ยวเซียงนั้นไม่ได้รู้เลย
ในเขตป่าหวงชาแห่งนี้ไม่มีใครคิดจะสนใจป้ายศาลาไป่หยู่
ที่นี่ป้ายหอคอยหวงชาต่างหากคือการรับประกันคุณภาพ
เว้นแต่เจ้าของร้านแท้จริงจะเป็นลั่วอู๋
“แผ่นป้ายประกาศด้วยตัวอักษรสีทอง ฮ่าฮ่าฮ่าลั่ว” ลั่วอู๋ปิดท้องของเขาและเริ่มหัวเราะ
เสี่ยวเซียงจ้องมองเขาด้วยความโกรธ “เจ้าหัวเราะอะไร?”
ลั่วอู๋มองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อาฟู่ เสี่ยวชาไปรื้อป้ายที่ประตูออกให้ข้าดูสิ”
“รับทราบขอรับ” คนงานทั้งสองไม่ลังเลที่จะเดินออกไปหยิบบันไดและถอดแผ่นป้ายที่มีคำว่า ” ศาลาไป่หยู่ออก”
พวกเขาซึ่งเป็นคนของที่นี่นั้นไม่รู้จักตระกูลดังใด ๆ
เดิมทีพวกเขารู้จักแค่เจ้าของร้านคนเก่า ส่วนตอนนี้พวกเขาก็รู้จักแค่เจ้าของร้านคนเก่าและนายน้อยลั่วเท่านั้น
ตระกูลลั่ว ? นายน้อยและเจ้าของร้านคนเก่าต่างหากเป็นคนทำให้พวกเราอยู่ดีกินดี พวกข้าจะไปรู้จักตระกูลอะไรของเจ้าได้ยังไง!
ใบหน้าของเสี่ยวเซียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?”
การเอาป้ายศาลาไป่หยู่ออกโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎของตระกูลลั่ว
แขกทั้งภายในและภายนอก ศาลาไป่หยู่เองเมื่อสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวในร้าน พวกเขาก็ทยอยเข้ามาดูทีละคน เพราะทุกครั้งที่ศาลาไป่หยู่ทำธุรกิจมักจะมีเรื่องตื่นเต้นมากมาย
“ข้าต้องการอะไรงั้นเหรอ ? ฮึ่ม” ลั่วอู๋ตะคอกอย่างเย็นชาและเดินไปที่แผ่นป้ายศาลาไป่หยู่ ฝ่ามือของเขาควบแน่นพลังวิญญาณ เขาตบฝ่ามือของเขาลงราวกับมีด
ฉับ
มันเป็นเสียงฟันอันคมชัด
แผ่นป้ายของศาลาไป่หยู่ ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ฝูงชนต่างงงงวยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่? ทุบป้ายของตัวเองแบบนี้ยังไงก็ดูไม่มีเหตุผล
เสี่ยวเซียงตบโต๊ะลุกขึ้นด้วยความโกรธ “รู้ตัวไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่อยากจะบอกเจ้าเพียงเรื่องเดียวว่า” ลั่วอู๋มองไปที่เหล่าผู้ชมแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ในอนาคตร้านของเราจะไม่ถูกเรียกว่าศาลาไป่หยู่อีก ในส่วนของชื่อนี้จะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับร้านเราอีกต่อไปในอนาคต”
เสียงของลั่วอู๋ดังกระจายไปทั่วร้าน
แขกไม่มีอารมณ์อื่นนอกจาก งงงวย
โอ้
ถ้าเจ้าของร้านไม่เรียกร้านตัวเองว่าศาลาไป่หยู่ แล้วมันจะทำไมกันเหรอ?
ไม่ใช่ว่ายารวบรวมวิญญาณหรือเทียนหยวนหนิงลินกำลังจะถูกถอดออกจากชั้นวางซะหน่อย มันสำคัญด้วยหรือ?
มันฟังดูยุ่งมากจนคนดูงง
คนเหล่านั้นไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
มันก็เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อ
ไม่ได้เปลี่ยนเจ้าของร้านซะหน่อย พวกเขาจะสนใจทำไม
“เป็นแขกที่มาที่นี่เพราะป้ายของศาลาไป่หยู่ เชิญออกไปจากร้านของเราด้วย พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับศาลาไป่หยู่ที่มีชื่อเสียงอีกต่อไปแล้ว” ลั่วอู๋เดินต่อไป
ฝูงชนสับสนมากขึ้น
ออกไปจากร้าน?
