บทที่ 257 ผู้บริหารคฤหาสน์ชวนเทียน
บทที่ 257 ผู้บริหารคฤหาสน์ชวนเทียน
ลั่วอู๋จำไม่ได้ว่าเขาใช้การแก้ไขคุณสมบัติไปกี่ครั้ง
3000 ครั้ง? 4000 ครั้ง?
พลังวิญญาณของเขาเหือดแห้งลงไปจนหมดอย่างน้อยห้าครั้ง เพราะเขากำลังรีบ ลั่วอู๋จึงไม่พึ่งการทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ แต่ใช้วิธีกินยารวบรวมวิญญาณแทน
ในที่สุดหมาเพลิงกลายพันธุ์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา ขนสีแดงและสีขาวดั้งเดิมของมันกลายเป็นสีทองละเอียด ทำให้ความโดดเด่นและความสูงส่งของมันก็เพิ่มขึ้นมาก เปลวไฟสีแดงที่หางของมันเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อน ๆ
“ใช้ทักษะ ลมหายใจแห่งเปลวเพลิง” ลั่วอู๋ออกคำสั่ง
ทันใดนั้นในปากของหมาเพลิง เปลวไฟก็เริ่มหมุนวนมัน เปล่งแสงสีทองอันงดงามจากนั้นก็พุ่งออกมา พลังอันน่าสะพรึงกลัวกวาดโจมตีไปทั่วผืนดินทำลายภูเขาและแม่น้ำ
หินจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระเด็นกระดอน ในสภาพที่ถูกเปลวไฟสีทองลุกไหม้อยู่ ราวกับอยู่ภายใต้สายฝนสีทอง
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะชม “สวยงามจริง ๆ”
หลังจากนั้นเขาก็ออกไปจากมิติไหกลับสู่โลกภายนอก และได้พบเข้ากับหนิงปิงหลันและหนิงหลิงหลิงที่มารออยู่หน้าประตูบ้านพักของลั่วอู๋
“หลี่หยินต้อนรับบริการพวกเขาหน่อย” ลั่วอู๋กล่าว
หลี่หยินออกต้อนรับพวกเขาทั้งสองคนเข้ามาในที่พักแล้วชงชาให้อย่างเป็นมิตร
ลั่วอู๋กล่าวขอโทษ “ขอเวลาสักเดี๋ยว ข้ามีธุระด่วนเล็กน้อยที่ต้องจัดการ ข้าจะกลับมาในไม่ช้า”
หนิงปิงหลันพยักหน้า
อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นไม่ได้รีบร้อน แต่เป็นลั่วอู๋ต่างหากที่ต้องรีบไป
ลั่วอู๋รีบมุ่งไปที่ห้องโถงหวันฝาในทันที
หลังจากที่ถูกเรียกโดยพนักงานของห้องโถงหวันฝา เขาก็ได้พบกับเจ้าของใบประกาศที่เสนอรับ สัตว์วิญญาณกลายพันธุ์เป็นครั้งแรก
เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูไม่เหมือนอาจารย์พิเศษ เพราะเขาไม่ได้มีลมปราณที่ทรงพลัง เขาเป็นเพียงแค่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน มิติราว ๆ 3 -4
ชายวัยกลางคนถามอย่างรวดเร็ว “เจ้ามีสัตว์วิญญาณกลายพันธุ์มาเสนอรึเปล่า?”
“ใช่ ข้ามี” ลั่วอู๋พยักหน้าอย่างสงสัย“ ท่านเป็นอาจารย์พิเศษของสำนักเฉียนหลงเหรอ ? ดูแล้วท่านไม่เหมือนพวกเขาเท่าไหร่”
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าชื่อเซาฉาง ข้าไม่ได้เป็นคนของสำนักเฉียนหลง เพียงแค่ข้าอาศัยความสัมพันธ์ในการรวบรวมสินค้าจากสำนักเฉียนหลง”
“ที่นี่ถ้าไม่ใช่คนของสำนักเฉียนหลงจะเข้ามาไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ? ถ้าท่านเข้ามาเพื่อรับสินค้าถึงที่นี่ได้ ท่านก็ไม่น่าจะใช่นักธุรกิจทั่ว ๆ ไปสินะ” ลั่วอู๋สนใจ “คนจากภายนอกอย่างท่านเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
หากนักธุรกิจและพ่อค้าเช่นเขา สามารถมาในสำนักเฉียนหลงได้
ลั่วอู๋ก็สามารถย้ายคนของสำนักโล่พิทักษ์ทั้งหมดเข้ามาได้รึเปล่า?
เซาฉางกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่คนจากภายนอกจะสามารถเข้ามาที่นี่ได้ แต่ข้าสามารถเข้ามาได้ด้วยชื่อของคฤหาสน์ชวนเทียนในฐานะผู้ค้ำประกัน เพราะข้าเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบ ธุรกิจของคฤหาสน์ชวนเทียน”
ลั่วอู๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกประหลาดใจ “หรือว่าท่านจะเป็นหนึ่งในเก้าผู้บริหารสำนักงานใหญ่ของคฤหาสน์ชวนเทียน?”
