บทที่ 202
ไม่มีผีอยู่บนโลกนี้หรอก
เวลาสองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ลั่วอู๋นั้นได้ฝึกฝนตนอยู่ในมิติไห จนมิติวิญญาณของเขาได้รับการยกระดับขึ้นอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้มาถึงระดับเงิน มิติ 7 แล้ว
ในวันนี้เหรียญของลั่วอู๋ที่เขาได้รับมาจากสำนักงานมณฑลก็เริ่มเปล่งประกายแสงออกมา พร้อมส่งข้อความว่า: การสอบคัดเลือกเฉียนหลง รอบที่สองจะเริ่มขึ้นในอีกสามวันหลังจากนี้
ในรอบที่สองของการสอบคัดเลือกเฉียนหลง การทดสอบจะไม่ใช่แค่เป็นการวัดค่าคุณสมบัติเพียงผิวเผินเหมือนคราวก่อน แต่ครั้งนี้จะเป็นการทดสอบความสามารถในการต่อสู้อย่างอิสระ
และเนื่องจากพื้นที่อาณาเขตภายใต้การปกครองของราชวงศ์มังกรเร้นกาย ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสามภูมิภาคใหญ่
การสอบคัดเลือกเฉียนหลง จึงต้องคัดเลือกเยาวชนที่มีความสามารถมาจากในทุก ๆ 12 มณฑลให้มาอยู่ในเวทีเดียวกัน โดยมีเพียง 50 อันดับแรกเท่านั้นที่สามารถผ่านการทดสอบรอบที่สองไปได้ และเป็นตัวแทนของภูมิภาคนั้น ๆ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรอบสุดท้ายของการสอบคัดเลือกเฉียนหลง
หลี่หยินเองก็ได้รับข่าวเกี่ยวกับการสอบคัดเลือก เฉียนหลง ว่ามันจะถูกจัดขึ้นที่เมืองเซิงฟูซึ่งอยู่ใจกลางส่วนตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิ
มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้คนจากมณฑลโดยรอบที่จะเดินทางไปที่นั่น พวกเขาคงจะใช้เวลาเดินทางไปถึงที่หมายได้ภายในเวลาสามวัน
“พวกเราต้องออกเดินทางกันแล้ว” ลั่วอู๋เดินออกจากสำนักโล่พิทักษ์พร้อมออกเดินทาง
โดยหลี่หยินนั้นได้อยู่กับเขาตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงไม่ใช่ปัญหาอะไรเท่าไหร่
ปัญหาตอนนี้ก็คือเขาต้องไปตามหาฉูจงฉวน
เขาไม่รู้ฉูจงฉวนนั้นหายไปไหน ในตลอดช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ไม่มีเห็นใครเห็นตัวเขาเลย
แม้กระทั่งในตอนที่การสอบคัดเลือกเฉียนหลงกำลังจะเริ่มขึ้นเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ปรากฏตัว
เมื่อเขาเข้าไปที่คฤหาสน์ตระกูลฉูเพื่อถามหาตัวของเขา คนในตระกูลเองก็ไม่รู้ว่าฉูจงฉวนหายไปไหน อีกทั้งสมาชิกในตระกูลฉูหลายคนยังคิดว่าฉูจงฉวนนั้นอาศัยอยู่ที่สำนักโล่พิทักษ์ด้วยซ้ำ
ลั่วอู๋ไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาได้ เขาควรจะอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลฉูไม่ใช่เหรอ ? แล้วในเมื่อข้ามาถามถึงที่นี่เขาจะอยู่ที่สำนักโล่พิทักษ์ของข้าได้อย่างไร
เขารู้สึกว่ามันเริ่มจะแปลก ๆ ฉูจงฉวนหายหัวไปอยู่ที่ไหนกันแน่?
แม้ว่าปกติฉูจงฉวนจะดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ แต่ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ เขาก็ไม่ควรที่จะหายตัวไปเที่ยวเล่นเฉย ๆ แบบนี้ไม่ใช่เหรอ ? มีอะไรเกิดขึ้นกับเขารึเปล่า?