ล้อกันเล่นน่า? สินค้าที่ดีที่สุดอยู่ที่นี่แล้ว แถมพวกมันมีจำนวนจำกัดต่อวัน ไม่มีใครยอมทิ้งโอกาสไปหรอก
มาที่นี่เพราะป้ายศาลาไป่หยู่อะไรกัน? บอกเลยพวกเขามาที่นี่เพราะสินค้าและบริการๆดี ๆ อยู่ในศาลาไป่หยู่ต่างหาก
สินค้าดี ๆ เหล่านี้ ไม่มีแม้แต่ที่หอคอยหวงชาด้วยซ้ำ
“เจ้าของร้านลั่ว ท่านกำลังเล่นอะไรของท่านอยู่อีกเนี่ย”ลูกค้าเก่าถาม
ลั่วอู๋หัวเราะ “ข้าแค่อยากดูว่าถ้าที่นี่ไม่มีชื่อเสียงของศาลาไป่หยู่ พวกเจ้าจะยังอยากซื้อสินค้าของทางร้านของเราไหม?”
“เจ้าของร้านลั่วอย่าพูดล้อกันเล่นน่า ใครจะไปสนกัน ถ้าท่านไม่มีสินค้าดี ๆดี ต่อให้ร้านของท่านเป็นคฤหาสน์ซวนเทียน ข้าก็ไม่เสียเวลามาซื้อหรอกน่า” ลูกค้าเก่ากล่าว
ฝูงชนต่างหัวเราะ
ลั่วอู๋รู้สึกดีใจแล้วพูดว่า “เราจะตอบแทนลูกค้าของเรา แม้ว่าเราจะต้องขาดทุนบ้างก็ตาม วันนี้มีส่วนลด 10% สำหรับลูกค้าที่เข้ามาในร้านใหม่ของเรา”
ฝูงชนโห่ร้อง
หลายคนที่ออกจากร้านไปแล้วรีบกลับมา
เหมือนเป็นการแสดงเจตจำนงว่าต่อให้เปลี่ยนชื่อร้านก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจ
ธุรกิจในร้านค้าได้รับความนิยมมากขึ้น
ส่วนลด 10% เป็นโอกาสที่หายาก
ลั่วอู๋กางมือออกอย่างช่วยไม่ได้และมองไปที่เสี่ยวเซียง “ข้าขอโทษด้วย แต่ทำไมพอชื่อศาลาไป่หยู่ หายไปแล้ว แขกของข้ากลับไม่ได้สนใจเลยล่ะ?”
“เจ้า … ” เสี่ยวเซียงชี้ไปที่ลั่วอู๋ เขาพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
เขาไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในร้านกันแน่
ทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ได้กัน?
ในสาขาอื่น ๆ หากไม่มีป้ายทองของศาลาไป่หยู่นี้ธุรกิจจะต้องชะงักลงในทันที
เช่นเดียวกับพวกร้านดัง ๆ หากที่ไม่มีป้ายชื่อธุรกิจที่มีชื่อเสียงแล้ว มันไม่มีทางมียอดขายได้ร้อนแรงเช่นเคย นี่มันไม่น่าเชื่อ
ลั่วอู๋พูดอย่างหยิ่งผยอง “อยากรู้ไหมว่าทำไม ? เพราะลูกค้าในร้านต่างก็พุ่งเป้าไปที่สินค้าและบริการของร้านไม่ใช่เพราะป้ายชื่อ”
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าตอนนี้ร้านค้าของเราทั้งหมด ได้รับการจัดการจากความพยายามร่วมกันของทุกคน อย่างไรก็ตามตระกูลลั่วไม่เคยให้ความช่วยเหลือใด ๆ เลย หากพวกเขายืนยันว่าพวกเขาได้มีส่วนช่วย พวกเขาก็คงมีเพียงแค่ 1 แสนหินวิญญาณที่ให้มาตอนตั้งต้นเท่านั้น”
” 1 แสนหินวิญญาณสินะ อืม ข้าจะส่ง 1 แสนหินวิญญาณให้พวกเจ้าไปทุกปีนับจากนี้”
ใบหน้าของเสี่ยวเซียงดูโกรธมาก
เขามีข้อมูลเกี่ยวกับศาลาไป่หยู่ในพื้นที่ป่าหวงชาน้อยไปจริงๆ
อาจจะเป็นเพราะไม่มีใครสนใจเลยก่อนหน้านี้
จนไม่นานมานี้ถึงมีข่าวมาว่าศาลาไป่หยู่สาขานี้ โด่งดังมากจนทุกคนในตระกูลลั่วเริ่มให้ความสนใจกับที่นี่
พวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
“เจ้ามันเป็นแค่คนนอก! เจ้าเพิ่งถูกส่งมาทำธุรกิจของตระกูลได้ไม่นานเอง” ใบหน้าของเสี่ยวเซียง เริ่มมืดมนไปในทันที “ใครให้สิทธิ์เจ้าทำลายป้ายของศาลาไป่หยู่ แถมยังปล่อยให้ร้านนี้ขาดความสัมพันธ์กับตระกูลลั่วอีก? นี่มันคือการขัดขืน!”