“ถ้าพูดถึงงานที่ข้าทำ นั่นก็ใช่” เซาฉางพยักหน้า
ผู้บริหารทั้งเก้าคนและผู้บริหารสูงสุดทั้งสามคนของสำนักงานใหญ่คฤหาสน์ชวนเทียน ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกธุรกิจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายวัยกลางคนตรงหน้าจะเป็นหนึ่งในนั้น
ลั่วอู๋รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
หากอีกฝ่ายเป็นตัวตนระดับนี้มันก็ไม่แปลกที่เข้าจะสามารถเข้าสู่สำนักเฉียนหลงได้ มันคงจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่เขาจะย้ายสำนักโล่พิทักษ์เข้ามาที่นี่
เซาฉางกล่าวว่า “นำสัตว์วิญญาณกลายพันธุ์ของเจ้าออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ”
ลั่วอู๋ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วถาม “แม้แต่ สัตว์วิญญาณกลายพันธุ์ที่พบได้ทั่วไป ท่านก็จะซื้อมันด้วยคะแนน 100000 ด้วยงั้นเหรอ ?”
“แน่นอนตราบใดที่มันเป็นสัตว์วิญญาณกลายพันธุ์ระดับทอง ไม่ว่าจะเป็นคนแก่หรือเด็กข้าก็จะไม่โกงโดดเด็ดขาด เซาฉางผู้นี้ขอยึดมั่นในสัจจะ และถ้ามันยิ่งหายากข้าก็พร้อมจะขึ้นราคาให้” เซาฉางกล่าว
ลั่วอู๋หัวเราะ “งั้นท่านคงต้องขึ้นราคาอีกหน่อยแล้วล่ะ”
เซาฉางรู้สึกประหลาดใจ
เขาดูมั่นใจมาก
วินาทีต่อมาลั่วอู๋ก็ปล่อยหมาเพลิงออกมา มันทั้งสูงทรงพลัง มันปรากฏตัวต่อหน้าเซาฉาง เปล่งแสงสีทองออกมาอย่างอลังการ ทำให้เขาไม่สามารถลืมตาได้ไปพักหนึ่ง
“นี่มัน … ” เซาฉางแสดงความประหลาดใจออกมา “หมาเพลิงกลายพันธุ์!”
ดวงตาของเซาฉางแสดงให้เห็นถึงความหลงใหล เขาลูบขนนุ่ม ๆ ของหมาเพลิงและพึมพำกับตัวเอง “หมาเพลิงกลายพันธุ์ โอ้ มันช่างสวยงามจริง ๆ”
จากนั้นลั่วอู๋ก็ปล่อยให้หมาเพลิงแสดงทักษะของมัน
เปลวไฟสีทองเบ่งบานราวกับดอกไม้ไฟ
เซาฉางอดไม่ได้ที่จะปรบมือ “เปลวไฟสีทองที่เกิดจากกลายพันธุ์ แต่ตอนนี้มันยังเป็นตอนกลางวัน ถ้ามันส่องสว่างในตอนกลางคืนมันจะต้องงดงามกว่านี้มากแน่”
ในฐานะนักธุรกิจ เขาสามารถประเมินมูลค่าสินค้าได้อย่างรวดเร็ว
ปฏิกิริยาแรกของเขาคือหาทางทำให้หมาเพลิงกลายพันธุ์ตัวนี้มาเป็นของเขา
“น้องลั่ว ข้าขอเสนอ 120,000 คะแนน ข้าจะขอรับเอาหมาเพลิงกลายพันธุ์ตัวนี้กลับไปด้วย” เซาฉาง กล่าว
ลั่วอู๋เหลือบมองเขา “ท่านเซาฉาง ราคานี้มันยังไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับราคาที่ท่านหวังฉีเคยเสนอให้ข้า เขาประเมินได้ค่อนข้างยุติธรรมกว่า”
เซาฉางประหลาดใจ “เจ้ารู้จักกับหวังฮีด้วยงั้นเหรอ?”
“ข้าเคยติดต่อธุรกิจกับเขามาบ้าง” ลั่วอู๋พยักหน้า
เซาฉางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยิ้มแล้วพูดว่า “จริง ๆ เลย เจ้านั่นชอบให้ราคาอย่างอิสระตามใจตัวเองตลอด ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองเสนอราคามาสิ เจ้าพอใจที่จะขายหมาเพลิงกลายพันธุ์ตัวนี้ที่เท่าไหร่?”
“200000 คะแนน ” ลั่วอู๋ตอบ
เซาฉางพยักหน้า “ตกลง จัดการได้เลย”
ลั่วอู๋ตะลึงกับความตรงไปตรงมาของเขา แบบนี้ก็ได้? นี่มันยังต่ำไปงั้นเหรอ?