ลั่วอู๋ตัดสินใจเรียกต้าหวงออกมา
“ต้าหวงตามหาฉูจงฉวนสิว่าเขาหายไปไหน” ลั่วอู๋กล่าว
สัตว์วิญญาณประเภทสุนัขนั้นเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการติดตาม ด้วยประสาทรับรู้กลิ่นที่แข็งแกร่ง
หลังจากนั้น ต้าหวงและเสี่ยวไป่ก็เดินตามรอยของ ฉูจงฉวนไปในทิศทางเดียวกัน
ครึ่งวันต่อมา
จากใจกลางของเมืองหมิงหนาน ต้าหวงได้วิ่งเข้าไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างไกลทางตอนใต้
มันเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีชื่อแปลก ๆ ว่ากันว่าที่นี่เคยเป็นสนามรบเมื่อหลายพันปีก่อน เป็นช่วงเวลาก่อนที่ราชวงศ์มังกรเร้นกายจะก่อตั้งขึ้นเสียอีก
สถานที่แห่งนี้เคยผ่านสงครามที่น่าสยดสยองมาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการสังหารหมู่จนกลายเป็นทะเลเลือด หรือศพนับล้านกองกันจนกลิ่นเลือดเข้มข้นส่งกลิ่นออกมา จนผู้คนหายใจไม่ออกค้างอยู่ไม่หายไปเป็นเวลาสิบปี
ต่อมาภายหลังการก่อตั้งราชวงศ์มังกรเร้นกาย ก็ได้มีการสร้างสุสานขนาดใหญ่เพื่อรำลึกถึงความทรงจำของเหล่าทหาร นิรนามเหล่านั้นขึ้น
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นสถานที่เปี่ยมไปด้วยลางร้าย จึงมีเพียงไม่กี่คนที่เต็มใจจะอาศัยอยู่ที่นี่ต่อ ดังนั้นหมู่บ้านนี้จึงค่อยๆกลายเป็นที่รกร้างและห่างไกลผู้คน
ซึ่งนี่ก็ผ่านมาห้าร้อยปีแล้วที่เส้นแห่งโชคลาภของหมู่บ้านได้พังทลายลงทรุดโทรมและถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแล
ภูมิประเทศได้เปลี่ยนไปจนเหลือเพียงแค่ภูเขาไร้ชื่ออันรกร้างว่างเปล่า และไม่มีสุสานตั้งตระหง่านอยู่อีกต่อไป
จึงไม่มีใครจำถึงเรื่องในอดีตได้อีกว่าเคยเกิดอะไรขึ้นที่นี่
มีคนไม่กี่คนในหมู่บ้านกุยช่วงแห่งนี้เท่านั้นที่จำได้ว่าที่นี่มีความเป็นมายังไง และส่วนใหญ่ก็เป็นคนชรา ไม่มีคนหนุ่มสาวหรือเด็ก ๆ
คนชราเหล่านี้เป็นคนที่กลับมายังบ้านเกิดเพื่อหาพบปะเหล่าคนชราด้วยกัน
บางทีในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะไม่มีใครเหลืออยู่ในหมู่บ้านกุยช่วงนี้อีก
ลั่วอู๋ถาม หญิงชราที่ถือไม้ค้ำว่านางเคยเห็นชายหนุ่มรูปหล่อผ่านมาบ้างหรือไม่
“ชายหนุ่ม ? เจ้ากำลังพูดถึงชายหนุ่มรูปหล่อในชุดขาวรึเปล่า ?” หญิงชราตอบอย่างช้า ๆ
ลั่วอู๋พยักหน้า “ใช่ ใช่ ท่านรู้ไหมว่าเขาไปทางไหนกัน”
“ข้าไม่รู้เหมือนกัน เขามักจะมาที่นี่ ทุก ๆ สองสามเดือน แล้วก็จากไป” หญิงชรากล่าว
ลั่วอู๋ปวดหัว
ไอ้สารเลวนั้นหายหัวไปที่ไหนกัน
ลั่วอู๋คิดอยู่พักหนึ่งจากนั้นจึงถามไปว่า “ท่านรู้ไหมว่าเขามักจะมาที่นี่เพื่ออะไร ?”