เสี่ยวเซียงปลดปล่อยพลังวิญญาณของเขาไปทั่วร่างกาย
เขาเองก็เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณ ระดับเงิน มิติ 2
ในฐานะพ่อบ้านของตระกูลลั่ว เขาย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
“ร้านนี้ทั้งร้านเป็นของข้า มันเป็นสิ่งที่ข้าอยากทำ มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้า ถ้ามีก็ช่วยแสดงหลักฐานว่าเจ้าเป็นเจ้าของร้านนี้ให้ข้าดูหน่อยได้ไหมล่ะ”
ลั่วอู๋ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเท่าไหร่
“หรืออยากจะสู้กันล่ะ ?” ดวงตาของลั่วอู๋ดูเย็นชา
เขาไม่ใช่ถังขยะที่ผู้ใช้พลังวิญญาณ ระดับเงินสามารถเอาเปรียบได้ง่าย ๆ อีกต่อไป
เสี่ยวเซียงตวาดอย่างโกรธ ๆ “ข้าจะลงโทษบุตรชายที่ไม่เชื่อฟังในนามของตระกูลลั่วเอง มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นอีกไหม?”
เสี่ยวเซียงเดินเข้ามาหาลั่วอู๋ทันทีด้วยท่าทางที่เป็นอันตราย
ลั่วอู๋เคาะนิ้วของเขา
ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะถูกเรียกออกมาจากไหปีศาจ
“นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกของเจ้า อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ” ลั่วอู๋คิด
ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะตอนนี้เป็นสัตว์วิญญาณระดับทองแดง มิติ 10
แต่ด้วยศักยภาพของมันลั่วอู๋เชื่อว่ามันมีพลังเพียงพอที่จะจัดการกับผู้ใช้พลังวิญญาณ ระดับเงินที่มีมิติวิญญาณระดับต่ำ ๆ ได้ด้วยตัวเอง
“มิติเวทมนตร์!”
ลั่วอู๋สั่ง
ทันใดนั้นผีเสื้อตัวใหญ่ขนาดครึ่งตัวของมนุษย์ได้ปรากฏขึ้น
ร่างกายของมันใสราวกับแก้วปีกของมันเป็นดั่งหยินและหยางที่แตกต่างกัน ข้างหนึ่งเป็นสีแดงเพลิงส่วนอีกข้างเป็นสีดำสนิท
มันกระพือปีกเล็กน้อยจากนั้นทั่วทั้งพื้นที่ก็แปรเปลี่ยนไป
ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะ คือทักษะระดับ SS [มิติเวทมนตร์] ถูกเปิดใช้งานในทันที
แม้ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะจะยังไม่เติบโตพอที่จะแสดงความสามารถอันน่ากลัวที่แท้จริงของทักษะนี้ได้ แต่มันก็เพียงพอแล้ว
ดวงตาของเสี่ยวเซียงเบิกกว้างและหัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ “นี่มันสัตว์วิญญาณแบบไหนกัน! ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ไม่สิ ลั่วอู๋มันคือบุตรชายขยะที่ฝึกฝนพลังวิญญาณไม่ได้ เขาจะไปมีสัตว์วิญญาณประจำตัวได้อย่างไร
เขาไม่มีเวลาให้คิดอะไรต่อ
วินาทีต่อมาเขารู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวเขาดูมืดมน
ราวกับอยู่ในอวกาศที่มืดและนิ่งสนิท
ไม่มีอะไรให้ดูไม่ได้ยินไม่มีรสสัมผัสอะไรเลย เวลาเองก็ดูเหมือนจะหมดความหมาย
“อา”
เสี่ยวเซียงแสดงสีหน้าทรมานดั่งเป็นอัมพาต ร่างกายของเขาสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความตื่นตระหนก