เซาฉางหัวเราะ “เจ้าคิดว่าข้าล่อให้เจ้าเสนอราคาต่ำงั้นเหรอ ? ไม่ต้องกังวล ข้าไม่มีหลุมพรางสำหรับเจ้า หมาเพลิงตัวนี้ราคาประมาณนี้ เนื่องจากเจ้าเรียกราคานี้คงจะรวมความลำบากของตัวเจ้ามาแล้ว ข้าจึงไม่คิดจะต่อรองใด ๆ อีกอย่างข้าไม่อยากจะถูกเปรียบเทียบกับเจ้าอ้วนหวังฉี”
เซาฉางจ่าย 200000 คะแนนอย่างรวดเร็ว จากนั้นนำหมาเพลิงกลายพันธุ์กลับไปอย่างโล่งใจ
ลั่วอู๋คำนวณคะแนนของเขา
เขามีอยู่ประมาณ 400000 คะแนน หรือก็คือเขาขาดเพียงอีกแค่ 100,000 คะแนน เพื่อซื้อสมุนไพรเก้าวิญญาณ
“ไม่เป็นไร ตอนนี้กลับไปที่พักก่อนก็แล้วกัน” ลั่วอู๋มุ่งกลับไปยังบ้านพักของเขาเพราะหนิงปิงหลัน รอเขาอยู่ที่นั่น
ทันทีที่เขากลับไปถึงที่พัก ก็มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหาลั่วอู๋ในทันที และเมื่อลั่วอู๋ต้องการที่จะผ่านไปเขาก็ถูกขัดขวาง
ลั่วอู๋ประหลาดใจมาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เพราะเบื้องหน้าเขาคือหนิงปิงหลันที่มีสีหน้าไม่แยแส
“จะเริ่มกันเลยเหรอ ?” ลั่วอู๋มีรอยยิ้มที่ขมขื่นบนใบหน้าของเขา
สีหน้าของหนิงปิงหลันยังคงนิ่งเฉย นางตอบว่า “ตั้งแต่ที่ข้าบอกว่าจะพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อฝึกสอนเจ้า ข้าก็ไม่คิดที่จะไม่เสียเวลาไปเปล่า ๆ แล้ว”
จากนั้นลั่วอู๋ก็ถูกโยนเข้าไปที่โล่ง
“ข้าได้ผนึกเส้นวงจรพลังวิญญาณของเจ้าแล้ว นับจากนี้ไปเจ้าจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณหรือเรียกสัตว์วิญญาณออกมาได้ ข้าต้องการให้เจ้าละทิ้งทุกวิถีทางและตั้งสมาธิ เพื่อทำความเข้าใจแก่นแท้ของศิลปะการต่อสู้” หนิงปิงหลันกล่าวเบา ๆ
ลั่วอู๋พูดอย่างไร้เดียงสา“ ข้าไม่ใช่นักรบ ท่านไม่จำเป็นต้องผนึกพลังวิญญาณของข้าหรอก”
หนิงปิงหลันไม่ตอบ แต่ใช้มือของนางเรียกวิญญาณสงครามที่ถือขวานขนาดใหญ่ออกมา วิญญาณสงครามนั้นแข็งแกร่งและทรงพลัง ราวกับสัตว์ที่ดุร้าย
“มันจะไม่ฆ่าเจ้าจริง ๆ หรอก อย่างมากก็คงตัดมือและเท้าของเจ้าทิ้งเฉย ๆ ถ้าเจ้าไม่อยากรู้สึกเจ็บปวดก็พยายามหลบเลี่ยงมันให้ได้ซะ” หนิงปิงหลันกล่าวเบา ๆ
การถูกตัดแขนและเท้านั้นสามารถฟื้นฟูได้ไม่ยาก
แต่ความเจ็บปวดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมเลือนกันง่าย ๆ
ลั่วอู๋ยิ้มอย่างเฝื่อน ๆ “ไม่จริงน่า นี่คือวิญญาณสงครามที่เกิดมาจากไอสงครามใช่ไหมเนี่ย”
หนิงปิงหลันไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่หันไปทางซ้าย เฉย ๆ
หนิงหลิงหลิงที่อยู่ข้าง ๆ นางมองไปที่ลั่วอู๋อย่างเห็นใจและตะโกนว่า “ออกมาเถอะ ท่านอาจารย์ มันเจ็บปวดมากนะถ้าต้องถูกฟันโดยขวานนั่น”
“ขอบคุณที่เตือนข้านะ” ลั่วอู๋มองไปที่วิญญาณสงครามแล้วพูดอย่างโกรธ ๆ
หนิงหลิงหลิงกำลังหัวเราะ
ขณะเดียวกันร่างกายของนางก็ถูกดึงไป จากนั้นเสียงที่ไม่แยแสของหนิงปิงหลันก็ดังขึ้น “หนิงหลิงหลิงมาตรงนี้เร็ว ข้ามีการทดสอบอื่น ๆ สำหรับเจ้า”
ใบหน้าของหนิงหลิงหลิงพลันทรุดลงไปในทันที