“ข้าไม่รู้ แต่เจ้าหนุ่มคนนั้นชอบวิ่งขึ้นภูเขากุยโตตอนกลางคืน ข้าบอกเขาแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นไปที่นั่นตอนกลางคืนแต่เขาก็ขึ้นไปอยู่ดี” หญิงชราดูเหมือนจะบ่นว่า “เจ้ารู้ไหมว่าชายชราที่ป่วยใน หมู่บ้าน เคยยืนกรานที่จะขึ้นไปหาสมุนไพรบนภูเขากุยโตในตอนเย็น แต่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่กลับออกมา ข้างบนนั้น บนภูเขากุยโตมันต้องมีอะไรที่ชั่วร้ายมากสถิตอยู่แน่”
เรื่องของผีสางนั้นมีอยู่ทุกที่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ลั่วอู๋จึงไม่ได้สนใจคำพูดของหญิงชราเท่าไหร่
แต่จากบริบทคำพูดของหญิงชรา ดูเหมือนว่าฉูจงฉวนนั้นจะเคยขึ้นไปบนภูเขากุยโตหลายรอบแล้วรึเปล่า?
เมื่อมองไปที่ภูเขาจากในระยะไกล ลั่วอู๋ก็พบว่ามันไม่ได้สูงมากนัก แต่รูปร่างของมันเหมือนกับศีรษะมนุษย์ โดยมียอดเขาที่ดูอันตรายสองยอดเหมือนเขาของปีศาจ
เฮ้ย มันเหมือนปีศาจจริง ๆ
ลั่วอู๋พาหลี่หยินไปด้วยบนภูเขาเพื่อช่วยกันตามหา แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากหลุมฝังศพที่ถูกทิ้งร้างบนไหล่เขา ซึ่งข้างบนภูเขาก็ดูธรรมดา ๆ มาก
จนบัดนี้เขาก็ยังไม่พบฉูจงฉวน แต่นี่มันก็มืดแล้ว
การเดินทางในเวลากลางคืนนั้นไม่ปลอดภัยเกินไป ด้วยที่พวกเขาไม่มีที่ไป ลั่วอู๋และหลี่หยินจึงได้ค้างคืนอยู่ในหมู่บ้านกุยช่วง
กลางดึก
สายลมยามค่ำคืนได้พัดผ่าน มันเย็นยะเยือกเย็นราวกับมีผีร้ายมาหลอกหลอน
ลั่วอู๋ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในมาจากการฝึกฝนทำสมาธิ แต่เมื่อเขามองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าไม่มีอะไร มีแต่ลมที่พัดอย่างน่ากลัว แต่พอถามพวกคนชรา เขาก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องปกติของที่นี่
เหล่าคนแก่ผู้อาศัยอยู่ที่นี่เคยชินกับเสียงเหล่านี้ไปแล้ว
“ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครอยากจะอยู่ที่นี่ ใครมันจะทนเสียงแบบนี้ได้กัน ? ต่อให้เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งก็คงต้องหนีไปเพราะว่านอนไม่หลับอยู่ดี” ลั่วอู๋พึมพำ
ในตอนนี้ลั่วอู๋ก็นึกขึ้นได้ถึงคำพูดของหญิงชรา
หญิงชราของเขาบอกว่า ฉูจงฉวนชอบวิ่งไปที่ภูเขากุยโตตอนกลางคืน
“ไม่สิ ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็นจะต้องไปในตอนกลางคืนหรอกมั้ง…” เมื่อมองไปที่ภูเขากุยโตในเวลากลางคืนอันมืดมิด ลั่วอู๋ก็เกิดอาการกลัวจนใจสั่น
“ข้าจำได้ว่าฉูจงฉวนบอกว่าเขาได้พบกับภูตไฟของเขาที่สุสานลึกลับ เขาคงจะหมายถึงหลุมศพสักแห่งที่นี่สินะ”
มีหลุมศพอันโดดเดี่ยวมากมายบนภูเขากุยโต
ผู้คนต่างก็ต้องการกลับไปยังบ้านเกิดเมื่อตายลง หลายคนจึงเลือกที่จะให้ลูกหลานของตนฝังกระดูกของพวกเขาไว้ที่ภูเขานี้ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพวกเขา
จะต้องมีสุสานบนภูเขาที่มีคนอาศัยอยู่ใกล้ ๆ แน่
ลั่วอู๋ถอนหายใจ “เจ้าบ้าฉูจงฉวนหลังจากจบเรื่องนี้ เจ้าจะต้องเชิญข้าไปทานอาหารเย็นหรู ๆ ไม่งั้นเจ้าคงไม่สามารถชดเชยความสูญเสียทางจิตใจของข้าในตอนนี้ได้แน่”
หลังจากนั้น ลั่วอู๋ก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับหลี่หยินและเดินขึ้นไปบนภูเขากุยโต ภายใต้แสงจันทร์สลัว
ในตอนดึกภูเขากุยโตนั้นเหมือนเต็มไปด้วยวิญญาณร้าย ถนนบนภูเขาดูขรุขระและดูเหมือนจะมีแสงสีเขียวจาง ๆ ลอยไปมา น่ากลัวสะพรึงกลัว
ต้นไม้สองข้างทางสั่นไหวตามแรงลมราวกับว่ามีใครบางคนกำลังปรบมือให้พวกเขา
“นายน้อยเจ้าคะ ที่นี่มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน” หลี่หยินซ่อนตัวอยู่ข้างหลังลั่วอู๋อย่างสั่นกลัว
“ไม่ต้องกลัวไป” ลั่วอู๋ปลอบใจ “สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ผีร้ายแต่อย่างใด มันเป็นเพียงแสงไฟจากแร่วิญญาณ มันเป็นแค่ปฏิกิริยาธรรมชาติ บนโลกนี้น่ะไม่มีผีหรอกนะ”
แม้ว่าหลี่หยินจะไม่เข้าใจ แต่นางก็โล่งใจเล็กน้อย
แต่เมื่อพวกเขาก้าวขึ้นไปบนภูเขากุยโตเพียงก้าวแรก ทิวทัศน์เบื้องหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
ถนนที่เต็มไปด้วยโคลนกลายเป็นบันไดหยกสีขาวอันมืดมน
ต้นไม้ทั้งสองข้างกลายเป็นหลุมฝังศพที่สลักด้วยลายมือเบลอ ๆ
ผีร้ายสีเขียวตัวเล็ก ๆ กระโจนไปมา กลายเป็นร่างลวงตา ลอยอยู่ในอากาศ ส่งเสียงแหลมบาดหู
บางตัวก็ไม่มีหัว ได้แต่ลอยคลำไปรอบ ๆ
ดวงตาบางคนว่างเปล่าและลิ้นของพวกเขายาวสามฟุต
บางตัวก็มีแต่กระดูกสีขาวหักไปมาและมีรอยเลือดสีแดง
ฉากนี้น่าขนลุกจนพวกเขาทั้งคู่รู้สึกหนาวสั่น
ใบหน้าของหลี่หยินกลายเป็นสีขาวซีด ดวงตาของนางเบิกกว้าง เสียงของนางสั่นอย่างรุนแรงและนางก็ร้องออกมาว่า “นายน้อย ไหนท่านบอกว่าบนโลกนี้ไม่มีผีไง แล้วเจ้าพวกนี้มันอะไรกันเจ้าค่ะ!”